บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 539 คลื่นใต้น้ำกำลังปะทุ
บทที่ 539 คลื่นใต้น้ำกำลังปะทุ
บทที่ 539 คลื่นใต้น้ำกำลังปะทุ
ถึงแม้วิปลาสหลิ่วจะจากไปนานแล้ว แต่หัวใจของเฉินซีก็ไม่อาจกลับมาสงบได้
ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า เมื่อเผชิญกับแผนการของเซียนสวรรค์ เขายังคงอ่อนแอและไร้พลัง ดังนั้นความรู้สึกเช่นนี้จึงทำให้เขาอึดอัดเป็นอย่างมาก
‘ต้องแข็งแกร่งขึ้น! ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! จึงจะสามารถทำลายแผนการชั่วร้ายทุกอย่าง แล้วเหตุใดข้าต้องมากังวลและเค้นสมองเพื่อการนี้ด้วย?’
เฉินซีกำหมัดแน่นขณะที่เขาจ้องมองอย่างแน่วแน่
‘ปิงซื่อเทียนถ้าเจ้าต้องการต่อสู้กับข้าจริง ๆ แล้วละก็ จงเข้ามาได้เลย!’
ในขณะนี้ เฉินซีมีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การมีอยู่ของปิงซื่อเทียนทำให้เขารู้สึกกดดัน แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ตรงกันข้าม ภายใต้แรงกดดันนี้เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น และกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงอย่างรวดเร็ว!
…
ยามดึก
“ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์!” เฉินซีอุทานด้วยความตกใจจากในห้อง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ และพลันค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า การบ่มเพาะของเขาได้ทะลวงไปสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว
กงล้อสังสารวัฏภายในร่างกายเปลี่ยนเป็นห้าสี มันสว่างไสว และเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา อีกทั้งยังส่องประกายแวววาวดุจผลึกแก้วและเงางามดุจภาพฝัน ยิ่งไปกว่านั้น ปราณสีขาวและดำก็ไหลเวียนอยู่ที่จุดศูนย์กลางของกงล้อสังสารวัฏ พวกมันต่างสอดประสานกันจากระยะไกล ซึ่งดูลึกล้ำอย่างยิ่ง
สิ่งนี้คือขอบเขตจุติระดับเจ็ด เมื่อถึงจุดนี้ ธาตุทั้งห้าจะถูกควบแน่น หยินและหยางจะถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งหมุนเวียนด้วยเต๋ารู้แจ้งอันลึกล้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณของขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์! ในที่สุดเฉินซีก็แน่ใจแล้วว่า การบ่มเพาะปราณแท้ของเขามาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจุติแล้ว สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง
อีกทั้ง… เมื่อพบว่าการบ่มเพาะกายาเองก็บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกตกตะลึงทันที
“ความเร็วในการก้าวหน้าระดับนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?” เฉินซีพึมพำกับตัวเอง แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผลในครู่ต่อมา
ระหว่างการต่อสู้กับกองทัพมรณะก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยให้หม้อใบจิ๋วสะสมพลังเทวะได้มากขึ้น เฉินซีจึงตกอยู่ในสภาวะต่อสู้ ทำให้พลังที่มีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ …เขายังได้ทำลายช้างศึกและกองทัพมรณะเกราะทองคำไปนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงได้พลังเทวะมาอย่างมากมายจนเกินที่จะจินตนการได้
ถึงแม้ว่าพลังเทวะส่วนใหญ่จะถูกหม้อใบจิ๋วดูดซับไป แต่ก็ยังเหลือพลังเทวะจำนวนมากที่เติมเต็มให้แก่ร่างกายของเขาได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการบ่มเพาะของเขาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเฉินซีสังหารกองทัพมรณะเกราะทองคำและกองทัพมรณะเพลิงนรกไปกว่าสามสิบตัวในวันนั้น จึงทำให้การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเขาได้บรรลุไปสู่ขอบเขตจุติระดับสาม ซึ่งได้ทำให้การขัดเกลากายากับการบ่มเพาะปราณแท้ของเขาบรรลุสู่การกลั่นกรองระดับที่ 3 ของขอบเขตจุติ สิ่งที่เขาต้องการกวาดล้างในตอนนี้คือกองทัพมรณะเกราะทองคำและช้างศึก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าพลังเทวะที่เขาได้รับนั้นมหาศาลเพียงใด
