บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1586 เรื่องบังเอิญ
บทที่ 1586 เรื่องบังเอิญ
…………….
บทที่ 1586 เรื่องบังเอิญ
ผ่านไปหนึ่งปีหลังจากการปิดด่านบ่มเพาะ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของเฉินซีก็ฟื้นฟูอย่างมาก และใกล้ฟื้นตัวสู่สภาวะสูงสุดแล้ว
มิหนำซ้ำ เขายังรู้สึกว่าหลังจากที่ประสบกับความเป็นความตาย เมื่อใดที่ฟื้นตัวเต็มที่ ความแข็งแกร่งจะพัฒนาขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน!
ดั่งที่กล่าวกันว่า ต้องทำลายเสียก่อนจึงจะสร้างขึ้นใหม่ได้ และความเข้าใจที่ได้รับหลังจากผ่านความเป็นความตายนั้นเหนือกว่าการปิดด่านบ่มเพาะเป็นอย่างมาก
จนถึงขณะนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีรู้สึกเสียใจ คืออาเหลียงยังคงไม่ตื่นจากการหลับใหล
สัญญาณชีพของอาเหลียงนั้นพิเศษมาก มันหดตัวลงเป็นทรงกลมที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวหยก นางเป็นเหมือนหนอนผีเสื้อที่ได้รับการปกป้องโดยดักแด้ และดูเหมือนจะสูญเสียการรับรู้ต่อโลกภายนอกทั้งหมด
แต่โชคดีที่เฉินซีสัมผัสได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป พลังชีวิตของอาเหลียงก็ค่อย ๆ คงที่จากสภาวะที่อ่อนแอ
ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว… เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ เป็นเพราะสัมผัสได้ว่าจูต่งถิงและโมลี่โฉวกำลังไล่ตามมาจากระยะไกล หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินไปยังประตูทางเข้าของพิมานหยาดหยก
ถนนภายในเมืองนภาสูญตานั้นคึกคักเหมือนเช่นเคย และมีผู้คนจำนวนมากพลุกพล่านอยู่บนท้องถนน เฉินซีก้าวย่างไปตามถนนและดูเหมือนจะย่ำเดินอย่างไร้จุดหมาย
ตลอดทาง บางครั้งเขาก็ยืนหยุดนิ่งและสังเกตร้านค้าในบริเวณโดยรอบ บางครั้งก็เร่งฝีเท้า และบางครั้งก็แวะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากแผงลอยข้างทาง เป็นเหมือนนักท่องเที่ยว และดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกไล่ล่าสังหาร
“เจ้าเด็กสารเลวนั่น! หรือว่ามันตั้งใจพาเราวนไปทั่วเมือง?” จูต่งถิงกัดฟันจากทางด้านหลัง และรู้สึกเหมือนกลายเป็นวัวที่ถูกจูงจมูก ยิ่งเฉินซีผ่อนคลายมากขึ้นเท่าไร จูต่งถิงก็ยิ่งรู้สึกโมโหในใจมากขึ้นเท่านั้น
“นายน้อย โปรดสงบสติอารมณ์เถิด มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ และไม่ควรลงมืออย่างผลีผลาม ตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นอยู่เพียงลำพัง ก็จะเวลาตายของมัน” โมลี่โฉวดูท่าจะมีความอดทนอย่างยิ่ง และเป็นดั่งนักล่าที่มากประสบการณ์ ในขณะที่กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า
“ตามแผนของข้า เราสามารถลงมือได้เลย ไยเราต้องลำบากปานนั้น?” จูต่งถิงขมวดคิ้ว ไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป
“หากเช่นนั้น มันจะก่อให้เกิดตื่นตระหนกครั้งใหญ่ และเจ้าเด็กนั่นอาจฉวยโอกาสใช้สภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเพื่อหลบหนีเราไป…” โมลี่โฉวกล่าวขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ทอประกาย “นายน้อย ท่านดูสิ! เจ้าเด็กนั้นกำลังมุ่งหน้าออกจากเมือง!”
“โอ้?” จูต่งถิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “ดูเหมือนเจ้าเด็กนี้จะรู้ตัวว่าไม่อาจหลบหนีการไล่ล่าของเราได้ และมันตั้งใจจะต่อสู้กับเราอย่างสุดชีวิต ดียิ่ง ไล่ตามมันไปเร็ว!”
