บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 2.3
ทั้ง 2 คนมุ่งหน้าตรงไปยังบานประตูกระจกแบบบานเลื่อน แล้วก็ก้าวออกไปสัมผัสกับกระแสลมร้อนระอุตามช่วงฤดูกาลที่กำลังโพยพัดอยู่ภายนอกตัวอาคาร
“ร้อนดีนะครับ อากาศข้างนอกเนี่ย”
“คาดหวังอะไรกับช่วงนี้ของปีล่ะ?”
อายะตอบกลับด้วยเสียงที่มีความหน่ายต่อความร้อนของอากาศภายนอกเจือปนมาด้วย
“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะวันนี้? จะกลับไปที่แลปเลย หรือว่ามีแผนจะไปที่อื่นอยู่ล่ะ?”
“พอดี ‘ธุระในเมือง’ ยังไม่เสร็จดีเท่าไหร่ครับ ผมต้องไปหาอากิโตะที่ห้องทำงานของเขาก่อนน่ะ”
เซย์จิตอบกลับอย่างมีการเน้นย้ำคำสำคัญเหมือนกับตอนที่พูดคุยกับอากิโตะอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ถ้านายกับคิริซากิยังจัดการกับ ‘ธุระ’ ไม่เสร็จ ‘คนนอก’ อย่างฉันก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งสินะ?”
“โดยหลักการแล้ว ก็ควรจะเป็นแบบนั้นครับ แต่ในกรณีนี้ ผมว่าผมคงต้องพาคุณไปที่ห้องทำงานของอากิโตะด้วย เพื่อจะได้เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ”
อายะรู้สึกไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่มีทางเลือกอื่นสินะ?”
“คิดว่าไปหาเครื่องดื่มฟรีจากตู้เย็นในห้องทำงานอากิโตะแล้วกันครับ”
เมื่อเซย์จิพูดเสร็จ ทั้ง 2 คนก็เริ่มออกเดินไปยังจุดหมายใหม่ของพวกเขาที่ตั้งอยู่ในอีกฝั่งหนึ่งของพื้นที่องค์กร
พวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามตัวอาคารต่าง ๆ ที่มีผู้คนใช้งานกันอย่างเป็นปกติ ก่อนที่จะหักเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินที่เปล่าเปลี่ยวใกล้ ๆ กับอาคารเก็บของแห่งหนึ่งที่นาน ๆ ครั้งถึงจะมีใครมาเยือน
“แถวนี้ไม่มีใครอยู่ และผมก็ใช้มือถือของผมตัดสัญญาณโทรศัพท์ของคุณเรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้ก็คุณน่าจะถามอะไรได้ตามสะดวกแล้วนะครับ อันโด”
เซย์จิที่ยังคงความเร็วฝีเท้าไว้กล่าวพูดกับอายะหลังจากที่หันมองไปรอบ ๆ เพื่อความแน่ใจ
“งั้นคำถามแรกนะ”
อายะที่เดินอยู่เคียงข้างเป็นฝ่ายพูดบ้าง
“โดยปกติแล้ว ตอนที่พวกนายก็ออกไปทำ ‘ธุระ’ ทั้งหลายนี่ พวกนายก็จะไม่บอกรายละเอียดอะไรกับคนนอกอย่างฉันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? แล้วทำไมรอบนี้ถึงต้องลากให้ฉันไปมีเอี่ยวด้วยล่ะเนี่ย?”
อายะกล่าวถามคำถามข้อสำคัญที่อัดอั้นอยู่ในใจของเธอมาแสนนาน
“เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมาสมกับเป็นคุณดีนะครับ ฮะ ๆ ”
เซย์จิหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาจนน่าตกใจของเพื่อนร่วมแผนกของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้อายะนิ่วหน้าจนหัวคิ้วทั้ง 2 ข้างตั้งชันขึ้น ก่อนที่จะตอบกลับอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีบีบเค้นหรือขึ้นเสียงแต่อย่างใด
“เสียมารยาท”
แก้มทั้ง 2 ข้างของอายะพองขึ้นหลังจากที่พูดตอบเช่นนั้น ซึ่งก็ทำให้หน้าตาของเธอดูน่ารักไปในอีกรูปแบบหนึ่ง
“ ‘โทษทีครับ แต่พอเห็นคุณยังคงทำท่าทีแบบนั้นได้ แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าสถานการณ์ที่บ้าบอแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ดูน่ารักและน่าชื่นชมจริง ๆ นะครับ”
เซย์จิชูมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาอยู่ระดับหัวไหล่ทำท่ายอมแพ้อย่างลวก ๆ โดยที่ยังคงไว้ซึ่งหน้าตาที่ยิ้มแย้มอย่างไม่มีการสำนึกหรือรู้สึกผิดใด ๆ
“ถ้าหัวเราะเสร็จแล้ว ก็ช่วยตอบด้วย ตาบ้า!”