มันมหาศาลถึงขั้นที่หม้อใบจิ๋วสามารถพุ่งออกไปสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนติดต่อกัน หลังจากที่ได้ดูดซับพพลังเทวะเหล่านี้ ดังนั้นการที่พลังบ่มเพาะของเขาจะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ก็สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
“ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์… เหลือเพียงขอบเขตสถิตกายาและขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น ที่อยู่ระหว่างข้ากับขอบเขตเซียนสวรรค์…”
ในขณะนี้ การก้าวหน้าอย่างทวีคูณของการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเขา ทำให้ความมั่นใจของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดในใจเขา ก่อนจะตั้งสมาธิไปที่การบ่มเพาะอีกครั้ง
การบ่มเพาะที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บ่มเพาะมีความสุข แต่หากผู้บ่มเพาะไม่สามารถเชี่ยวชาญและทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้ ก็จะส่งผลต่อการใช้พลังในการต่อสู้เช่นเดียวกัน
ซึ่งเหมือนกับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ชำนาญทักษะกระบี่ จู่ ๆ ก็ได้รับกระบี่ที่ทรงพลังกว่า แต่กลับไม่คุ้นเคยกับมันอย่างสิ้นเชิง ทักษะและความเชี่ยวชาญของเขาก่อนหน้านี้ ก็ไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงต้องปรับความสามารถและการควบคุมโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นชายหนุ่มจะได้รับอันตรายจากกระบี่แทน
…
รุ่งสางของวันถัดมา เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิและแผ่พลังวิญญาณออกไป พลังชีวิตในร่างกายของเขาก็หวนคืนสู่สภาวะที่ดีที่สุด
ชายหนุ่มเดินไปที่ลานบ้านและฝึกฝนเพลงหมัดอย่างสบาย ๆ มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อเขารู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านเหมือนคลื่นมหาสมุทรอยู่ภายในร่างกาย
การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเฉินซีนั้นอยู่ในขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาทั่วไป แต่คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถสยบเขาได้อีกต่อไป
ในที่สุด เฉินซีได้ครอบครองยันต์ศาสตราที่ทรงพลังมากกว่าสมบัติกึ่งอมตะทั่วไป ซึ่งเพียงพอจะก้าวข้ามขอบเขตเพื่อสังหารศัตรู!
“เฉินซี… เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วหรือ?” ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ได้เดินเข้ามา นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังราวกับเกิดใหม่
“เอ๊ะ ดูเหมือนเจ้าจะกล่าวถูก หากข้าเดาไม่ผิด การบ่มเพาะของเฉินซีน่าจะบรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่?” นายน้อยโจวประเมินคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความตกใจเช่นกัน
คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และดวงตาของพวกเขาก็มีร่องรอยของความชื่นชม
พวกเขามาถึงสมรภูมิบรรพกาลได้ไม่ถึงปี แต่เฉินซีไม่เพียงบรรลุจากขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเข้าสู่ขอบเขตจุติเท่านั้น เขายังบรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ในตอนนี้อีกด้วย ความเร็วในการก้าวหน้าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หากข่าวนี้แพร่ออกไปก็คงจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อ
“พวกเจ้าจะโวยวายอะไรนักหนา? การบ่มเพาะของพวกเจ้าก็ก้าวหน้าขึ้นมากเช่นกันมิใช่หรือ?”
เฉินซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เนื่องจากสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า ความแข็งแกร่งของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็อยู่ในขอบเขตจุติระดับสาม ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สุดเช่นชิงซิ่วอี้และ เจิ้นหลิวชิงได้บรรลุขอบเขตจุติระดับห้าแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดได้รับพลังเทวะจำนวนมากในขณะที่ต่อสู้กับกองทัพมรณะ
“นั่นก็จริง” นายน้อยโจวถอนหายใจ “เมื่อวานนี้ข้าได้ไปยังเมืองเพื่อรวบรวมข้อมูล จึงได้พบว่าการบ่มเพาะของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีหลายคนได้บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ โดยเฉพาะเฟิงเจี้ยนไป๋ ข้าได้ยินมาว่า เขามีพลังพอจะบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายามาตั้งนานแล้ว แต่เขาแค่รอจะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเสียก่อน จึงจะทะลวงขอบเขตในภายหลัง”
การขัดจังหวะของนายน้อยโจวได้ดึงความสนใจของทุกคนออกจากเฉินซี และพวกเขาก็ลอบถอนหายใจ
“มีอัจฉริยะมากมายในโลกนี้ ในขณะที่ข้ากำลังก้าวหน้า คนอื่น ๆ ก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ?”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องบ่มเพาะให้มากขึ้นและอย่าได้กล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย ใช่หรือไม่?”
หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองพร้อมกับเฉินซี
ทูตของแดนภวังค์ทมิฬจะประกาศเรื่องการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬตรงศิลาจารึกที่อยู่ใจกลางเมืองตอนบ่ายของวันนี้ เมื่อถึงเวลานั้น ผู้บ่มเพาะทุกคนที่รอดชีวิตจากการทดสอบขั้นสุดท้ายในสมรภูมิบรรพกาล จะต้องเข้าร่วมและฟังการเตรียมการของทูต
เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้น
…
ณ พื้นที่ใจกลางเมืองบรรพกาล
เมื่อรุ่งสางเพิ่งจะมาถึง ผู้บ่มเพาะหลายคนก็รีบเร่งเข้ามาอย่างเนืองแน่น พร้อมดวงหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและกำลังใจจนไม่อาจปกปิดได้
นับตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล พวกเขาก็ประสบกับอันตรายและความยากลำบากมานับไม่ถ้วน จนในที่สุด …ก็จะมีโอกาสเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬอันลึกลับและกว้างใหญ่ จึงทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจอย่างสุดขีด
ระหว่างทางที่ผ่านมา มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายที่เห็นกลุ่มของเฉินซี และพวกเขาต่างพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและคำขอบคุณจากใจจริง
เหตุการณ์ที่เฉินซีได้พลิกสถานการณ์และทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนเมื่อวานนี้ เป็นสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ ถึงแม้วีรกรรมนั้นจะเป็นสิ่งที่บุคคลลึกลับและยิ่งใหญ่ใช้ร่างของเขาเพื่อทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้น แต่ทุกคนก็มิอาจละเลยการแสดงความขอบคุณต่อชายหนุ่มได้
ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่พวกเขากังวล ชายหนุ่มย่อมสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่พวกเขาสนใจอย่างแท้จริงก็คือ กองกำลังใดที่เฉินซีจะเลือกเข้าร่วม หลังจากเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ
ทูตของแดนภวังค์ทมิฬล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบในการคัดเลือกศิษย์สำหรับกองกำลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้น… ด้วยชื่อเสียงและพลังในปัจจุบันของเฉินซี กองกำลังต่าง ๆ จะยื่นมือมาให้เขาและยินดีต้อนรับให้เข้าร่วมกองกำลังของตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นกองกำลังใดจึงจะสามารถทำความปรารถนาของพวกเขาให้เป็นจริง?
