บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 2.1
การเดินท่ามกลางแสงแดดแผดเผาในช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ที่เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวันนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่เพียงแค่นึกถึง ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยได้โดยที่ไม่ต้องขยับขาแม้แต่ก้าวเดียว
และสำหรับประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นสามารถลดความน่าอภิรมย์ลงไปได้อีก ถ้าหากว่ามันกำลังเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนกลางเดือนสิงหาคม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือในปัจจุบัน ณ เวลานี้เลย
“ผมว่า SEAR ควรมีนโยบายหยุดฤดูร้อนแบบตอนเรียนมัธยมครับ…”
มิคิจิ เซย์จิที่ถอดเสื้อแลปโค้ทมาพับแขวนถือไว้ในมือขวากล่าวขึ้นอย่างอิดโรยในขณะที่กำลังเดินอย่างเหนื่อยหอบตามหลังเพื่อนผมหยักศกของเขาในชุดสูท
“ก็เลือกเอาว่าจะทำงานได้เงินเดือนหรือจะต้องทำการบ้านปิดเทอมแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
และก็เหมือนอย่างที่เคย คิริซากิ อากิโตะตอบกลับอย่างไม่มีความใยดีใด ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนของเขาแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ทั้ง 2 คนกำลังเดินอยู่ในที่สาธารณะเปิดโล่งภายใต้ผืนฟ้าสีครามที่แตกต่างไปจากภายในอุโมงค์ที่ไร้ผู้คนก่อนนี้โดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนบริบทจากคนหลังฉากกลับไปเป็นคนธรรมดาทั่วไปอีกครั้ง ทำให้ไม่มีวี่แววใด ๆ ของอาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันหูและตาให้เห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็คือบริเวณทางเท้าข้างถนนที่ลาดขึ้นไปตามเนินลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองคิเอะ และกำลังเคลื่อนที่สู้กับแรงโน้มถ่วงไปทีละก้าว ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักงานขององค์กรวิจัยอิสระ SEAR ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตรงส่วนยอดของมัน
แม้ว่าจะพอมีกระแสลมพัดผ่านมาอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนจัดกับแดดที่แผดเผาอย่างไม่มีหยุดย่อน ก็ทำให้ตามบริเวณใบหน้าและผิวหนังที่ไม่โดนเสื้อผ้าปกคลุมของทั้ง 2 คนมีหยาดเหงื่อไคลไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ทางด้านของอากิโตะ แม้ว่าจะมีเหงื่อไคลไหลให้เห็น แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งเฉย และไม่ได้แสดงความรู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ ออกมา พร้อมกับยังคงสวมใส่ชุดสูทสีดำด้านอย่างมิดชิดไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ในทางกลับกัน เซย์จินั้นต้องถอดเสื้อแลปโค้ทออกมาแขวนไว้ที่แขนขวา พร้อมกับม้วนแขนเสื้อสีแสดทั้ง 2 ข้างของเขาขึ้นเพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างไม่เป็นผลมากนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้สามารถมองเห็นผ้าพันแผลที่พันยาวตลอดแขนซ้ายท่อนล่างของเขาได้อย่างชัดเจน