ใบหน้าของอายะนั้นแดงก่ำขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อม ๆ กับแก้มที่ป่องยิ่งกว่าเดิม
“นั่นสินะครับ เหตุผลที่ทำให้พวกผมต้องลากคุณเข้ามาพัวพันด้วยในรอบนี้สินะ?”
เซย์จิทาบมือขวาของเขาลงที่ปลายคาง
“ถ้าให้พูดกันตามตรงเลย พวกผมคาดการณ์อะไรผิดนิดหน่อยครับ ตอนนี้พวกเราไม่ได้กำลังเจอกับพวกโจรยกเค้าอย่างที่คิดในตอนแรก กลายเป็นว่าพวกเรากำลังเจอแก๊งลักพาตัวแทนครับ”
“เอ่อ… นายหมายถึงพวกผู้มาเยือนใช่ไหม?”
ด้วยความสงสัยในการเลือกใช้คำพูดของเพื่อนของเธอ อายะจึงเลิกพองแก้มทั้ง 2 ข้างแล้วถามกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ใช่ครับ พวกนั้นไม่ได้คิดจะช่วงชิง ‘สิ่งใด’ ไปจากความเป็นจริงฝั่งพวกเรา แต่พยายามที่จะลักพา ‘ใคร’ ไปต่างหาก”
สีหน้าของอายะหลุดความตื่นตกใจออกมาในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ไม่สิ ต่อให้เป็นนาย ก็คงจะไม่ล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้แหละนะ…”
เซย์จิมีท่าทีจุกเสียดอย่างเจ็บปวดในทันที ราวกับถูกเขานั้นถูกเสียบแทงโดยอายะด้วยมีดที่มองไม่เห็นที่ถูกสร้างมาจากคำพูดของเธอ
ซึ่งถ้าจะให้พูดอะไรกับสถานการณ์นี้นั้น… “สม”
ในขณะเดียวกัน ท่าทีตกใจของอายะนั้นก็เป็นอะไรที่สามารถเข้าใจได้ เพราะถ้าให้เทียบกันจริง ๆ การที่ใครสักคนจะถูกลักพาตัวนั้น มันย่อมเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่าการที่ของบางสิ่งจะถูกช่วงชิงไปเป็นแน่ อย่างน้อยก็สำหรับการพูดกันอย่างมีคุณธรรมน่ะนะ
และพอคิดว่าที่หมายของการลักพาตัวไปนั้นเป็นโลกใบอื่นด้วยแล้ว มันก็ทำให้ทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับมันนั้นเลวร้ายลงไปกว่าเดิมเสียอีก
เพราะต่อให้เหยื่อสามารถหลบหนีจากคนทีลักพาตัวไปได้สำเร็จ พวกเขาหรือเธอนั้นก็ยังคงติดอยู่ที่โลกอีกฝั่ง โดยที่โลกฝั่งนี้ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย เรียกว่าหมดหนในทันทีที่โดนพาตัวไปเลยก็เป็นได้
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ? พอเล่าแบบคร่าว ๆ ระหว่างที่เดินไปได้ไหม?”
“ว่ากันอย่างง่าย ๆ เลย พวกผมขัดขวางพวกนั้นได้ก่อนที่จะลักพาตัวได้สำเร็จครับ แต่ก็อย่างที่เห็น…”
เซย์จิยกแขนซ้ายของเขาขึ้นมาให้อายะเห็นพลาสเตอร์หลาย ๆ แผ่นที่ติดอยู่บนนั้น
“เรียกได้ว่าลงเอยได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ ถึงผมกับอากิโตะช่วยคนที่กำลังโดนลักพาไว้ได้ทันก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็พลาดท่าเหมือนกัน อีกฝ่ายเลยสามารถหนีไปได้”
ความขี้เล่นในเสียงของเซย์จิค่อย ๆ เลือนหายไปช้า ๆ เมื่อเขาพยายามสรุปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ทางด้านของอายะนั้น ราวกับว่าเธอนั้นคุ้นชินกับเซย์จิเป็นอย่างดี ทำให้ตัวเธอนั้นก็ไม่มีการแสดงอาการไหวหวั่นใด ๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเพื่อนของเธอ
“พวกนายกำลังคิดว่าพวกนั้นยังคงไม่ถอดใจสินะ?”
“มันไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าพวกนั้นถอดใจแล้วกลับบ้านไปแล้วนี่นะครับ ตอนนี้เลยต้องเชื่อไว้ก่อนว่า พวกนั้นกำลังกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอโอกาสชิงลงมืออีกครั้ง”
“แล้วมีอะไรที่คนธรรมดาอย่างฉันจะช่วยพวกนายได้บ้างล่ะ? หวังว่าคงจะไม่ใช่อะไรในทำนองการไปช่วยสู้นะ เพราะว่าฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ปืนยังแทบไม่เคยจับเลยด้วยซ้ำ”
“พวกผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นหรอกครับ อันโด”
เซย์จิปรับเสียงกลับมาเป็นมิตรอีกครั้งเมื่อกล่าวปฏิเสธคความเข้าใจผิดของอายะ
“สาเหตุที่ผมบอกคุณและคนนอกคนอื่น ๆ ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับหลังฉาก อย่างเช่น อาจารย์คนที่รักษาพวกผมเนี่ย ก็เพราะว่าผมต้องการให้พวกคุณเพิ่มความระวังตัวเป็นพิเศษครับ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องคราวนี้จะคลี่คลายลงน่ะนะ”
อายะเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเซย์จิพูดเช่นนั้น ซึ่งนั้นก็ทำให้เขาต้องอธิบายเพิ่มเติมอย่างค่อนข้างลำบากใจ
“มันค่อนข้างจะชัดเจนน่ะนะครับ ว่าศัตรูที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนั้น พวกเขาเป็นพวกที่ไม่เลือกวิธีการครับ โอกาสที่พวกเขาจะจับคนเป็นตัวประกันนั้นก็ไม่อยู่นอกเหนือความเป็นไปได้แน่ ๆ ครับ”
อายะกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
แม้ว่าตัวเธอนั้นจะไม่ใช่คนที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้โดยตรง แต่ที่ผ่านมาเธอก็ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประเภทนี้มาหลายครั้ง ทำให้เธอเข้าใจถึงความน่ากลัวของความเป็นไปได้ข้อนั้นเป็นอย่างดี
“จะบอกให้ฉันระวังตัวเป็นพิเศษสินะช่วงนี้?”
“ใช่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอคนที่มีรูปร่างหน้าตาตามนี้นะครับ”
เซย์จิกล่าวพูดถึงรูปพรรณสัณฐานของบุคคลทั้ง 5 คนที่เขาเจอภายในอุโมงค์อย่างละเอียดให้อายะฟัง
“เป็นเครื่องแต่งกายที่เด่นกันดีนะ”
อายะกล่าวประชดหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเซย์จิเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเหล่าผู้มาเยือน
“ว่าแต่คนสุดท้ายนี่… คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?”
“ตอนแรกพวกผมก็อยากคิดนะครับ ว่าเธอคนนั้นอาจจะแค่หน้าตาดูเด็กกว่าความเป็นจริง แต่หลังจากที่ได้เห็นท่าทีหวาดกลัวของเธอคนนั้นแล้ว มันก็ชัดเจนน่ะครับ ว่าเธอคนนั้นยังไงก็เป็นเด็กแน่ ๆ”
“พวกนั้นกล้าส่งเด็กมาทำงานสกปรกแบบนี้… ไม่เลือกวิธีการ และก็น่ารังเกียจชะมัด”
มีความโกรธเจือปนออกมาในเสียงของอายะอย่างชัดเจน
“แล้วหลังจากนี้พวกนายมีแผนอะไรล่ะ? ที่ให้ฉันตามติดมาด้วยแบบนี้ ก็คงเพราะว่ามันคงเป็นแผนที่ฉันต้องมีส่วนร่วมด้วยสินะ?”
