บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 907: ผลวิเศษของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์
ตอนที่ 907: ผลวิเศษของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์
ตอนที่ 907: ผลวิเศษของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์
วิหคกลืนวิญญาณที่พุ่งออกมามีทั้งหมดหกตัว
อำนาจของพวกมันรุนแรงสะเทือนลั่นโลการาวจักรพรรดิหกคนร่วมมือกันอาละวาด
หยวนหลินหนิงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด จากนั้นนางก็ใช้ดาบวิถีของนางทันที
นี่เป็นเรื่องของสัญชาตญาณรบ
โดยไม่รอให้นางลงมือ…
ชิ้ง!!
เสียงครวญดาบดังขึ้นจากในน้ำเต้าหยกที่อยู่กลางเวหา
เสียงครวญดาบนี้ทะยานตรงดุจอำนาจมหาวิถีทะลวงผ่านยุคสมัย ซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันแห่งวิถีดาบสูงสุด
โลกหล้าเงียบเสียง
ดาบวิถีของหยวนหลินหนิงครวญเสียงต่ำราวกับขอยอมแพ้
บนอากาศ ร่างทั้งหกของวิหคกลืนวิญญาณซึ่งทะยานเข้ามาค้างกับที่กะทันหันราวตกใจกลัวสุดขีด
ซูอี้แบมือขวาออก และนิ้วชี้ซ้ายแตะลงบนหนังสือสำริด
พรึ่บ!
เหมือนดั่งเปิดหนังสือความลับแห่งสวรรค์
หนังสือสำริดอันบางเยี่ยงปีกจักจั่นเปล่งแสงลี้ลับดุจดั่งสุริยันจันทราและดวงดาวหมุนเวียนขึ้นลง ราวมีนภาสรวงละล่องภายใน และยังเต็มไปด้วยภูตผีมวลมารปะปนมากมาย
จากนั้น แสงเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้ากระดาษว่าง ๆ และหยุดกับที่
ตู้ม!
แทบจะในยามเดียวกัน วิหคกลืนวิญญาณทั้งหกที่ไกลออกไปต่างส่งเสียงหวีดแหลม กระพือปีกของพวกมันอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าพวกมันกลับถูกอำนาจที่มองไม่เห็นพันธนาการไว้ จนไม่อาจดิ้นหลุดได้
ในพริบตา มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงหกกลุ่มทะยานหายสู่หน้ากระดาษว่างในมือของซูอี้
พั่บ! พั่บ! พั่บ!
หน้ากระดาษว่าง ๆ กระดิกไหวอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ลวดลายวิหคกลืนวิญญาณหกตัวซึ่งเหมือนมีชีวิตจะปรากฏขึ้น
บรรทัดอักขระเต๋าที่บิดเบี้ยวพิสดารพลันผุดขึ้น
‘วิหคกลืนวิญญาณ จำแนกชนิดเป็นสัตว์ร้ายอัปมงคล ก่อเกิดขึ้นจากที่มาแห่งอสนีบาตนรกผนึกมาร ชอบกินวิญญาณคนเป็น จิตใจอลหม่านโกลาหล…’
ถ้อยคำลึกล้ำนั้นจริงอย่างน่าตกใจ คำอธิบายเกี่ยวกับที่มา นิสัย จุดเด่นจุดด้อยของตัวตนร้ายกาจเยี่ยงวิหคกลืนวิญญาณต่างถูกระบุไว้ครบถ้วน!
จากนั้น ซูอี้ก็กำมือเข้าหากัน
พั่บ!
แสงประหลาดที่ปรากฏบนหนังสือสำริดหายไป และกลับสู่สภาพเรียบง่ายไร้สิ่งตกแต่งเช่นเดิม
คัมภีร์แห่งตี้ทิง
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับสัตว์ร้ายบรรพกาลผู้พิทักษ์แห่งภูมิมืดมิด ‘ตี้ทิง’
และยังเป็นสมบัติสูงสุดของผู้คุมรัตติกาลด้วยเช่นกัน!
สมบัติชิ้นนี้มีอยู่แต่บรรพกาล มันขึ้นชื่อด้านการปราบปรามสิ่งชั่วร้ายในโลกหล้า!
“แค่นี้… ก็หายไป… หมดแล้วหรือ!?”
