บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 916: ช่วยเหลือ
ตอนที่ 916: ช่วยเหลือ
ตอนที่ 916: ช่วยเหลือ
ระหว่างทางกลับจากถ้ำใต้ดิน
“เหตุใดกันสหายเต๋าจึงผนึกจักรพรรดิกระดูกขาวไว้แทนที่จะฆ่าเสียเล่า?”
โยวเสวี่ยถาม
“เมื่อกาลก่อนที่ข้าจะวนเวียนในหุบเขาเทพร่วงโรย ข้าได้พบบุปผาราตรีกำสรวลอายุสามหมื่นปีเข้าดอกหนึ่ง ทว่ากระดูกเฒ่านั้นยืนกรานจะแย่งมันจากข้า”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “เขาโจมตี และยังพยายามใช้เย่น้อยเป็นตัวประกันขู่ข้า ปกติแล้วข้าคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายแน่ ๆ แต่ข้าเห็นว่ายามลงมือกับเย่น้อย เขาไร้ซึ่งเจตนาสังหาร และไม่ได้กระทำการเหี้ยมโหด ข้าจึงแค่ขังเขาไว้ที่นี่แทน”
โยวเสวี่ยพลันเข้าใจในทันที
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “หากสักวันข้าตกสู่อันตรายเหมือนกัน สหายเต๋าจะลงมือเพื่อข้าหรือไม่?”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ นางก็ก้มหัวลงหลบสายตาจากซูอี้
ซูอี้ตอบโดยไม่ลังเล
หนึ่งพยางค์สั้น ๆ เรียบ ๆ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสีกุหลาบของโยวเสวี่ย
ใบหน้าอันเย็นชาอ้างว้างดูให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป ความปีติเปี่ยมดวงใจอย่างไม่อาจบรรยาย
นางรู้ดีมากว่ายากเพียงไรที่จะสามารถทำให้คนเช่นซูเสวียนจวินตอบเช่นนี้ออกมาได้
“สหายเต๋า เราจะไปที่ใดกันต่อหรือ?”
โยวเสวี่ยถามเบา ๆ
“ไปจับบรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าแล้วขอให้ ‘ช่วย’ มากกว่านี้”
ซูอี้กล่าวอย่างสบาย ๆ
แววตาของโยวเสวี่ยพลันดูพิกล
นี่ขอให้ช่วยหรือ?
บังคับกันชัด ๆ!
…
เขาดาราคล้อย
เป็นหนึ่งในเก้าพื้นที่ต้องห้ามในเมืองมรณะ ซึ่งมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่
ภูเขาลูกนี้ทอดตัวยาวแปดร้อยลี้ มีวิญญาณร้ายแปรเปลี่ยนมาจากสัตว์ร้ายในภูเขามากมาย รวมไปถึงจักรพรรดิวิญญาณร้ายอันแข็งแกร่งสุดขั้วบางตนด้วย
ทว่าในเขาดาราคล้อยนี้ สิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือวิญญาณร้ายกาจของวิหคอัปมงคลปี้ฟาง หรือรู้จักกันในนาม ‘ท่านเทพดาราคล้อย’
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ซูอี้และคณะของเขาปรากฏกายขึ้นในเขาดาราคล้อยและได้พบกับ ‘ท่านเทพดาราคล้อย’ ซึ่งนับได้ว่าเป็นปีศาจเฒ่าระดับสูงสุดในเมืองมรณะ
ท่าทางของเขาดูคร่ำครึ เขาสวมอาภรณ์สีกรมท่าและถือแส้นักพรตในมือราวกับเซียน
คนทุกผู้ที่รู้จักเขาต่างทราบดีว่าปีศาจเฒ่าตนนี้เป็นเจ้าแก่ผู้ไร้ความเมตตา โลภมากและโหดร้าย!
ท่านเทพดาราคล้อยเหลือบมองพวกซูอี้และถามยิ้ม ๆ
“ช่วยข้าทำสิ่งหนึ่งสิ”
ผู้ตอบคือซูอี้ซึ่งเข้าประเด็นแม่นยำ เขาแสดงคัมภีร์แห่งตี้ทิงออกมาทันที “หากเจ้าเห็นด้วย ข้าจะให้โอกาสรอดแก่เจ้า หาไม่ ก็อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าเลย”
ท่านเทพดาราคล้อยอึ้งไป และกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “น้องชายชิงเถิง เจ้าเด็กนี่มาจากหนใด วาจาเขาบ้าไปหน่อยหรือไม่?”
