บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 60
ตอนที่ 60 วัดอีกแล้ว?
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เมื่อเกิดคำถาม ต่อให้ศีลโกรธบอกว่าห้ามโกรธ แต่พุทธศาสนาก็มีการขึงตามองด้วยความโกรธ แม้แต่พระโพธิสัตว์ยังมีการแปลงกายเป็นวิทยาราช [1] ฉันเป็นคนธรรมดา จะให้ไม่โกรธคงไม่มีทางเป็นไปได้?”
“ติ๊ง! โกรธได้ แต่เป็นไต้ซือควรจะน้ำใจอย่างที่ควรจะมี หรือว่าแค่เพราะอีกฝ่ายไม่เชื่อนาย พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็โกรธกัน ฆ่ากัน หรือทะเลาะกับเขาอย่างนั้นเหรอ? ไม่โกรธเป็นดั่งพุทธ ถ้าโกรธก็เป็นดั่งพุทธเช่นกัน! พุทธศาสนาสอนให้ไม่โกรธ ไม่ใช่ซ่อนทุกอย่าง นายต้องสัมผัสขีดจำกัดในนั้นด้วยตัวเอง”
ฟางเจิ้งงงงวย แต่ก็ยิ้มแห้ง “ฉันคิดว่าฉันเข้าใจนะ ควรโกรธก็โกรธ ไม่ควรโกรธก็ไม่โกรธ ถูกไหม?”
น่าเสียดายระบบไม่ตอบ ฟางเจิ้งได้แต่ตรึกตรองด้วยตัวเอง ขบคิดถึงปัญหาเกี่ยวกับศีลโกรธมากมาย สรุปเขาพบว่าคำตอบเหล่านี้ส่วนใหญ่คลุมเครือ ไม่ได้มีความหมายแท้จริง พอถึงตัวคนจริงๆ ก็จะต่างไปเพราะคน
ตอนนี้วีแชตสว่างวาบขึ้นมา
“ไต้ซือ ถ่ายภาพเสร็จรึยังคะ?” คนทักมาคือฟางอวิ๋นจิ้ง
ฟางเจิ้งรีบส่งภาพที่ถ่ายไว้ครั้งก่อนให้ไปทันที
ในหอพักสาขาภาษาจีนมหาวิทยาลัยจี๋หลิน ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นภาพที่ส่งมาใหม่แล้วดวงตาเปล่งประกาย! แม้ฟางเจิ้งจะไม่ชำนาญเรื่องสีหรือแต่งภาพมือถือ แต่ตัวเขาก็เป็นหลวงจีนหัวโล้นสง่างาม ประกอบกับวิวสวยงามกับหมาป่าตัวใหญ่ที่ดูองอาจไม่ธรรมดาแล้ว ทำให้ลงตัวจริงๆ!
ฟางอวิ๋นจิ้งมองภาพหลายใบแล้วก็รู้สึกหลงใหล ไม่ได้หลงคน แต่หลงภาพ ตอบกลับไปว่า “ไต้ซือ อันนี้ดีมาก เยี่ยมมาก! ให้ความรู้สึกมากๆ! แต่ว่าเลี้ยงหมาป่าส่วนตัวแบบนี้จะเป็นปัญหาได้ ท่านคิดว่าหมาป่าจะหลุดออกมาไหม? แล้วก็ มันขนสีเทาไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถึงเป็นขนสีเงินได้? แต่ก็สวยจริงๆ!”