มองโลกในแง่ดี นอกจากเม็ดใสไร้สีของเหงื่อที่กำลังเปียกชุ่มผ้าพันแผลแล้ว ตอนนี้แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาก็ไม่มีร่องรอยของเลือดให้เห็นแม้แต่หยดเดียว หรืออย่างน้อยก็ไม่มีให้เห็นจากภายนอก ซึ่งก็ยังคงถือว่าเป็นข่าวดีอยู่ เพราะนอกจากเรื่องการเสียเหงื่อแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
“แม่ครับ ดูผู้ชายคนนั้นสิ มีผ้าพันแผลเหมือนพวกป่วย ม.ต้นเลย”
“ชู่ว! อย่าพูดแบบนั้นสิ ลูก”
โอเค อาจจะมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กังวลอยู่บ้างจากคู่แม่ลูกที่กำลังเดินสวนไปในอีกทิศทางหนึ่ง แต่โดยรวมแล้ว เกือบทุกอย่างก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุม และตัวเซย์จิเองก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วก็ทำเป็นมองข้ามมันไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
พูดถึงการมองข้าม ณ จุดนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการชี้แจงถึงลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกมองข้ามไปจากทั้งตอนก่อนและหลังจากการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นในอุโมงค์ก่อนหน้านี้
ในตอนนี้พวกเขาได้ขับรถตู้ Domingo กลับมาออกมาจากภายในอุโมงค์เก่าที่ถูกทิ้งร้างขององค์กรที่อยู่ในพื้นที่ของหุบเขาในบริเวณด้านนอกตัวเมือง และได้นำมันไปจอดเก็บไว้ในโรงจอดรถใต้ดินลับในพื้นที่ขององค์กรที่ตั้งอยู่บนเนินแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่เนื่องจากว่าคนหลังฉากนั้นต้องกลบเกลื่องร่องรอยต่าง ๆ ของการทำงาน เลยทำให้ในตอนก่อนที่พวกเขาจะลงมือทำสิ่งใด ๆ พวกเขาต้องออกไป ‘ทำธุระในเมือง’ ให้กับองค์กรในตอนเที่ยงวัน ก่อนที่จะใช้ทางลับที่ซ่อนอยู่ในเมืองเพื่อกลับมายังตัวองค์กร แล้วเริ่มออกไปปฏิบัติงาน และก็ลงเอยด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในอุโมงค์ก่อนหน้านี้
หลังจากที่เสร็จสิ้นกับธุระต่าง ๆ และขับรถกลับมาจอดอย่างเรียบร้อยที่จุดเริ่มต้น พวกเขาก็เดินย้อนกลับตามเส้นทางลับเข้าไปโผล่ในเมือง เพื่อที่จะได้กลับมายังองค์กรผ่านทางทางเข้ามาด้านหน้าเหมือนกับตอนที่ออกไปเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย ซึ่งก็ลงเอยด้วยการเดินพร้อมถูกย่างอยู่กลางแดดเช่นนี้
“ถึงยอดเนินแล้ว… ต้องเป็นพวกไม่ปกติแบบไหน ถึงคิดจะเอาองค์กรมาตั้งในที่แบบนี้เนี่ยครับ?”
เซย์จิโอดครวญอย่างอ่อนแรงเมื่อหยุดพักหายใจบนยอดเนิน
“ปกติทางนี้ก็อยากจะขัดความเห็นของนายทุกอย่างที่เป็นไปได้นะ แต่คราวนี้คงต้องเห็นด้วย… ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังเกลียดการเดินขึ้นเนินลูกนี้ตอนกลางวันอยู่ดี โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ของปี…”
อากิโตะที่มีท่าทีเหนื่อยเล็กน้อยกล่าวตอบพร้อมหันกลับไปมองข้างหลังด้วยสายตาที่ริบหรี่ลง
