บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1100 ศิษย์พี่
บทที่ 1100 ศิษย์พี่
บทที่ 1100 ศิษย์พี่
เฉินซีเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะจำตนได้!
แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณของเฉินซีนั้นมหาศาล เขาสังเกตเห็นพลังชีวิตในร่างกายของทั้งสอง ที่จู่ ๆ ก็เปล่งประกาย พร้อมกับร่องรอยของจิตสังหารที่หนาแน่นเมื่อเห็นตน
แม้ว่าร่องรอยของเจตนาฆ่านี้จะฉายเพียงชั่ววูบ แต่ก็ยังถูกเฉินซีสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบขาด เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาร้าย เขาก็รู้สึกวิตกทันที
แต่เมื่อเฉินซีเห็นว่าใบหน้าของเว่ยเทียนและคนอื่น ๆ กลายเป็นมืดมน เนื่องจากการมาถึงของเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้น เฉินซีก็พลันเกิดความคิดบางอย่าง จากนั้นก็แย้มยิ้มขณะกล่าวกับเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้น “ศิษย์พี่ พวกท่านมาแล้ว”
“ศิษย์พี่หรือ?”
เมื่อได้คำยินคำพูดเหล่านี้ ทำให้สีหน้าของเว่ยเทียน หลิวชิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ต่างยิ่งมั่นใจได้ว่า สองคนนี้เป็นกำลังเสริมของเฉินซีจริง ๆ
ในทางกลับกัน เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นต่างตกตะลึง “ศิษย์พี่หรือ? เรากลายเป็นศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนั่นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่สู้ดีนัก เห็นได้ชัดว่าเฉินซีถูกคนกลุ่มนี้ปิดล้อม และยิ่งตอกย้ำว่าที่เฉินซีกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อยืมมือคนอื่นมาจัดการกับพวกเขาสองคน!
เจี่ยงหนิงขมวดคิ้วและกำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เฉินซีกลับร้องขอความเป็นธรรมอย่างโกรธเกรี้ยว “ศิษย์พี่ คนพวกนี้รังแกข่มเหงข้า เพียงเพราะข้าอยู่ตัวคนเดียว พวกท่านต้องทวงความยุติธรรมให้กับข้า!”
“บัดซบ! ใครคือ…” เจี่ยงหนิงอ้าปากของเขาด้วยความตั้งใจที่แก้ต่างในคำพูดของเฉินซี แต่เฉินซีกลับชิงตัดหน้ากล่าวก่อนอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ พวกมันโอหังเกินไปจริง ๆ!”
“เจ้า…” เยว่เจิ้นที่อยู่ใกล้ ๆ พลันเข้าใจในสถานการณ์ เขากำลังจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ทว่าเฉินซีกลับแสดงสีหน้ากังวล “ศิษย์พี่ ไว้เราค่อยพูดคุยกันทีหลัง ตอนนี้ไม่อาจชักช้า มิฉะนั้นมันจะสายเกินไปถ้าพวกท่านไม่ลงมือ!”
ในขณะที่กล่าว ร่างของเฉินซีพลันสว่างวาบ พร้อมกับกู่ร้องแล้วพุ่งเข้าใส่กลุ่มของเว่ยเทียน “ศิษย์พี่ เร็วเข้า เป็นการดีที่สุดที่จะยุติการต่อสู้โดยเร็ว พวกเขาเป็นศิษย์ของขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหยกขจี หากเราชักช้า เราอาจจะไม่สามารถหลบหนีได้!”
ฉับพลันสีหน้าของเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นกลายเป็นมืดมนอย่างมาก พวกเขาจึงมองอย่างเฉยเมย ไม่ลงมือใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจกับเฉินซีอีก หันมากล่าวกับเว่ยเทียนและคนอื่น ๆ “ทุกท่าน พวกเรา…”
“พอได้แล้ว! พวกเจ้าทั้งคู่ไม่ได้มาเร็วหรือช้า แต่กลับปรากฏตัวในตอนนี้ พวกเจ้าตั้งใจจะหลอกลวงผู้ใด? คิดว่าพวกเรานั้นโง่เขลาหรือ?” หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยที่มีอารมณ์ร้อนที่สุด ตวาดออกมาได้อย่างดุเดือด จากนั้นจึงฟันกระบี่ใส่เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้น
“บัดซบ รนหาที่ตายแล้ว!” เจี่ยงหนิงเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธสุดขีดเมื่อเห็นสิ่งนี้ และฟาดฝ่ามือออกไป มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงเรืองรองก่อตัวขึ้นด้วยพลังของกฎที่พลุ่งพล่าน มันเข้าปะทะผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยอย่างรุนแรง ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นกระอักเลือดออกมาซ้ำ ๆ ร่างกายปลิวว่อนประหนึ่งลูกกระสุนปืนใหญ่
ผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยคนนี้ พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!