ฟางเจิ้งตอบ “เดิมทีมันเป็นหมาป่าเงิน ก่อนหน้านี้สกปรกเกินไป พออาบน้ำแล้วก็เป็นอย่างนี้ ภาพใช้ได้ก็ดีแล้ว อาตมาแค่ถ่ายๆ ไปอย่างนั้นเอง”
ฟางอวิ๋นจิ้งตอบกลับด้วยนิ้วโป้งหลายอัน จากนั้นพิมพ์ต่อ “ไต้ซือ ที่นั่นกันดารเกินไป แต่รวมๆ แล้วก็ยังมีความพิเศษอยู่ ยอดเขาโดดๆ พบเห็นไม่มากในภาคเหนือ เขาสูงชัน มีน้ำพุภูเขา แถมยังมีวัด วิวบนยอดเขาก็ดีมาก ท่านถ่ายรูปพวกนี้เขียนเนื้อหาแล้วลองโพสลงในเว็บท่องเที่ยวได้นะคะ บางทีอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาได้”
ฟางเจิ้งคิดแล้วก็ตอบไปว่า “มีโอกาสจะลองดู ตอนนี้อาตมายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ จะต้องศึกษาก่อน อีกอย่างหิมะจะตกแล้ว ตอนนี้บนเขาไม่ปลอดภัย รอฤดูใบไม้ผลิก่อนเถอะ”
“ก็ดีค่ะ…” สองคนคุยกันอีกสองประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไปทำธุระ
ฟางเจิ้งไม่มีอะไรทำ อ่านพุทธคัมภีร์หน่อยแล้วนอนหลับ หนึ่งคืนเงียบเหงา
วันที่สองมาถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าเมื่ออากาศหนาว ภูเขาเอกดรรชนีก็เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวราวกับจำศีล นอกจากหมาป่าเดียวดายที่จะวิ่งเล่นอย่างมีความสุขไม่มีความทุกข์ใดๆ แล้ว ฟางเจิ้งหาววอดด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
ทว่าใต้เขากลับคึกคัก…
“หมอ หมอมั่นใจนะว่านี่คือผลตรวจของหมี่ลี่?” หลู่ซวงซวงมองหมอตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง
หมอยิ้มแห้งๆ “จริง หมอเองก็ไม่อยากเชื่อ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เนื้องอกระยะสุดท้ายหายเป็นปกติแล้ว…นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ”
ผู้อำนวยการจ้าวข้างๆ ดันแว่นตาขึ้น ช่วงนี้จิตใจเขาไม่ดีเลย ครั้งแรกสองคนที่เขาคิดว่ามีลูกไม่ได้กลับท้องลูก ตอนนี้เป็นเด็กที่พวกเขาตัดสินว่าต้องเสียชีวิตกลับร่างกายแข็งแรงมาก ตอนนี้เขารู้สึกแค่ปวดหัว! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หมอของตนไม่ได้มาตรฐานหรือเครื่องมือตนพัง?
“ขอบคุณหมอมาก ขอบคุณผู้อำนวยการมากค่ะ!” หลังหลู่ซวงซวงมั่นใจแล้ว เธอน้ำตานองหน้า อาการป่วยของหมี่ลี่แทบจะทำให้ครอบครัวนี้ล้มละลาย และก็บีบให้เธอเกือบถึงทางตัน สามีติดคุก ถ้าบุตรต้องจากไปอีกคนเธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไง ถึงจะจ่ายเงินเปล่าไปมาก แต่ผลสุดท้ายก็ดีใจ…หายป่วยแล้ว!
ผู้อำนวยการจ้าวยิ้มเจื่อน “คุณผู้หญิงหลู่ เรื่องนี้เป็นความผิดพวกเราเอง ถือว่าวิเคราะห์ผิด”
“ผู้อำนวยการ ไม่ได้วิเคราะห์ผิดหรอกครับ ผมยังเก็บภาพที่ถ่ายไว้ครั้งก่อนอยู่เลย สองวันนี้ผมไปหาหมอที่มีชื่อเสียงในโรงพยาบาลใหญ่มาแล้ว เป็นเนื้องอกในสมองจริงๆ อีกอย่างเป็นชนิดที่รักษาไม่หายด้วย แต่ว่าตอนนี้…นะ…นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ” หมอพูดขึ้น
ผู้อำนวยการจ้าวรับภาพที่ถ่ายไว้มาดู มาดูของตอนนี้อีกที มีความต่างกันมากจริงๆ
ผู้อำนวยการจ้าวขมวดคิ้ว “คุณผู้หญิงหลู่ สองวันก่อนหลังพวกคุณออกจากโรงพยาบาลได้ไปรักษาที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?”
หลู่ซวงซวงส่ายหน้าโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นพลันนึกถึงวัดเล็กบนภูเขาเอกดรรชนี และยังมีหลวงจีนหนุ่มหัวโล้นและสะอาดมากรูปนั้น! สามีเธอบอกว่าหลวงจีนนั่นเก่งมาก แต่กลับไม่บอกว่าเก่งยังไง ตอนนั้นเธอไม่มีความคิดอยากจะรู้จักเข้าใจหลวงจีนนั่นด้วย ทว่าหลังบุตรออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ออกห่างจากตัวเธอเลย มีแค่ครั้งเดียวที่หลวงจีนรูปนั้นอุ้มไป
พอคิดดูดีๆ ถ้าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น จะต้องเกิดในช่วงนั้น!