…
เมื่ออยู่ห่างจากประตูเมืองราวยี่สิบจั้ง ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงเล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางถนนสายอื่น
เมื่อร่างของเฉินซีหายไป ร่างสีแดงเพลิงบนประตูเมืองในระยะไกลดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง นางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สุกใสดั่งทะเลสาบเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ พลางกวาดผ่านฟ้าดิน
ทันใดนั้น ภาพต่าง ๆ ภายในเมืองนภาสูญตาทั้งหมดก็สะท้อนให้เห็นจนถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจนาง ไม่ว่าจะเป็นท้องถนน ผู้คนที่สัญจรไปมา ตึกรามบ้านช่อง สรรพเสียงต่าง ๆ กลิ่นอายหรือแม้แต่การเคลื่อนไหว… ทุกสิ่งไม่สามารถหลุดรอดไปจากประสาทสัมผัสของนางได้
แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมามือเปล่า
หรือว่าเจ้าหนูนั่นจะไม่ได้อยู่ในเมืองนภาสูญตา? หรือบางทีมันอาจหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอย?
สตรีผู้สวมชุดสีแดงเพลิงนี้ย่อมเป็นเยี่ยเหยียน ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ ตัวตนที่น่าเกรงขามซึ่งมีรูปลักษณ์งดงามอย่างไร้ที่เปรียบ และมีการบ่มเพาะที่บรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ในขณะนี้ คิ้วที่สวยงามขมวดเข้าหากัน นางเม้มริมฝีปากสีแดงชุ่มชื้นและอวบอิ่มเบา ๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ความงามของนางทำให้หัวใจของเหล่าศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตที่อยู่ใกล้เคียงเต้นแรง ทั้งปากยังรู้สึกแห้งผาก
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่จูเหรอ?” ทันใดนั้น ศิษย์คนหนึ่งพลันกล่าวขึ้น เมื่อสังเกตเห็นจูต่งถิงและโม่วลี่โฉวซึ่งอยู่บนถนนไกลออกไป
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่จูกำลังไล่ตามใครบางคนอยู่” ศิษย์คนอื่น ๆ กล่าวขึ้นเช่นกัน
เยี่ยเหยียนขมวดคิ้วมุ่น และเงยหน้าขึ้นมอง ตั้งแต่วันที่นางเริ่มพึ่งพากองกำลังของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเพื่อค้นหาเฉินซี จูต่งถิงก็คอยเกาะแกะนางอยู่ตลอดเวลา และหากไม่คำนึงถึงผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตที่อยู่เบื้องหลังจูต่งถิง นางคงสังหารคนผู้นี้ที่ปรารถนาในเรือนร่างของนางแล้ว
แต่หากนางหันกลับมาสักนิด บางทีนางอาจจะสังเกตเห็นเป้าหมายที่จูต่งถิงกำลังไล่ตาม น่าเสียดายที่หญิงสาวไม่ได้หันกลับมาเพราะความรังเกียจ นางจึงพลาดโอกาสนี้
…
สตรีคนนี้รับมือได้ยากจริง ๆ! ใบหน้าของเฉินซีมืดมนเล็กน้อย เขาไม่กังวลว่านางจะมองทะลุการปลอมตัวออกเลยสักนิด เพราะเขาใช้ผิวไร้ลักษณ์
ทว่าเฉินซีไม่กล้ายืนยันว่าอีกฝ่ายจะจำตนได้หรือไม่ เมื่อเขาปรากฏตัวในระยะสายตาของนาง จึงหันหลังกลับอย่างเด็ดเดี่ยวและเลือกมุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่นแทน
หืม?