เยว่เจิ้นที่อยู่ใกล้ ๆ พลันคิดในใจ “บัดซบ! หากเป็นเช่นนี้ ไอ้สารเลวเหล่านี้ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเราเป็นศิษย์พี่ของไอ้บัดซบเฉินซี…”
“ยอดเยี่ยมมากศิษย์พี่!” เฉินซีเอ่ยชื่นชมในเวลาที่เหมาะสม และไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า นิ้วทั้งห้ากางออกเป็นกรงเล็บ เพื่อสร้างพลังคล้ายคลื่นลมพายุเป็นชั้น ๆ พุ่งเข้าหากลุ่มของเว่ยเทียน
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตื่นตระหนก ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว เดิมทีพวกเขายังไม่แน่ใจว่าเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นเป็นกำลังเสริมของเฉินซีจริงหรือไม่ แต่ก็แค่สงสัย ไม่ได้คิดล่วงเกินคนใครทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเจี่ยงหนิงโจมตีอย่างโหดเหี้ยม และทำให้หนึ่งในสหายของพวกตนได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดก็สูบฉีดขึ้นไปที่สมอง พวกเขาไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป
“แล้วถ้าสองคนนี้ไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กบัดซบนั้นล่ะ? แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อพวกมันกล้าทำร้ายคนของตระกูลเว่ย พวกมันต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
ทันใดนั้น เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป และกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฆ่า! ฆ่าไอ้สามตัวนี้ซะ!”
“พวกมันกล้าที่จะอาละวาดในอาณาเขตของเรา! พวกมันกำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!”
“เราไม่อาจปล่อยพวกมันไปได้เป็นอันขาด! ฆ่าพวกมันให้หมด!”
การต่อสู้ปะทุขึ้นด้วยเสียงดังโครมคราม และบริเวณโดยรอบก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที เสียงของการต่อสู้ก็สามารถได้ยินอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“ทุกท่าน โปรดใจเย็นก่อน เราไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนั้น…”
เยว่เจิ้นขมวดคิ้ว ขณะหลบการโจมตีของอีกฝ่าย และพยายามอธิบายซ้ำ ๆ ด้วยเสียงราวกับฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ
โดยปกติ เยว่เจิ้นย่อมไม่กลัวคนเหล่านี้ แต่การถูกเฉินซีหลอกใช้ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเช่นกัน เพราะหากพลาดโอกาสจับกุมตัวเฉินซีเพียงเพราะเหตุนี้ เขาก็คงไม่สามารถยอมรับได้
เยว่เจิ้นพุ่งเข้าใส่เฉินซีด้วยความตั้งใจที่จะพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ศิษย์พี่ของเฉินซีจริง ๆ
แต่ในสายตาของเว่ยเทียนและคนอื่น ๆ มันกลับกลายเป็นเยว่เจิ้นตั้งใจช่วยเหลือเฉินซี ทำให้พวกเขายิ่งโกรธแค้นมากขึ้น
“มารดามัน! นี่เจ้ายังเสแสร้งในเวลาเช่นนี้อยู่อีก!?”
“บัดซบ! กี่ครั้งแล้วที่พวกเจ้าตั้งใจจะเล่นตลก? ถ้าเจ้าสองคนไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนั้น แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงรู้จักกับมัน!”
“ถุ๊ย ไอ้สารเลว! ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”
“อ๊าก!!! ไอ้ชาติชั่ว! เจ้าทำแขนขวาของข้าพิการ! เจ้าโจมตีอย่างไร้ปรานี แต่ยังบอกว่าไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนั้นอีกเหรอ? ช่างชั่วช้าจริง ๆ ชั่วช้ายิ่งนัก!”
“ฆ่า! อย่าได้ไปฟังคำลวงของมัน มันคือกับดัก! พวกมันจงใจหลอกลวงพวกเรา!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยเดือดดาลด้วยความโกรธ และโจมตีอย่างบ้าคลั่ง คำอธิบายของเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นนั้น กลับทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองนั้นโง่งม มีแต่จะโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน เจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นก็มีน้ำโหไม่ต่าง พวกเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ประเสริฐ! ประเสริฐมาก! ไอ้พวกโง่บัดซบ! ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย งั้นเราจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง!”