หยวนหลินหนิงตะลึงเสียจนพูดติดขัด
เสียงครวญดาบจากน้ำเต้าหยกนั้นบีบให้หัวใจของนางสั่นไหว ทั่วร่างเย็นเฉียบราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
และภาพที่วิหคกลืนวิญญาณหกตัวก็ถูกกำจัดอย่างประหลาดทำให้นางยิ่งอึ้งจนสมองหยุดทำงาน
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสิ่งเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นในโลกหล้าได้เช่นไร
ซูอี้ยิ้ม หากเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ คงเป็นการดูถูกดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์และคัมภีร์แห่งตี้ทิงมากเกินไป
จริงอยู่ที่ไม่ว่าจะเป็นดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์หรือคัมภีร์แห่งตี้ทิงล้วนไม่อาจสำแดงพลังอันแท้จริงออกมาได้เมื่อเขามีระดับฝึกฝนเยี่ยงปัจจุบัน
ทว่าพลังของตัวสมบัติทั้งสองนั้นก็เพียงพอจะทำได้หลายสิ่งแล้ว
เหมือนเช่นใน ‘วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม’ ของเผ่าปีศาจงู หนึ่งแว่วเสียงครวญจากดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ก็เกือบปั่นป่วนอำนาจกฎเกณฑ์ใน ‘ภูเขาสงบแสงเทียน’ และทำให้เพชฌฆาตเฒ่า ตัวตนอันลี้ลับและดุร้ายเกินเทียบได้สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาล
อย่าว่าแต่แค่วิหคกลืนวิญญาณหกตัวเลย?
แน่นอนว่าเสียงครวญดาบนี้อาจทำได้เพียงทำให้ศัตรูชะงักชะลอ ไม่อาจสังหารศัตรูอย่างแท้จริง
ทว่าด้วยอำนาจของสมบัติ ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’ ก็เพียงพอจะกวาดล้างวิหคกลืนวิญญาณพวกนั้นได้แล้ว
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์สามารถทำให้ศัตรูนิ่งค้าง ตรึงไว้กับที่ได้ ส่วนคัมภีร์แห่งตี้ทิงก็รับหน้าที่ฉวยโอกาสปราบศัตรูเสีย!
สมบัติทั้งสองเกื้อกูลส่งเสริมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และนี่ยังเป็นการลงมืออย่างจนตรอกของซูอี้อีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว การฝึกฝนปัจจุบันของเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป และไม่ว่าจะเป็นดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์หรือคัมภีร์ตี้ทิงก็ล้วนแต่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่สะเทือนสรวงสะท้านแดนดินตลอดกาลได้ทั้งสิ้น
แต่ก็เถอะ
หากการฝึกฝนของซูอี้แข็งแกร่งพอ เขาจะสามารถใช้เพียงกำลังของตนเองทำลายวิหคกลืนวิญญาณเหล่านั้นโดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากสิ่งของภายนอก
ฮึ่ม!
ไกลออกไปบนอากาศ น้ำเต้าหยกเขียวดูจะอิ่มหนำสำราญ มันส่ายไหวและหดตัวกลับสู่ขนาดสามชุ่น ก่อนจะร่วงลงบนฝ่ามือของซูอี้
หยวนหลินหนิง ณ ยามนี้สงบใจลงได้แล้วเล็กน้อย
ต่อให้นางจะไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าไม่เพียงซูอี้จะได้รับอสนีบาตนรกผนึกมารมาส่วนหนึ่ง แต่ยังเข้าใจมันและปราบวิหคกลืนวิญญาณหกตัวลงได้อย่างง่ายดายด้วย!!
ผลก็คือ ผาตรอมจิตที่ว่าจักรพรรดิไม่กล้าข้ามนั้นไม่อาจหยุดคนทั้งสองได้
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ผูกน้ำเต้าหยกไว้กับเอวตนอีกครั้ง ราวกับเป็นเครื่องประดับอันไร้ราคา
เขาเฉยชาเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
หยวนหลินหนิงอดกล่าวไม่ได้ว่า “สหายเต๋าซู สมบัติที่เจ้ามีสุดยอดมาก แต่ถือไว้กับตัวชัด ๆ เช่นนี้ ไม่ห่วงจะถูกปล้นไปหรือไร?”