จากจุดที่เขาและเซย์จิยืนอยู่ ถ้ามองย้อนกลับไปตามเส้นทางที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมาก็จะเห็นเป็นถนน 4 เลนที่มีทางเท้าทั้ง 2 ฝั่ง มันเริ่มต้นด้วยการเป็นทางตรงบนแนวระดับ ก่อนที่จะเริ่มลาดลงไปตามเนินที่ไม่ชันมากแล้วเลี้ยวเบนไปทางขวาเบา ๆ เป็นระยะทางหลายร้อยเมตร แล้วค่อยกลับสู่แนวระดับเป็นทางเส้นตรงอีกครั้ง แล้วเชื่อมตรงไปยังสี่แยกการจราจรที่อยู่ไกลออกไป
ถ้าหันกลับไปมองทางด้านหน้า แล้วมองไกลออกไปอีกหน่อย ทางด้านขวามือของถนน 4 เลนที่เป็นเส้นเอกก็จะเห็นเป็นถนนเส้นโทสั้น ๆ ที่เชื่อมต่อไปยังประตูทางเข้าที่มีความกว้างพอให้รถบรรทุกสามารถวิ่งผ่านเข้าออกสวนทางกันได้อย่างไม่มีปัญหา
มันคือทางเข้าไปยังสำนักงานและสถาบันวิจัยของ SEAR สาขาหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับการก่อตั้งเมืองคิเอะแห่งนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากที่พวกเขาขึ้นมามีบทบาทสำคัญกับโลก
ทางด้านข้างทั้งฝั่งซ้ายและขวาของทางเข้าที่ว่านั้นมีกำแพงของคอนกรีตผสมเหล็กดัดทอดตัวเป็นเส้นตรงยาวไปบนพื้นดินที่ถูกยกระดับที่ตัดกับถนนเบื้องหน้าของมันอย่างชัดเจน
ความกว้างใหญ่ของพื้นที่ที่ถูกรายล้อมไปด้วยกำแพงลูกผสมแห่งนี้นั้น เรียกได้ว่ามันทอดตัวยาวไปตลอดแนวของพื้นดินที่ถูกยกระดับอย่างสุดลูกหูลูกตา ชนิดที่ว่าการเดินจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งน่าจะเป็นอะไรที่เหนื่อยยากยิ่งกว่าการเดินขึ้นเนินตรงหน้าเสียอีก
แต่เซย์จิกับอากิโตะที่ทำงานในที่แห่งนี้มาเป็นเวลามากกว่า 2 ปี พร้อมกับกำลังยืนอาบพลังงานที่มาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันที่อยู่ห่างออกไป 152 ล้านกิโลเมตร ก็ไม่เหลือความรู้สึกประทับใจใด ๆ ให้กับขนาดที่ใหญ่โตของสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว
ทั้ง 2 คนเดินมุ่งตรงไปแสดงบัตรผ่านของพวกเขาที่ป้อมรักษาความปลอดภัยที่อยู่บริเวณตรงทางเข้าเพื่อให้ประตูกั้นเปิดออก ก่อนที่จะรีบเร่งฝีเท้าอย่างฉับไว แล้วเดินตรงเข้าใปยังพื้นที่ภายในอย่างไม่มีการรีรอหรือเสียเวลาใด ๆ
สิ่งที่รอต้อนรับพวกเขา ก็คือลานกว้างของถนนสำหรับรถวิ่งที่แยกย้ายออกไปในหลายทิศทางที่ถูกขนาบข้างด้วยทางเดินพื้นปูนสีขาวสะอาดที่มีสวนย่อมประดับประดาเพื่อความร่มรื่นและสวยงาม
ไกลออกไปหน่อยก็จะมองเห็นสิ่งปลูกหนึ่งตั้งเด่นตระหง่านครอบครองทิวทัศน์ของเส้นขอบฟ้าราวกับว่าถูกวางไว้ให้เป็นจุดดึงความสนใจจากสายตาของเหล่าผู้ที่เดินผ่านเข้ามาในบริเวณขององค์กรแห่งนี้
มันคือสิ่งปลูกสร้างสูง 4 ชั้นหลังคาเรียบที่ถูกวางไว้ให้ดูโดดเด่นเป็นจุดสนใจของสายตาผู้คน และสำนักงานของฝ่ายประชาสัมพันธ์อันเป็นเหมือนความประทับใจแรกอันแสนสำคัญสำหรับผู้ที่ได้มาเยี่ยมเยือน
โครงสร้างภายนอกของมันนั้นมีลักษณะของการจัดเรียงตัวกันในรูปแบบต่าง ๆ ของรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ ที่มีการเน้นรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ด้วยส่วนของโครงสร้างและเสาหลายต้นที่นูนสูงออกมาเหนือกำแพงชั้นนอกของตัวอาคารที่ราบเรียบ