ทั้งคู่ไม่คิดลังเล และแสดงฝีมือที่แท้จริง
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนและน่าสยดสยองของการต่อสู้ก็ดังก้องไปในอากาศ เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดไปทุกทิศทุกทาง บังเกิดเป็นฉากโกลาหลอย่างมาก
และท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เฉินซีตั้งใจเคลื่อนตัวไปที่ชายขอบของสนามรบ ขณะเฝ้าดูเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นอย่างใจเย็น ซึ่งในใจของเขาก็รู้สึกตกตะลึง เพราะพลังฝีมือของทั้งสองนั่นน่ากลัวมากจนเกินความคาดหมายไปไกล พลังฝีมือเหนือกว่าเหลียงปิงด้วยซ้ำ หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ จะต้องลำบากมากแน่
สองคนนี้คือใครกัน?
หรือว่าตระกูลอินส่งพวกมันมาจัดการข้า?
ไม่สิ นอกจากอินเหมียวเมี่ยวแล้ว ก็ไม่มีใครในหมู่ศิษย์รุ่นใหม่ของตระกูลอินที่สามารถเทียบได้กับสองคนนี้ ดังนั้น… เป็นใครกัน?
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ขณะรู้สึกถึงอันตราย ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายกับสถานการณ์ในทวีปสันติบูรพาไม่มีผิด ที่เขาถูกไล่ล่าด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า และไม่รู้ว่ากองกำลังใดเป็นของใครกันแน่
“ดูเหมือนว่าการเดินทางของข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะไม่สงบเสียแล้ว…”
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุด เพื่อเปิดช่องโหว่ออกจากวงล้อมนี้ ก่อนจะใช้ทักษะปีกกำราบผกผันด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทำให้ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งไปทางเมืองหยกขจีอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่เว่ยเทียน เจ้าเด็กนั่นหนีเข้าเมืองไปแล้ว!”
“เราควรไล่ตามหรือไม่”
ยามนี้ ใบหน้าของเว่ยเทียนเต็มไปด้วยเลือดจากการต่อสู้ อีกทั้งยังบิดเบี้ยวและโหดเหี้ยม เขาหัวเราะอย่างน่าสยดสยองเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็กัดฟันและกล่าวว่า “การที่มันเข้ามาในอาณาเขตของเรา มันไม่ดีหรอกหรือ? การกระทำของมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปในกับดัก แล้วมันจะหนีไปได้ไหนอีก? จัดการกับไอสารเลวสองตัวนี้ก่อน!”
“เว่ยเทียน! พวกเจ้าทุกคนถูกหลอกแล้ว พวกเขาไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนั่นอย่างแน่นอน!” ในขณะเดียวกัน หลิวชิงเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะสงบที่สุด และนางก็มองเห็นเบาะแสมากมายจากสัญญาณต่าง ๆ ในระหว่างการต่อสู้
“หลอกหรือ!? ให้ตายเถอะ สิ่งที่ข้าเห็นก็คือไอ้สองตัวนี้ทำร้ายคนของตระกูลเว่ยของเราไปหลายคน!” ในขณะนี้ เว่ยเทียนตกอยู่ในความบ้าคลั่งมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจะสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร?
“เจ้า…” หลิวชิงเอ๋อร์โกรธจนกัดฟันแน่น และครุ่นคิดในใจอย่างเดือดดาลว่า ‘เจ้ามันโง่เขลาอย่างแท้จริง แล้วเจ้ายังมีหน้ามาตามตื๊อข้าด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดเช่นนั้นหรือ? ถุ๊ย!’