เซย์จิไม่ตอบอายะในทันทีที่ได้ยินคำถามข้อนั้น เขาใช้เวลากับตัวเองอยู่อีกหลายวินาทีก่อนที่จะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังเหมือนกำลังพยายามซ่อนเร้นความเจ็บปวดเอาไว้ไม่น้อย
“ถ้าให้พูดกันตามตรง ด้วยตำแหน่งการงานในองค์กรของผมที่ต้องอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ ๆ โอกาสที่คุณจะถูกจับเป็นตัวประกันโดยพวกนั้นก็สูงกว่าคนอื่นไม่น้อยเลยครับ”
คำตอบที่เป็นเหมือนคำสารภาพของเซย์จิทำให้อายะนิ่งเงียบไปในทันที แต่สาเหตุที่ทำให้เธอเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะความประหลาดใจแต่อย่างใด…
“อีกแล้วสินะ ฮะ ๆ”
ชัดเจนว่าเธอนั้นมีอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าและก็คายไม่ออกจากความรู้สึกต่าง ๆ ที่จุกเสียดแน่นอยู่ภายในลำคอ และก็กำลังพยายามฝืนรับมือด้วยการหัวเราะกับตัวเองออกมาเบา ๆ
“นี่ฉันไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิม ที่ไม่ต้องมาคอยคิดมากหรือมาเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างเรื่องของผู้มาเยือนไม่ได้แล้วสินะ?”
มันคือผลลัพธ์จากลูกโซ่ของการตัดสินใจและการกระทำในอดีตที่ไม่อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขได้ ที่ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน และก็คงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน
อายะพยายามฝืนยิ้มและหัวเราะกับตัวเองเพื่อไม่ให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยและเจ็บปวดต่าง ๆ เข้ามาครอบงำความคิดของเธออย่างไม่เป็นผล
ทางด้านเซย์จิ การที่ต้องเห็นเพื่อนของเขาต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนต้องกำหมัดแน่น แล้วจิกเล็บมือของเขาลงไปบนฝ่ามือจนเป็นรอยสีแดง ๆ เพื่อคอยเตือนสติไม่ให้เขาหลุดการแสดงอาการใด ๆ ออกมา
“อา… ขอโทษทีที่ทำเสียบรรยากาศนะ”
อายะกล่าวขอโทษเพื่อนคนที่กำลังเดินอยู่เคียงข้าง พร้อม ๆ กับยกแว่นตาขึ้นเพื่อพยายามเช็ดหยดน้ำที่กำลังปริ่มอยู่ตรงบริเวณหางตาทั้ง 2 ข้างของเธอ
“ไม่หรอกครับ ใครก็ตามที่จู่ ๆ ก็ถูกบอกว่าตัวเองอาจจะถูกจับเป็นตัวประกันนี่ ก็คงจะต้องมีปฏิกิริยาแบบนั้นเป็นธรรมดาแหละครับ คุณไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก”
เซย์จิพยายามพูดปลอบอายะให้เห็นว่า การแสดงออกของเธอนั้นไม่ได้ผิดแปลกหรือไม่สมเหตุผลแต่อย่างใด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้น ก็คือการส่ายหน้าตอบกลับเบา ๆ ของเธอ
“ยังไงก็ไม่ใช่เวลาที่ฉันควรจะมาจิตตกกับอะไรที่ทำไม่สามารถแก้ไขได้แล้วน่ะนะ”
เธอพยายามจัดขยับแว่นตากลับที่เดิมเพื่อพยายามรวบรวมสติ
“ว่ามาสิ ว่าฉันต้องรู้และทำอะไรบ้าง”
แววตาที่จริงจังและตรงไปตรงมาของอายะก็กลับมาเฉิดฉายอีกครั้งเมื่อเธอพูดเช่นนั้น
“ค่อย ๆ เดินไปคุยไปก็ได้ครับ อันโด คงจะใช้เวลาอีกสักพักแหละครับก่อนที่พวกเราจะเดินไปถึงห้องทำงานของอากิโตะ มีเวลาให้คุยกันอีกเยอะครับ”
“เอาแบบนั้นก็ได้”
แล้วนักวิจัยทั้ง 2 ก็ก้าวเดินกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อไปในเส้นทางที่ไร้ซึ่งผู้คน
⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭
กระดาษกับน้ำ ถ้าจะให้ว่ากันตามจริง พวกมันไม่ใช่ของ 2 สิ่งที่ควรจะทำมาอยู่ใกล้กันแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าแผ่นกระดาษนั้นถูกใช้เพื่อจดบันทึกอะไรเอาไว้