ทันใดนั้น เฉินซีก็หยุดอีกครั้ง แล้วสังเกตเห็นด้วยความประหลาดใจว่า ชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดขาดวิ่นซึ่งยืนอยู่ที่มุมอันไกลโพ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า
น่าตกใจที่พวกเขาคือมู่โถวและไจ่จือ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ชายสองคนที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่และออกจากภูเขาเป็นครั้งแรก กลับไม่หลงเหลือปณิธานอันสูงส่งอีกต่อไป ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว ดวงตาพร่ามัวและสับสน ราวกับสูญเสียความคาดหวังต่ออนาคตและปณิธานอันแน่วแน่ ทั้งยังดูเหมือนขอทานที่เดินเร่ร่อนไปตามท้องถนนแทน
เฉินซีตกตะลึง เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อครั้งที่กล่าวลาทั้งสองเมื่อปีที่แล้ว เขาได้มอบผลึกศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากให้ เมื่อรวมกับค่าตอบแทนจากการขายเขาของสัตว์ร้ายดังนั้น มันควรเพียงพอสำหรับทั้งสองที่จะอาศัยในเมืองนภาสูญตาได้อย่างไม่ขัดสน
ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุอันใดก็ตาม มันทำให้เฉินซีรู้สึกผิดในใจอย่างอดไม่ได้ เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเขา ทั้งสองอาจจะยังคงอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่เก่าแก่และเรียบง่ายนั้น ยังคงมีปณิธานและความคาดหวังต่ออนาคตอย่างที่ชายหนุ่มเลือดร้อนพึงมี…
“มู่โถว ไจ่จือ อย่าได้กล่าววาจาใด ๆ จงเดินไปข้างหน้าตามถนนสายนี้ และหลังจากพวกที่เจ้าออกจากเมือง ข้าจะพวกเจ้าทั้งสองไปด้วย ซึ่งในอนาคต ข้าจะหาโอกาสให้เจ้าให้ได้กราบไหว้อาจารย์ และเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะในวิถีแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน!” เสียงอันอบอุ่นที่มีพลังปลอบโยนดังก้องอยู่ข้างหูของมู่โถวและไจ่จือ ส่งผลให้ร่างกายของทั้งสองแข็งทื่อทันที
หลังจากนั้น ความสับสนในแววตาก็ค่อย ๆ หายไป ดวงตาที่ขุ่นมัวก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น
เป็นผู้อาวุโสเหรอ!
ชายทั้งสองสบตากัน และเข้าใจทันที ความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญในปีนี้ มันได้ทำลายความไม่รู้เดียงสาไปจนหมดสิ้น ทั้งทำให้เริ่มเข้าใจว่าโลกนี้อันตรายและหัวใจของมนุษย์ไม่อาจหยั่งถึงได้
แต่กระนั้น พวกเขายังคงเชื่อมั่นต่อเฉินซีอย่างแน่วแน่ เพราะเฉินซีเป็นผู้พาพวกเขาออกจากภูเขาเป็นครั้งแรก พามายังเมืองโบราณที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังทำให้ได้เห็นว่าโลกใบนี้แปลกประหลาดและน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใดเป็นครั้งแรก
ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อมั่นในตัวเฉินซี แม้จะไม่ได้เจอกันมาถึงหนึ่งปีแล้วก็ตาม
นี่คือความหมายของการกลายเป็นเติบใหญ่ หลังจากทนทุกข์ทรมานมามากมาย จิตใจของพวกเขาก็ยังคงมีความพากเพียรและมีความเมตตาอยู่ในใจ
ทั้งสองต่างไม่ลังเล แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองอย่างเร่งรีบ
เช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ เมืองนภาสูญตามีประตูเมืองสี่ประตู ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกตามลำดับ
เยี่ยเหยียนอยู่ที่ประตูเมืองตะวันออก ขณะที่จูต่งถิงและโมลี่โฉวไล่ตามเขาจากทางตะวันตก ดังนั้นเฉินซีจึงเลือกได้เพียงประตูเมืองทางทิศเหนือหรือทิศใต้เท่านั้น
เขาจึงมุ่งหน้าไปทางเหนือโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
เพราะในตอนนี้ ยังมีความกังวลติดค้างอยู่ในใจเฉินซี ซึ่งคือมู่โถวและไจ่จือ เป็นเพราะเขารู้สึกผิดต่อทั้งสอง ดังนั้นจึงตั้งใจจะมอบเส้นทางสู่เต๋าที่ราบรื่น ซึ่งเป็นหลักการที่เขากระทำ และมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
…
“ถ้าเจ้าเด็กนั่นเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง และไม่ยอมออกจากเมือง ข้าก็จะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว!” ใบหน้าของจูต่งถิงมืดมนอย่างยิ่ง หน้าอกกระเพื่อมด้วยไฟโทสะที่ลุกโชน
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน ทำให้อารมณ์ตื่นเต้นในตอนแรกถูกทำลายสิ้น ตอนนี้เขาทั้งโกรธเคืองและเสียใจในเวลาเดียวกัน
เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรงที่มีเกียรติของผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต จูกังซาน และสถานะของเขาก็สูงส่งมาก แต่ว่าบัดนี้ กลับมีคนกำลังหยามเกียรติคล้ายหยอกเย้าเด็กไม่รู้ประสา ซึ่งทำให้เขาต้องอดกลั้นเหมือนภรรยาที่ไม่พอใจตัวสามี มันจึงเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเกรี้ยวเพียงใด
“ไม่ต้องกังวลนายน้อย ข้าจะฆ่ามันเอง!” โมลี่โถวกัดฟันแน่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ไอ้สารเลวนี้น่ารำคาญยิ่งนัก มันมักไม่ทำตามหลักสามัญสำนึก ทั้งยังน่าชิงชังและไร้ยางอายเช่นกัน!