เมื่อเห็นว่าเฉินซีได้หนีไปแล้ว แต่กลับถูกกลุ่มคนโง่เขลาเหนี่ยวรั้งไว้ ทั้งเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นรู้สึกโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด สีหน้ากลายเป็นซีดเผือด และต่อสู้อย่างสุดกำลัง
ไม่นานหลังจากนั้น เว่ยเทียนและคนอื่น ๆ ก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ไม่หลงเหลือใครสักคนที่ยืนหยัดได้อีก บางคนหมดสติจากอาการบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็แขนขาหัก ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช และน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ตอนนี้ เว่ยเทียนและคนอื่น ๆ รู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ สายตาที่มองเจี่ยงหนิงและเยว่เจิ้นก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุด
“พวกเจ้าทั้งสองฝากไว้ก่อนเถอะ! ผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเว่ยอยู่ที่นี่ และพวกเจ้าไม่มีทางหลบหนีได้แน่!”แม้เว่ยเทียนจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่ยังไม่สิ้นจิตวิญญาณ เขายังคงยันตัวเองขึ้นและตะโกนด้วยเสียงอันดังก้อง
เมื่อเขาเห็นว่าเว่ยเทียนยังคงเข้าใจผิดจนถึงตอนนี้ ดวงตาของเจี่ยงหนิงก็ทอประกายเย็นชา ในขณะที่จิตสังหารอุบัติขึ้นในใจ แต่กลับถูกหยุดด้วยการถอนหายใจจากเยว่เจิ้น “พวกมันเป็นเพียงไอ้โง่กลุ่มหนึ่งที่ถูกหลอกใช้ การไล่ตามเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญกว่า”
“ด้วยตราคำสั่งของนายน้อย จะมีใครทำอะไรกับเราได้ แม้ว่าเราจะฆ่าล้างบางพวกมันก็ตาม” เจี่ยงหนิงแค่นเสียงเย็น และไม่เต็มใจเล็กน้อยที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป แม้จะรู้ว่า พวกสารเลวเหล่านี้น่าจะเป็นศิษย์ของขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหยกขจี และถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เขาคงสังหารพวกมันทั้งหมดไปนานแล้ว ไม่ใช่แค่ทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัส
“แต่พวกมันยังคงสร้างปัญหาอยู่ดี สิ่งนี้มีแต่จะทำให้เราไล่ตามเป้าหมายได้ช้าลง” เยว่เจิ้นกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่ามังกรทรงพลังไม่อาจสู้อสรพิษเจ้าถิ่นได้ หากฆ่าคนกลุ่มนี้ ย่อมมีปัญหาตามมาแน่ พวกผู้อาวุโสของคนเหล่านี้จะออกโรงต่อต้านพวกตน
แต่พวกเขามาจากตระกูลจั่วชิว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวเรื่องไร้สาระพรรคนี้เลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม หากคนเหล่านี้ใช้อุบายเพื่อขัดขวางพวกเขาล่ะ?
“ไปกันเถอะ สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือการไล่ตามเป้าหมาย!”
เยว่เจิ้นส่ายศีรษะก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งยังเมืองหยกขจีที่อยู่ไกลออกไป ส่วนเจี่ยงหนิงก็มองเว่ยเทียนและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา จากนั้นก็จากไปเช่นกัน
พวกเขาไม่ได้พูดคุยผ่านกระแสปราณ ดังนั้นเว่ยเทียนและคนอื่น ๆ จึงได้ยินอย่างชัดเจน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้ากันและกัน
“หรือนี่อาจเป็นความเข้าใจผิดจริง ๆ?”
“เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่ศิษย์น้อง แต่เป็นคนที่พวกเขากำลังตามล่า?”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือมีเป้าหมายอะไร ในเมื่อพวกมันกล้าล่วงเกินเรา เช่นนั้นเราก็ไม่อาจปล่อยพวกมันไปได้” เว่ยเทียนตกตะลึง ก่อนจะกัดฟันและกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือด “ในเมื่อพวกมันกล้าอาละวาดในเมืองหยกขจีของเรา ดังนั้นพวกมันจะต้องชดใช้! มิฉะนั้นตระกูลเว่ยของเราจะมีหน้าอยู่ในเมืองหยกขจีต่อไปได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว! เพื่อชื่อเสียงของตระกูลเว่ย ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร พวกมันก็ต้องชดใช้!”
“บัดซบ! ความแค้นนี้ต้องได้รับการชำระ!”
“ต่อให้พวกมันจะมีพลังฝีมือที่กล้าแกร่งแล้วจะทำไม? ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสของเราจะนิ่งเฉยได้!”
เว่ยเทียนและคนอื่น ๆ รู้สึกตื่นเต้นทันที พวกเขาทั้งหมดกัดฟันและพยุงตัวเองขึ้น จากนั้นก็พากันบินโซเซไปทางเมืองหยกขจี
หากใครไม่ได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็คงจะสะเทือนใจกับภาพที่เห็นนี้อย่างมาก เมื่อเห็นฉากที่เว่ยเทียนและคนอื่น ๆ มีกำลังใจฮึกเหิมมากขึ้น พร้อมกับร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียว
น่าเสียดายที่การกระทำทั้งหมดในวันนี้เป็นเพียงเรื่องตลก หากคำพูดนี้แพร่กระจายออกไป มันจะดึงดูดความสมเพชและคำเยาะเย้ยจากผู้คนนับไม่ถ้วนแทน