ชิงเถิงกล่าวด้วยสีหน้ามึนตึง “บ้า? ไม่เลย ปี้ฟางเฒ่า ข้าแนะนำว่าเจ้าควรร่วมมือ หาไม่เจ้าแย่แน่”
ท่านเทพดาราคล้อยเปลือกตากระตุก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง “จริง ๆ เลย ข้าฝึกฝนในเมืองมรณะมาแสนนาน แต่ไม่เคยมีสิ่งใดขู่ให้ข้ากลัวได้ อย่าว่าแต่เจ้าเลยชิงเถิง ต่อให้เจ้ากาน้อยกับคนของมันขึ้นเขามา ก็อย่าหวังว่าข้าผู้นี้จะก้มหัวให้!”
วาจานั้นดังก้องกังวานไปทั่ว
ขณะเดียวกัน ปราณทำลายล้างรุนแรงก็แผ่ออกมาจากร่างของท่านเทพดาราคล้อย
ซูอี้หยุดพูดพล่ามและโบกมือ
จักรพรรดิกระดูกขาวปรากฏตัวขึ้นบนอากาศ คู่เนตรเรืองรองราวตะเกียงทอง เขาจ้องมองท่านเทพดาราคล้อยนิ่งไม่ไหวติงราวดาบคมกริบ
ชิ้ง!
โยวเสวี่ยใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา
ท่านเทพดาราคล้อยซึ่งแต่เดิมเย่อหยิ่งไร้ใดเทียบพลันสูดหายใจเฮือก สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์จนสิ้นวาจา “จักรพรรดิกระดูกขาว! เจ้า… ไฉนเจ้า…”
จักรพรรดิกระดูกขาวกล่าวอย่างเฉยเมย “จะช่วยหรือตาย ปี้ฟางเฒ่า เจ้าเลือกมา หากยังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่าข้าผู้นี้ไม่ไว้หน้านะ!”
ท่านเทพดาราคล้อยกลืนน้ำลายเอื๊อก
ในใจเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าไม่อาจทราบได้ว่าเหตุใดจักรพรรดิกระดูกขาวจึงถูกผนึกในคัมภีร์แห่งตี้ทิง
ทั้งยังไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา หนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้ามจึงมาอยู่ในมือสตรีลึกลับผู้นี้ได้
และไม่เข้าใจว่าเหตุใดกระทั่งชิงเถิง นายแห่ง ‘เมืองเสี่ยวหไม่ง’ จึงสวามิภักดิ์ต่อชายหนุ่มชุดเขียว
สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจก็คือ หากเขาไม่อาจตัดสินใจได้อีก ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงแน่นอน!
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านเทพดาราคล้อยก็ถอนใจและก้มหัวลง
…
กาลต่อมา ซูอี้และคณะของเขาก็ไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันแสนร้ายกาจต่าง ๆ ในเมืองมรณะและนำเหล่าตัวตนร้ายกาจในนั้นออกไปกับพวกเขา
แต่ละตนต่างเรียกได้ว่าเป็นผู้ปกครองพื้นที่ต้องห้ามทั้งสิ้น
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้กับคณะที่มาเคาะประตูถึงที่ และเมื่อได้เห็นจักรพรรดิกระดูกขาว เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าและท่านเทพดาราคล้อยต่างอยู่กับซูอี้ ตัวตนร้ายกาจเหล่านั้นก็ล้วนก้มหัวลง…
…
จนกระทั่งสองชั่วยามต่อมา
ตรงหน้าธารโลหิตอันล้อมด้วยขุนเขา
ธารโลหิตนั้นกว้างใหญ่ไพศาล นทีแดงข้นดุจโลหิตไหลวนไม่รู้จบ
อากาศเหนือธารดูยุ่งเหยิง มีรอยแตกมิตินับไม่ถ้วนลอยค้างกลางนภาราวฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ธารสุญโลหิตโกลาหล!