ขณะที่พูดคุย คนทั้งสองก็สังเกตเห็นว่า คราวนี้ร่างของเฉินซีไม่หันกลับมาอีกและมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองโดยตรง
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของพวกเขาสว่างวาบทันที และจิตสังหารที่ถูกระงับอยู่ในใจเป็นเวลานาน ก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟ และพวยพุ่งไปทั่วร่างกาย
“ไปกันเถอะ!”
“คราวนี้ นายน้อยผู้นี้จะให้เจ้าได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่แท้จริงเอง!”
…
“หืม? ทำไมเจ้ามดสองตัวนี้ถึงออกจากเมืองวันนี้? นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติยิ่ง ข้าต้องรีบรายงานเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่อวิ่นเฉิงทราบ!” ในเวลาเดียวกัน ศิษย์จากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตก็รีบเดินออกไปจากถนน พลันจ้องมองจากระยะไกลไปที่มู่โถวและไจ่จือที่เพิ่งหายตัวไปหลังประตูเมือง
ศิษย์คนนี้คือศิษย์น้องเลี่ยว ผู้ซึ่งจับตัวไจ่จือและมู่โถว ก่อนที่จะค้นหาร่องรอยของเฉินซีจากความทรงจำของพวกเขา
ต่อมา ภายใต้คำแนะนำของศิษย์พี่อวิ่นเฉิง เขาได้ลบความทรงจำส่วนหนึ่งของมู่โถวและไจ่จือ ก่อนที่จะนำทั้งสองกลับเข้าไปในเมือง ในเวลาเดียวกัน มู่โถวและไจ่จือถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากเงามืด และเป็นเพราะพวกมันหวังว่าจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเฉินซีจากชายสองคนนี้
ตอนนี้การกระทำที่ผิดปกติของมู่โถวและไจ่จือ ทำให้ศิษย์น้องเลี่ยวตื่นเต้นขึ้นทันที เพราะการใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อเฝ้าติดตามอย่างขมขื่น ทำให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจ แต่วันนี้นับว่าโชคดีที่ดูเหมือนถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลกำไรแล้ว!
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ศิษย์น้องเลี่ยวจะดำเนินการ ร่างสองร่างก็แวบผ่านต่อหน้าต่อตาอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ศิษย์น้องเลี่ยวก็ยังจดจำตัวตนของพวกมันได้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “ศิษย์พี่จูและผู้อาวุโสโมลี่โฉวหรือ? หรือว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่าง? หากเช่นนั้นข้าควรรายงานเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่อวิ่นเฉิงทราบดีหรือไม่?”
เขาตระหนักดีว่า จูต่งถิงกระหายความสำเร็จ และหากทั้งสองรู้ว่าเขาเป็นผู้แจ้งอวิ่นเฉิงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว จูต่งถิงคงทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
“ข้าควรทำอย่างไรดี?” ศิษย์น้องเลี่ยวตกอยู่ในความลังเล และในที่สุดเขาก็ทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ ข้าจะรออีกสักพัก แล้วค่อยรายงานให้ศิษย์พี่อวิ่นเฉิงทราบ ช่วงเวลานี้ก็เพียงพอสำหรับศิษย์พี่จูที่จะทำผลงานและคว้าความสำเร็จทั้งหมด ด้วยวิธีนี้ เขาจะไม่ตำหนิข้าแน่นอน”
น่าเสียดาย ที่ศิษย์น้องเลี่ยวไม่ได้ตระหนักถ่องแท้ ว่าอาจมีสิ่งต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาล่าช้า และผลลัพธ์ของเรื่องเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในท้ายที่สุด เนื่องจากระยะเวลาที่ล่าช้า โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ จึงพลาดไปเช่นกัน….
…………….