เรื่องทั้งหมดนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในใจของทุกคน
ในเวลาไม่นาน ผู้บ่มเพาะทั้งร้อยสิบสามคนที่รอดชีวิตจากการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล ได้มาถึงที่เบื้องหน้าของศิลาจารึก และการมาถึงของกลุ่มของเฉินซี ก็ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดความวุ่นวาย
ในแง่หนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงของชายหนุ่มโด่งดังเป็นอย่างมาก และยังเป็นเพราะไม่มีศิษย์จากราชวงศ์ซ่งคนใดเสียชีวิตในการทดสอบครั้งสุดท้าย ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความสามารถที่ค่อนข้างโดดเด่นและน่าตกตะลึงอยู่พอสมควร
เพราะแม้แต่สามราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติก็สูญเสียกองกำลังไปกว่าครึ่ง ในขณะที่ราชวงศ์ระดับกลางอย่างราชวงศ์ซ่งกลับสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องกล่าวว่ามันเป็นปาฏิหาริย์
“อืม?” จู่ ๆ เฉินซีก็หันศีรษะไป เห็นซางเชวี่ยของตระกูลซางที่อยู่ในฝูงชนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจ จากนั้นเขาก็รีบหันหน้าหนีทันทีที่ชายหนุ่มสังเกตเห็น
“แม้คนผู้นี้จะเหลืออยู่แค่ตัวคนเดียว แต่ก็รอดชีวิตจากการทดสอบสุดท้ายได้ ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษหลิงหยาจะดูแลเขาเป็นอย่างดี” เฉินซีดูจะคิดอะไรบางอย่างออก
“อ๊ะ ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่านพี่เฉินจะมาที่นี่แล้ว!” เสียงหัวเราะที่ชัดเจนและสดใสได้ดังขึ้นในขณะนี้ จนทำให้ฝูงชนปั่นป่วน หลังจากนั้นเฟิงเจี้ยนไป๋ที่สวมชุดสีขาวได้แยกออกมาจากฝูงชนและเดินก้าวยาวเข้าไปหาเฉินซี
เขามีรูปร่างที่สมส่วน รูปลักษณ์หล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ผิวขาวราวกับหยกและเปล่งประกาย ดวงตาลุ่มลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว อีกทั้งยังมีเส้นผมสีดำสนิทดุจแท่นหมึก ทั้งหมดนี้ทำให้เขามีบุคลิกที่สดใส สง่างามและโดดเด่นท่ามกลางคนอื่น ๆ
เฉินซีขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เราเป็นศัตรูกัน ดังนั้นเจ้าควรอยู่ห่างจากข้า มิฉะนั้น ข้าเกรงว่าจะไม่อาจอดกลั้นและพลั้งมือฆ่าเจ้าโดยไม่รู้ตัว”
ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ เฉินซีเป็นคนเดียวที่กล้ากล่าวแบบนั้นกับเฟิงเจี้ยนไป๋
“เจ้า…” ดวงตาของคนฟังหรี่ลง จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะและดูสงบมาก ในขณะที่เขากล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “พี่เฉิน ข้าเคยบอกท่านนานแล้วว่า เจ้ามีอารมณ์ที่ปะทุได้ง่ายเกินไป และมันจะส่งผลเสียต่อการบ่มเพาะของเจ้าในอนาคต”
“เจ้าควรดูแลเรื่องของตัวเองให้ดีกว่านี้ สำหรับข้า เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะชี้แนะข้าหรือ? อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป มิฉะนั้น เจ้าจะตายโดยไม่รู้ตัว” เฉินซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“โอ้? ในเมื่อพี่เฉินตั้งใจจะไปตามทางของเขา ไว้เราค่อยมาดูกัน” เฟิงเจี้ยนไป๋ไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาระเบิดเสียงหัวเราะ ในขณะที่ดวงตากวาดสายตาไปยังเฉินซีและคนอื่นๆ ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับจากไปอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม
“วันนี้คนผู้นี้ดูแปลกไปเล็กน้อย…” ชิงซิ่วอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“บางทีเขาอาจจะได้ยินข่าวลือว่ามีคนต้องการสร้างปัญหาให้กับข้า” ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่วิปลาสหลิ่วกล่าวเมื่อวานนี้ แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย
“ดูสิ ทูตของแดนภวังค์ทมิฬมาแล้ว!” ในขณะนี้ คลื่นเสียงของความตื่นเต้นได้ดังก้องอยู่ที่ข้างหูของเขา
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าเขาเห็นทูตของแดนภวังค์ทมิฬกว่าสิบคนมารวมตัวกันจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น …เงาร่างทั้งหมดนั้นเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ราวกับพระอาทิตย์ที่สว่างไสวจำนวนมาก ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์