“คุณผู้หญิงหลู่ คุณผู้หญิงหลู่?” ผู้อำนวยการจ้าวเค้นถาม
หลู่ซวงซวงได้สติกลับมาจึงตอบกลับทันที “ไม่…ไม่ได้กินอะไรเลยค่ะ ไปวัดหนึ่ง แต่วัดนี้เล็กมาก ในวัดมีหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่ง น่าจะไม่มีความสามารถอะไรหรอกมั้ง? บางทีสวรรค์อาจเป็นคนรักษา”
ผู้อำนวยการจ้าวได้ยินว่าวัดก็เลิกคิ้วขึ้น ในใจเต้นตึกๆ! ถ้าได้ยินว่าเป็นโรงพยาบาลอื่นเขาจะไม่อะไรเลย แต่พอได้ยินว่าวัดก็ใจเต้น! ครั้งก่อนเกษตรกรสามีภรรยาคู่นั้นเหมือนจะไปขอพรที่วัดแล้วก็มีลูก! ถ้าไม่ใช่เพราะเขาวิ่งหนีเร็วคงต้องแทะเครื่องตรวจแล้ว ตอนนี้เอาอีกแล้ว? จะไม่ให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลยรึไง?
ตอนนี้เองมีเสียงแทรกเข้ามา “เป็นไต้ซือฟางเจิ้งวัดเอกดรรชนีบนเขาเอกดรรชนีหรือเปล่าคะ?”
“เจียงถิง? ทำไมเธอไม่ตั้งใจอยู่เวรล่ะ เดินไปทั่วทำไม?” หมอต่อว่า
เจียงถิงแลบลิ้นแล้วพูด “ช่วยไม่ได้ โรคที่รักษาไม่ได้กลับหายดีในทันทีทันใดแบบนี้ โรงพยาบาลเราก็คุยกันทั่วไปหมด คนก็อยากรู้อยากเห็นบ้างสิ” พูดจบเจียงถิงก็รีบวิ่งหนีไป
“รอเดี๋ยว พยาบาล คุณก็รู้จักวัดเอกดรรชนีเหมือนกันเหรอคะ?” หลู่ซวงซวงถามด้วยความตกใจ
เจียงถิงมองหมอกับผู้อำนวยการจ้าว
ผู้อำนวยการจ้าวถึงเอ่ยขึ้น “ตอบคำถามก่อนแล้วค่อยไป”
เจียงถิงเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม “รู้ค่ะ ฉันเคยไปมาแล้วด้วย! บนเขานั่นสวยมาก มีวัดหนึ่งชื่อวัดเอกดรรชนี วัดไม่ใหญ่ แต่ในนั้นมหัศจรรย์จริงๆ! ไต้ซือที่นั่นก็หล่อมาก แถมยังใจดีมากด้วย ถ้าไปถ่ายหนังจะต้องดังมากแน่ๆ!”
“ใครถามเธอเรื่องถ่ายหนังกัน ฉันถามเธอว่าหลวงจีนนั่นรักษาได้จริงๆ เหรอ?” หมอขัดคำพูดเจียงถิง
ผู้อำนวยการจ้าวกับหลู่ซวงซวงก็อยากรู้เหมือนกัน
เจียงถิงส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าไต้ซือคนนี้เก่งมาก มีวิทยายุทธ์ เหมือนว่ายังรู้อนาคตด้วย เพื่อนฉันคนหนึ่งฟังคำพูดเขาเลยรอดตายมาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจบเห่ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสองวันนี้ยุ่งมาก พวกเราคงขึ้นเขาไปขอบคุณเขาแล้ว อ้อ เมื่อสองวันก่อนเหมือนว่าภูเขาเอกดรรชนีจะข่าวใหญ่ พวกคุณได้ยินกันรึยัง?”
………………..
[1] วิทยาราช ถูกจัดให้เป็นเทพผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธและถือเป็นการสำแดงภาคดุร้ายของพระพุทธเจ้า