“ไม่มีผู้ใดปล้นมันไปได้หรอก”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ
ขณะกล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินจากไปไกลแล้ว
หยวนหลินหนิงรีบตามเขาไป
ดวงตาของนางจ้องนิ่งอยู่ที่น้ำเต้าหยกสามชุ่นที่เอวของซูอี้ราวกับพยายามค้นหาความลับของมัน
ทว่าน้ำเต้าหยกนี้กลับดูดาษดื่นไร้ความโดดเด่น ไร้ร่องรอยปราณพิเศษ จึงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีเสียงครวญดาบอันร้ายกาจไร้ขอบเขตดังออกมาจากน้ำเต้าน้อยนี่
“นี่คงเป็นสิ่งที่พรางตัวได้”
หยวนหลินหนิงลอบกล่าว
หัวใจของหยวนหลินหนิงชะงักค้าง ก่อนจะพยักหน้าเร็วจี๋ “สหายเต๋าซูวางใจเถอะ ข้าจะไม่กล่าวสักคำ!”
ในฐานะตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ นางย่อมไม่ใช่คนโง่ และรู้ว่าหายนะที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
หลังผ่านผาตรอมจิตไปได้ แม่น้ำสายใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ
แม่น้ำนี้กว้างหลายพันจั้ง ธารด้านในเป็นสีดำดูลี้ลับ มันเชี่ยวกรากและมีโครงกระดูกละล่องอยู่ในนั้นนับไม่ถ้วน
มหานทีกระดูกขาว!
มหานทีซึ่งอยู่ติดกับแดนต้องห้ามผาตรอมจิตนั้นเต็มไปด้วยซากศพยอดฝีมือที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่แต่กาลก่อนละล่องลอย
ที่ก้นธารมีวิญญาณร้ายชนิดหนึ่งนาม ‘กระดูกผีอัคคีเงิน’ อาศัย แน่นหนาคับคั่งไม่ต่างจากหนอนไชศพ
วิญญาณร้ายประเภทนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่กลับมีพิษร้ายแรงพอจะส่งผลต่อเลือดเนื้อและพลังชีวิตของจักรพรรดิได้
ทว่า… ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นภัยต่อซูอี้เลย!
พรึ่บ!
มือขวาของเขาถือคัมภีร์แห่งตี้ทิงไว้ และเมื่อขยับมือ วิหคกลืนวิญญาณตัวหนึ่งก็โผทะยาน
หยวนหลินหนิงสะดุ้ง ทว่าไม่นานนางก็ตระหนักว่าวิหคกลืนวิญญาณตัวนี้ไม่ได้ดุร้าย แต่เป็นเหมือนหุ่นเชิด มันหุบปีกของมันอย่างว่าง่ายและหมอบคลานมาแทบเท้าซูอี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิหคกลืนวิญญาณตัวนี้ถูกกำราบแล้ว!
“ไปกันเถอะ”
อึดใจถัดมา ซูอี้ก็พาหยวนหลินหนิงยืนบนหลังวิหคกลืนวิญญาณและโผทะยานผ่านสู่อีกฟากมหานทีกระดูกขาว
ซ่าาา!!!
นทีสีหมึกไหลเชี่ยว กระดูกนับไม่ถ้วนผลุบโผล่ให้เห็นอย่างเลือนราง และยังมีตัวตนอันมืดหม่นร้ายกาจแหวกว่ายในสายธาร
พวกมันทั้งหมดต่างเป็นกระดูกผีอัคคีเงิน
ทว่ายามนี้ เมื่อวิหคกลืนวิญญาณอยู่บนเวหา กระดูกผีอัคคีเงินเหล่านี้ดูจะสัมผัสอันตรายได้ พวกมันจึงต่างเกาะกลุ่มกันในสายธาร และไม่กล้าโผล่ตัวออกมา
“ที่แท้ลมหายใจของวิหคกลืนวิญญาณนี้ก็สามารถหยุดกระดูกผีอัคคีเงินพวกนั้นไว้ได้”
หยวนหลินหนิงเบิกตากว้าง
ซูอี้ชินแล้ว
สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนแต่มีจุดอ่อนให้ค้นหา
ตีงูให้ตีจุดเจ็ดชุ่นใต้หัว ส่วนธนูให้ยิงที่คอ
บนเส้นทางการฝึกตน กระทั่งศัตรูที่น่ากลัวที่สุด หากรู้รายละเอียดก็ยังสามารถใช้สารพัดวิธีการปราบลงได้อย่างแสนง่าย
ชายแล่เนื้อผาวติงสามารถหลับตาชำแหละวัวทั้งตัวได้อย่างง่ายดาย หนึ่งนั้นเป็นเพราะเขามีทักษะ และอีกอย่างคือเขารู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับวัว
ในอดีตชาติของเขา ซูอี้ได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์หมื่นวิถีและเคยเดินทางผ่านเมืองมรณะ เขาจะไม่รู้ได้เช่นไรว่ารายละเอียดของวิญญาณชั่วร้ายในแดนต้องห้ามนี้เป็นเช่นไร?