ใครหลาย ๆ คนรวมถึงคิริซากิ อากิโตะในอดีตด้วยก็คงจะคิดเช่นนั้นเป็นแน่ ถ้าหากว่าต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คิริซากิ อากิโตะในปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่
ในตอนนี้เขาได้ไปรับ ‘ของตกเบิก’ ตามที่ถูกสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็กำลังเดินถือพวกมันกลับไปยังอาคารของหน่วยซ่อมบำรุงที่เขาสังกัดอยู่
มือข้างซ้ายของเขากำลังถือคีบจับขวดสเปรย์ฉีดน้ำ 2 ขวดสีใสที่สามารถมองเห็นระดับน้ำที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงภายในได้
ตรงส่วนคอขวดของพวกมันที่ปิดได้ไม่สนิทของพวกมันนั้นก็มีน้ำไหลหยดออกมาในทุกครั้งที่ระดับน้ำภายในนั้นกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะก้าวเดิน เป็นผลให้มือข้างซ้ายของเขาในตอนนี้นั้นเปียกโชก
ส่วนมือขวาที่ทาบอยู่ตรงบริเวณเอวของเขานั้นก็กำลังถือหิ้วสมุดโน้ต 2 เล่มที่ถูกเย็บเล่มด้วยสันห่วงด้วยการใช้นิ้วมือที่สั่นเกร็งจากความเมื่อยล้าจากการพยายามประคับประคองไม่ให้สมุดพวกนี้ขยับไปมา
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของพวกมันทั้ง 2 เล่มนั้น ก็คือโทนสีของพวกมัน โดยที่เล่มหนึ่งมีปกแข็งสีดำพร้อมด้วยสันห่วงสีเงิน ในขณะที่อีกเล่มหนึ่งเป็นปกสีขาวและสันห่วงสีทอง
‘ขวดสเปรย์ฉีดน้ำ 2 ขวดที่หยดซึมออกมาอยู่เรื่อย ๆ กับสมุดโน้ต 2 เล่มที่ดูมีอายุและมีเนื้อหาภายในอยู่แน่นเต็มพิกัด’
เขาสำรวจมองของที่เขากำลังถือแยกอยู่ในมือคนละข้างอย่างระมัดระวังไม่ให้อยู่ใกล้กัน
‘เรียกไปรับของพวกนี้โดยที่ไม่มีกล่องหรือถุงเพื่อแยกพวกมันออกจากกันนี่… แสดงว่าที่จริงแล้วคนคนนั้นอยากให้หนังสือพวกนี้เปียกโชกก่อนที่ทางนี้จะเดินกลับไปถึงห้องทำงานรึเปล่าหว่า?’
นั่นคือหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมในตอนแรกถึงต้องใช้คำว่า ‘คิริซากิ อากิโตะในอดีต’ เพราะอากิโตะในปัจจุบันนั้นยอมแพ้และล้มเลิกการใช้สามัญสำนึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเวลาที่อยู่ในองค์กรแห่งนี้ไปนานแล้ว
ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาคิดเช่นนี้นั้น…
“หือ? จะให้เอาของพวกนี้ไปทำอะไรงั้นรึ? ถือพวกมันกลับห้องทำงานของนายไปก่อนทั้ง ๆ แบบนั้นแหละ พอถึงเวลาก็น่าจะเข้าใจเองวิธีใช้พวกมันเองแหละ แต่ก็รีบ ๆ คิดให้ออกไว ๆ หน่อยก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมากเกินไป อธิบายแค่นี้แหละ ฉันยิ่งยุ่ง ๆ อยู่ ขอตัวก่อนล่ะ บ๊าย~”
ด้วยความสัจจริง ใครก็ตามที่ได้คำอธิบายแบบนั้นก็ย่อมต้องไม่พอใจและมีความสงสัยคาใจต่าง ๆ เหลืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแน่ ๆ
และพอบวกกับการที่มือข้างหนึ่งต้องเปื่อยยุ่ยจากน้ำที่หยดออกมาเรื่อย ๆ ในขณะที่อีกข้างนั้นก็รู้สึกปวดชาจากการถือประคองสมุดโน้ต 2 เล่มที่ขยับดิ้นไปมาตลอดเวลาเพราะสันห่วงของพวกมันแล้ว
การที่เขาก็ยังไม่มีการระบายอารมณ์ใด ๆ ใส่ของเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ทำให้ต้องขอยกประโยชน์หลาย ๆ อย่างให้กับจำเลยคิริซากิอย่างช่วยไม่ได้
‘เอาเถอะ ขอแค่กลับไปให้ถึงห้องทำงานก็พอ เดี๋ยวมันก็จบแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรมาขวางนะ…’
“นั่นใช่คิริซากิรึเปล่า? เหมือนจะใช่จริง ๆ ด้วย หยุดและรออยู่ก่อนตรงนั้นก่อน!”