หนึ่งในเก้าพื้นที่ต้องห้ามอันตรายยิ่งยวดในเมืองมรณะ สถานที่ซึ่งวิญญาณมารร้ายในเมืองมรณะกลัวที่จะไปเยือน
เพราะธารสีเลือดนี้เต็มไปด้วยรอยแตกมิติตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นจักรพรรดิมาก็ต้องตาย
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ที่แห่งนี้อันตรายเกินไป เขาจึงให้คนอื่น ๆ รออยู่ห่าง ๆ
“เฒ่าคิ้วขาว ออกมาเร็วเข้า”
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลังและกล่าวอย่างเฉยเมย วาจาของเขาก้องไปทั่วธารสุญโลหิตโกลาหลในทันที
ทันใดนั้น ในรอยแตกมิติแห่งหนึ่งเหนือธารโลหิต คนแคระชราผู้มีส่วนสูงเพียงหนึ่งจั้งก็ปรากฏกาย ศีรษะของเขาโล้นเกลี้ยง คิ้วคู่นั้นยาวขาวโพลนดุจหิมะ
เขาพยุงตัวด้วยไม้เท้าไม้ซึ่งคดเคี้ยวราวอสรพิษเดินช้า ๆ ออกมาจากรอยแตกมิติ เขามองมายังซูอี้ผู้ยืนข้างธารอย่างเคลือบแคลงพลางแค่นเสียงเย็นชา “ไอ้หนูน้อย เจ้าช่างกล้านัก ไม่กลัวตายหรือไร?”
เมื่อเสียงของเขาก้องออกไป ธารโลหิตไพศาลพลันกระเพื่อมไหว รอยแตกมิติบนอากาศพลิกพลิ้วดุจปากสีเลือดขนาดใหญ่ สร้างแรงกระเพื่อมมิติอันชวนใจหาย
ซูอี้เมินเฉย พลางตบน้ำเต้าหยกข้างเอวของเขาเบา ๆ
เคร้ง!
เสียงครวญดาบประหลาดก้องทั่วโลกหล้า
เมื่อมันกระทบโสตคนแคระชราคิ้วขาว มันก็เลือนลั่นไม่ต่างจากสายฟ้า
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ มือพลันตบหน้าผากเกลี้ยงเกลาของตนพลางอุทาน “เจ้า… เจ้าคือ…!!”
เสียงของเขาเจือด้วยความตกใจและความกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ “ไอ้หนูน้อย? เจ้าอยากพูดอีกครั้งหรือไม่?”
คนแคระชราสะท้านทั้งกาย และใบหน้าชราวัยของเขาก็ปรากฏสีหน้าประจบประแจง “ก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าผู้น้อยเลินเล่อไม่อาจมองเห็นร่างเต๋าของท่านได้ หวังว่าใต้เท้าซูจะให้อภัยด้วย!”
วาจานั้นเต็มไปด้วยความประจบประแจง
“หยุดพล่ามไร้สาระ เจ้ายังจำสัญญาที่ให้ไว้แก่ข้าเมื่อกาลก่อนได้หรือไม่?”
ซูอี้กล่าว
คนแคระชรารีบคำนับอย่างนอบน้อม “ต่อให้ตาเฒ่าผู้น้อยจะลืมบุพการีตน ข้าก็จะไม่มีวันกล้าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับใต้เท้าซูเมื่อกาลก่อนหรอกขอรับ!”
ซูอี้กล่าว “ครานี้ ข้ากำลังจะไปเมืองมืด และต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
คนแคระชราตะลึง เขาไม่อาจเชื่อหูตนเองได้ ไฉนซูเสวียนจวินผู้แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในแดนดินจึงต้องการความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องแสนง่ายอย่างการไปยังเมืองมืดด้วย
“มีปัญหาหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม
คนแคระชราตัวสั่น และรีบกล่าว “ใต้เท้าซูเข้าใจผิดแล้วขอรับ ตาเฒ่าผู้น้อยแค่แปลกใจไปหน่อย ไม่คาดเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะได้รับใช้ใต้เท้าซู นี่ต้องเป็นบุญที่ตาเฒ่าผู้น้อยสั่งสมไว้ในชาตินี้เป็นแน่!”
ซูอี้หยิบคัมภีร์แห่งตี้ทิงออกมา “เข้าไปก่อน ยามต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะให้เจ้าออกมา”
ม่านตาของคนแคระชราหดตัว คัมภีร์แห่งตี้ทิง!!