การฝึกฝนไถ่ถามวิถี เมื่อทำความเข้าใจการสรรค์สร้างนภากว้างปฐพีไพศาลและรู้ซึ้งถึงแก่นสารพันปรากฏการณ์ ยามนั้นผู้ฝึกตนก็จะให้บรรยากาศ ‘เลือกใช้สรรพสิ่งใต้สรวง’!
…
หลังจากข้ามมหานทีกระดูกขาวและเดินทางต่อไม่ถึงเสี้ยวชั่วยาม
โลกหล้าสีโลหิตก็ปรากฏแก่คลองจักษุ
ทั่วสารทิศดูราวถูกละเลงด้วยโลหิต แดงฉานน่าหวาดหวั่น
เมืองโบราณสีดำเมืองหนึ่งตั้งกระหง่านในโลกาสีเลือดนี้
กลุ่มเพลิงวิญญาณสีเขียวเป็นดั่งโคมไฟสว่างไสวนับพันล่องลอยรอบเมืองยักษ์โบราณนี้ ผีดิบรูปร่างประหลาดนับไม่ถ้วนเดินวนเวียนท่ามกลางโลกหล้าสีเลือดราวหุ่นเชิดไร้สติ
ทุกคนที่มาถึงจุดนี้ล้วนรู้สึกขนพองสยองเกล้าราวเข้าสู่เมืองผีในนรกภูมิ
“นี่คือเมืองเสี่ยวหมิงหรือ?”
หยวนหลินหนิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยอย่างไร้สาเหตุ
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
“ลือกันว่าเมืองเสี่ยวหมิงนี้คือหนึ่งในเก้าดินแดนต้องห้ามสูงสุดในเมืองมรณะ แม้แต่ยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำหลงเข้าไปยังมีแต่ตายกันตาย สหายเต๋ามาที่นี่เพื่อการใดหรือ?”
หยวนหลินหนิงอดถามไม่ได้
“มาถามไถ่สถานการณ์”
ซูอี้กล่าวพลางเก็บวิหคกลืนวิญญาณไป จากนั้นร่างของเขาก็ละล่องลงสู่พื้น
เขาไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะมองไปยังเมืองเสี่ยวหมิงห่างออกไป จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ด้วยนิสัยของเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า มันจะยอมให้มีผีดิบวนเวียนรอบเมืองเสี่ยวหมิงมากมายเพียงนี้หรือ?
หรือว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับมันหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี?
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อของเขา
ในขวดหยกนี้ผนึกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไว้ ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของกฎนรกทมิฬซึ่งผอซัวสกัดออกมาจากร่างราชาโฉดแห่งนรกทมิฬเมื่ออยู่ในเมืองตาข่ายม่วง
ฉัวะ!
ซูอี้ใช้นิ้วปลดผนึกบนขวดหยก และอำนาจดุจดังขุมนรกก็ผุดออกมา
“ขึ้นกับเจ้าแล้ว ควบคุมอำนาจกฎนี้ครอบคลุมร่างเราสอง เมื่อทำเช่นนั้น เราจะสามารถเข้าไปในเมืองเสี่ยวหมิงได้โดยไม่ทำให้ผีดิบผีร้ายตนใดรู้ตัว”
ซูอี้สั่ง
เขาติดปัญหาระดับการฝึกฝน จึงไม่อาจควบคุมอำนาจกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้เลย
ทว่าหยวนหลินหนิงผู้เป็นจักรพรรดิย่อมทำได้
นางจึงรีบลงมือ
ฟู่!
ไม่นานนัก กฎนรกทมิฬก็ปกคลุมพวกเขาทั้งสองดุจหมอกดำ
จากนั้น ซูอี้ก็เดินนำไปทางเมืองเสี่ยวหมิงซึ่งตั้งตระหง่านไกล ๆ ท่ามกลางโลกหล้าสีเลือด