ว่ากันว่าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่ซาดิตม์อันดับต้น ๆ จากสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวล เลยทำให้มีเสียงเกล่าวเรียกชื่อของอากิโตะเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ที่อยู่ไกลออกไป และก็ทำให้เขาต้องหยุดการก้าวเดินลงอย่างช่วยอะไรไม่ได้
‘นั่นไง ไม่น่าถามอะไรโง่ ๆ ในตอนที่เดินผ่านบริเวณสนามฝึกของพวก Fielder เลย’
เขาถอนหายใจอย่างไม่มีคำพูดออกมา จากนั้นก็หันไปมองทางขวามือของเขาที่เป็นกำแพงรั้วลวดตาข่ายที่สูงชัน แล้วก็เห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางเขา
แม้ด้วยระยะห่างของทั้ง 2 คนนั้นจะเป็นระยะทางที่มากพอตัว แต่อากิโตะก็ยังคงสามารถมองเห็นลักษณะรายละเอียดต่าง ๆ ของผู้ชายที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ คนนั้นได้อย่างชัดเจน
ชุดของเขาคนนั้นสวมใส่อยู่นั้น ก็คือเครื่องแบบเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีเนวีบลูของหน่วยภาคสนามที่มีลักษณะเหมือนกับชุดของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และที่สวมทับอยู่บนนั้น ก็คือเสื้อเกราะกันกระสุนกับเครื่องป้องกันตามข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกายที่ถูกสวมใส่และผูกยึดไว้อย่างแน่นหนา
เขาสวมใส่หมวกเคฟล่าที่คาดสายรัดใต้คางอย่างตึงพอดี ส่วนที่บริเวณเอวนั้นคาดเข็มขัดที่มีกระเป๋าและช่องต่าง ๆ มากมายสำหรับการใช้สอยต่าง ๆ ห้อยไว้อย่างครบครัน
เบื้องล่างนั้นก็มีรองเท้าบูทคอมแบทที่ปกคลุมขึ้นมาสูงกว่าระดับข้อเท้าของเขา พวกมันทั้ง 2 ข้างมีสีเดียวกับเครื่องแบบที่เขาสวมใส่ และก็มีคราบเปื้อนฝุ่นดินเปรอะเปื้อนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ เล็กน้อย
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คงเป็นอาวุธปืนที่มีหน้าตาคลับคล้ายคลับคลากับปืนไรเฟิลจู่โจมแบบ M16 ที่เขากำลังถืออย่างทะมัดทะแมงอยู่ในมือทั้ง 2 ข้างของเขาอย่างมั่นคง
มันคือ Diemaco C7A2 ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลจู่โจมจากประเทศแคนาดาที่มีต้นแบบมาจาก Colt M16A3 ที่ไม่ได้เป็นที่แพร่หลายนัก
และด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครื่องแบบที่ว่ามาทั้งหมดนั้น น้ำหนักโดยรวมที่เขาต้องแบกนั้น ก็อยู่ที่ราว ๆ หลายสิบกิโลกรัม แต่ด้วยท่าทีของการวิ่งเหยาะ ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ของเขานั้น มันก็ทำให้เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีน้ำหนักใด ๆ เลย
‘เดินเร็วหน่อยก็ดีนะ ทางนี้อยากรีบ ๆ กลับห้องทำงานแล้ว’
อากิโตะที่สีหน้ายังคงแสดงออกอย่างหน่าย ๆ กัดฟันคิดกับตัวเองในใจ โดยที่ไม่มีท่าทีแสดงความหวาดหวั่นใด ๆ ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่มีท่าทีอะไรเช่นนั้นก็เป็นเพราะความคุ้นชินกับอาวุธในฐานะคนหลังฉาก แต่ถ้ามองในฐานะคนญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง มันก็ยังดูแปลกประหลาดอยู่ดีที่เขานั้นไม่มีท่าทีตกใจใด ๆ เลย เมื่อได้เห็นคนถืออาวุธปืนเช่นนั้นวิ่งตรงมาทางเขา
แต่ก็อีกนั่นแหละ ภายในพื้นที่ขององค์กรแห่งนี้ คำว่า ‘ปกติ’ นั้นก็พ้องความหมายกับคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นี่นะ
ณ จุดนี้ ต่อให้เป็นใครจากหน่วยงานไหนในองค์กรแห่งนี้ได้มาเห็นหน่วยภาคสนามเดินถืออาวุธต่าง ๆ ไปมาในสนามฝึกของพวกเขา ก็คงไม่มีท่าทีตกใจหรือประหลาดใจใด ๆ ออกมาให้เห็นอีกแล้ว