ยามนี้ หัวใจของเขาไร้ข้อกังขาอีกต่อไป เขาแน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณตรงหน้าเขาผู้นี้คือสุดยอดตำนานเมื่อกาลก่อนแน่แท้!
เพราะคนแคระชราไม่อาจคิดได้เลยว่าจะมีผู้ใดในโลกนอกจากซูเสวียนจวินที่สามารถควบคุมคัมภีร์แห่งตี้ทิงของผู้คุมรัตติกาลได้
ยิ่งกว่านั้น มหาสมบัติประหัตประหาร ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ยังเป็นดาบที่ซูเสวียนจวินภาคภูมิและร้ายกาจที่สุด!
“ใต้เท้าซู ตาเฒ่าผู้น้อยขอบังอาจเอ่ยคำขอสักเล็กน้อยได้หรือไม่ขอรับ?”
คนแคระชราถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ “ว่ามา”
คนแคระชราผู้นี้ก็คือ ‘ปีศาจเฒ่าคิ้วขาว’ สัตว์สุญญะสว่างว่างผู้อาศัยในธารสุญโลหิตโกลาหล
ตลอดกาลนานมา กระทั่งปีศาจเฒ่าระดับสูงสุดในเมืองมรณะยังไม่อยากยั่วยุเจ้าเฒ่าผู้นี้ง่าย ๆ
เหตุผลนั้นก็แสนง่าย เพราะเขาควบคุมอำนาจแห่งมิติได้ หากเขาต้องการหนี ก็แทบไร้ผู้ใดหยุดเขาได้
ในทางกลับกัน หากเขาต้องการล้างแค้น เขาก็สามารถฉีกมิติโผล่มาฆ่าอีกฝ่ายถึงรังได้อย่างง่ายดาย
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งหนแล้วในอดีต!
กาลก่อน ยามที่ซูอี้จัดการกับปีศาจเฒ่าตนนี้ เขาไล่ล่าอีกฝ่ายไปจนถึงเมืองมืด และในที่สุดด้วยอำนาจของอาณาเขตดาบ เขาก็ปิดทางหนีของปีศาจเฒ่านี่ได้โดยสมบูรณ์
และยามนั้นเองที่ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวยอมจำนนโดยสมบูรณ์ และเพื่อขอชีวิตรอด เขาจึงสาบานว่าตราบใดที่ยังมีชีวิต เขาจะทำตามทุกคำสั่งของซูอี้อย่างสุดกำลัง
ยามนี้ ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวรีบกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้น้อยหวังว่าข้าจะสามารถรับใช้ข้างกายใต้เท้าซูต่อไปได้ หากข้าได้ติดตามรับใช้ใต้เท้าซูไปตลอดชีวิตนี้ คงยอดเยี่ยมที่สุดเลยขอรับ!”
ซูอี้ผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้าว่าเจ้าอยากฉวยโอกาสออกจากเมืองมรณะนี่มากกว่า”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวถูกจี้ใจดำ เขาถูไม้เท้าในมืออย่างกระอักกระอ่วน
ทันใดนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ ยกมือขวาขึ้นและกล่าวอย่างจริงจัง “ตาเฒ่าผู้น้อยกล้าสาบานต่อสวรรค์ ว่าแม้เขาจะใฝ่ฝันอยากออกจากเมืองมรณะ แต่ตาเฒ่าผู้น้อยก็อยากบุกน้ำลุยไฟเพื่อใต้เท้าซู และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจขอรับ!”
“ข้าจะพิจารณาเรื่องนี้นะ”
ซูอี้ชี้คัมภีร์แห่งตี้ทิงและกล่าวว่า “เจ้าไปก่อน”
“ขอรับ!”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวคำนับซูอี้อย่างแสนนอบน้อม และจึงกลายเป็นแสงสว่างพุ่งเข้าไปในคัมภีร์แห่งตี้ทิง
“ต่อไป ก็ได้เวลาไปยังดินแดนต้องห้ามเมืองมืดแล้ว”
ซูอี้ถอนหายใจยาว
โดยไม่รอช้า ซูอี้เก็บคัมภีร์แห่งตี้ทิงและหันหลังจากไป