นั้นก็เพราะว่า กลุ่มภาคสนามนั้นก็เป็นกลุ่มติดอาวุธที่เป็นเหมือนหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ SEAR มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ในสมัยก่อนนั้น หน้าที่ของพวกเขาก็คือการเป็นแนวหน้าหรือหน่วยคุ้มกันเวลาที่องค์กรต้องส่งทีมสำรวจไปในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
แต่ด้วยเหตุการณ์เมื่อ 30 ก่อน ในตอนที่เหล่าผู้มาเยือนปรากฏตัวขึ้นทั่วโลก มันก็ทำให้บริบทและหน้าที่โดยรวมของพวกเขานั้นก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นหน่วยงานสำหรับการรับมือเหตุของผู้มาเยือนอย่างที่ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกรับรู้กันในปัจจุบัน
“หายไปไหนมาเนี่ย คิริซากิ? ฉันไปหานายตอนพักเที่ยง แต่ห้องทำงานของนายก็ล็อกประตูอยู่ แล้วเรียกทักไปก็ไม่มีใครตอบเลยด้วย”
ชายร่างสูงที่วิ่งมาหยุดอยู่ที่บริเวณข้าง ๆ กำแพงรั้วลวดตาข่ายฝั่งตรงข้ามกับที่อากิโตะยืนอยู่กล่าวถามขึ้นอย่างเสียงดังฟังชัดที่ฟังเหมือนกับคำพูดของกัปตันของชมรมกีฬาที่เป็นที่น่านับถือ
“พอดี ทางนี้มี ‘ธุระในเมือง’ ที่ต้องไปจัดการน่ะ เลยต้องออกไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงวันแล้ว”
อากิโตะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ อย่างที่เป็นมา แต่ก็ยังคงมีการเน้นเสียงที่คำสำคัญเหมือนเดิม ซึ่งก็เหมือนว่าชายในหน่วยภาคสนามคนนั้นจะไม่รับรู้ถึงหรือเข้าใจความหมายของมันแต่อย่างใด
“ไปธุระในเมือง? ไปเรื่องอะไรล่ะนั่น?”
“NDA”
อากิโตะกล่าวตอบความสงสัยของอีกฝ่ายด้วยตัวย่อ 3 ตัวอักษรของคำว่า ‘สัญญารักษาความลับ’ เป็นการบ่งบอกว่าตัวเขานั้น ‘ไม่สามารถ’ พูดรายละเอียดอะไรที่มากกว่านี้ให้ฟังได้
“ถ้าบอกแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้แหละนะ”
ภาคสนามคนนั้นพยักหน้าในขณะที่กล่าวข้อสรุปของตัวเขาเอง ซึ่งอากิโตะก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้คู่สนทนาของเขานั้นเข้าใจความหมายหรือได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่แล้ว
“ว่าไป เมื่อเช้าพวกนายยังฝึกด้วย C8A2 นิ แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนมาเป็นการวิ่งพล่านถือ C7A2 แบบนี้ล่ะเนี่ย?”
Diemaco C8A2 ก็คือ C7A2 ที่ถูกนำไปทำเป็นปืนคาร์บินที่ลำกล้องสั้นลง มันมีความเหมาะสมมากกว่าสำหรับการต่อสู้ในที่แคบหรือในระยะประชิดเมื่อเทียบกับปืนที่มีลำกล้องยาวกว่าอย่าง C7A2 แต่ก็ต้องแลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ด้อยลงที่ระยะไกล
“อยู่ ๆ ก็โดนสั่งให้เปลี่ยนปืนตอนหลังพักเที่ยงน่ะ คงเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุที่กำลังจะเกิดมั้ง? อาจจะฟังดูทำใจเชื่อยากหน่อย แต่พวกเบื้องบนก็ชอบทำอะไรโดยไม่บอกใครแบบนี้แหละนะ”
เขาตอบคำถามของอากิโตะจากข้อมูลที่เขามี ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายออกมา
“ว่าแต่ไหน ๆ นายก็กลับมาแล้ว เย็นนี้ก็ช่วยดู C7 พวกนี้ของฉันกับพรรคพวกหน่อยได้ไหม? พอไม่ได้ใช้งานนาน ๆ แล้ว ก็อยากให้ช่างอย่างนายตรวจสอบดูให้หน่อยน่ะ”
และก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับการอธิบายสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม
คิริซากิ อากิโตะนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคนหลังฉาก แต่เขาก็ถูกว่าจ้างในตำแหน่ง ‘ช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ)’ โดย SEAR
ซึ่งชื่อเต็ม ๆ ของตำแหน่งของเขาก็นั้นคือ ‘ช่างซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ (พิเศษ)’ หรือก็คือช่างซ่อมบำรุงอาวุธปืนที่ถูกใช้โดยหน่วยภาคสนามนั่นเอง
“เย็นวันนี้งั้นรึ…?”
อากิโตะกล่าวทิ้งช่วงเล็กน้อยเมื่อได้ถูกทาบถามเพื่อนัดจองเวลางานเช่นนั้น
“เข้าใจความเร่งด่วนอยู่นะ แต่คงไม่ได้แหละวันนี้ พอดีมีงานอื่นอยู่น่ะ”
เขาตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งก็เหมือนว่าคู่สนทนาของเขานั้นจะไม่ได้ถือสาอะไรแม้แต่น้อย
“ถ้าแบบนั้น นายหาเวลาว่างได้เร็วสุดเมื่อไหร่ล่ะ? เพราะพวกฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนส่งออกไปทำงานเมื่อไหร่ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้นายตรวจปืนพวกนี้ให้ก่อนโดนส่งออกไปน่ะนะ”
อากิโตะนั้นเข้าใจถึงความร้อนรนของอีกฝ่าย เพราะถ้าหากว่าตัวเขาเองนั้นถูกส่งไปทำงานด้วยอาวุธที่ไม่ได้รับการซ่อมบำรุงมาสักระยะ เขาก็คงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“เร็วสุดก็คงได้ช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้น่ะ แต่ก็คงดูได้ไม่เกินทีม 7 คนของนายนะ แบบนั้นโอเครึเปล่า?”
เขาเลือกตอบช่วงเวลานั้นไปแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด
“บ่ายพรุ่งนี้งั้นรึ? ก็ได้แหละ เดี๋ยวเข้าไปหาแล้วกัน”
“ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือโดนลากไปไหน ทางนี้ก็จะแปะโน้ตทิ้งไว้ให้หน้าห้องเหมือนเดิมนะ”
“ช่วยอยู่เถอะนะ ขอร้องล่ะ”
ชายหน่วยภาคสนามปล่อยปืนไรเฟิลในมือให้ห้อยลงไปให้ห้อยอยู่ด้วยสายคล้อง แล้วยกมือขึ้นไหว้
“ไม่ขอรับปากว่าจะอยู่ไหม แต่จะพยายามเคลียร์ตารางเท่าที่จะทำได้แล้วกัน”
อากิโตะนั้นก็ยังไม่มีท่าทีของความกระตือรือร้นใด ๆ แสดงออกมาเมื่อได้เห็นท่าทีของอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยเขาก็กล่าวตอบรับปากคำขอของอีกฝ่ายเท่าที่เขาจะสัญญาได้
“แล้วก็เหมือนเดิมด้วย ทางนี้ไม่ชอบให้คนมาอัดกันอยู่ในห้อง ฉะนั้นมากันแค่ 2 คนพอนะ”
“รับทราบ เดี๋ยวจะแบกปืนไปกับเพื่อนอีกคนแล้วกัน”
ชายภาคสนามกล่าวยืนตรงขานรับอย่างทะมัดทะแมงแข็งขัน ก่อนที่จะหันกลับไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดที่ดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไกลออกไป
“เหมือนว่าจะหมดเวลาพักแล้วแฮะ ขอตัวก่อนแล้วกัน”
“อืม โชคดี”
ว่าแล้วชายหน่วยภาคสนามคนนั้นก็รีบวิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วทิ้งอากิโตะไว้ให้ยืนอยู่ที่อีกฝั่งของรั้วตัวคนเดียว
“หวังว่าทางนี้จะจัดการ ‘งาน’ ของวันนี้ได้เสร็จก่อนน่ะนะ”
อากิโตะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มการก้าวเดินมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานของเขา
⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