พื้นผิวภายนอกของมันโดยส่วนใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยการผสมผสานกันอย่างลงตัวของก้อนอิฐสีแดงเข้ม เสาโลหะสีด้าน และแผ่นกระจกใสที่สะท้อนแสงเป็นสีฟ้าแกมเขียว เป็นผลให้สีสันของตัวอาคารแห่งนี้นั้นตัดกับหญ้าเขียวขจีภายในสวนหย่อมและลานพื้นปูนสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าของมันได้อย่างโดดเด่นเป็นสง่า
และด้วยพื้นผิวส่วนใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยกระจกในเช่นนั้นเอง ทำให้ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของผู้คนที่กำลังเดินไปหรือวิ่งมาอยู่ภายในราวกับเป็นมดงานสามารถถูกมองเห็นจากภายนอกได้อย่างง่ายดาย
“หน่วยงานประชาสัมพันธ์ก็ยังคงดูงานล้นมือกันทั้งวันเหมือนเดิมเลยนะครับ”
เซย์จิกล่าวขึ้นในขณะที่กำลังก้าวเดินไปตามเส้นทางที่อ้อมผ่านอาคารประชาสัมพันธ์แห่งนี้ พร้อม ๆ กับกำลังทอดสายตาเข้าไปมองภายในตัวอาคารเแบบผ่าน ๆ
“พวกนั้นก็ดูยุ่งกับงานตรงหน้ากันทุกวันเลยจริง ๆ แหละนะ”
อากิโตะที่หันสายตาไปชำเลืองมองความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในตัวอาคารหลังจากที่เซย์จิเปิดประเด็นขึ้นมา กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบเฉยตามแบบฉบับของเขา
“อาจจะมีคนอู้งานอยู่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย อย่างเช่นพวกที่กำลังยืนเก๊กวางมาดให้เด็กใหม่ดูอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ชั้น 1 แล้วไม่ยอมไปทำงานทำการน่ะนะ”
แน่นอนว่ามันเป็นการประชดเหน็บแหนบที่ฟังดูน่าขันสิ้นดี เพราะถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์เช่นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่กลับตรงเคาน์เตอร์หน้าสุดของหน่วยงานนี- เอ่อ… กำลังเกิดขึ้นเลยวุ้ย…
“หรืออย่างคนกำลังนอนหลับขวางอยู่กลางทางเดินชั้น 2 ตรงข้าง ๆ เสาอิฐต้นที่ 3 จากริมสุดสินะครับ? เหมือนจะไม่มีใครคิดใส่ใจคิดจะปลุกเขาเลยด้วย แสดงว่าทุกคนคงเกรงใจเขามากแน่ ๆ เลยครับ”
เซย์จิเองก็พยายามตอบกลับด้วยการพูดติดตลกกึ่งเสียดสีอย่างไม่เป็นความจริ- เอาจริงสิ…!? นอนหลับกลางทางเดินเลยเนี่ยนะ? เอ่อ… มองข้ามชั้น 2 แล้วไปมองที่ชั้น 3 แล้วกัน
“นั่นก็ยังดีนะ นายลองมองพวกที่เอาทีวีมาต่อกับเครื่องเกมตรงโถงระเบียงของชั้น 3 สิ แถมยังมีพวกคนที่ไม่ได้เล่นมายืนดูอยู่รอบ ๆ เหมือนกับกำลังจัดเป็นปาร์ตี้กันอยู่เลยด้วย”
ฮ่า! อันนี้ต้องเป็นการพูดจาล้อเล่นติดตลกของอากิโตะอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย เพราะมันจะไปมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกลางที่ทำงานได้ยังไ- โอ้ ไม่เอาน่า!!!
เอาจริงสิ? ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม? ไอ้พวกนี้รู้ถึงบริบทของงานของพวกตัวเองไหมเนี่ย? ถ้าพวกความประทับใจแรกทำตัวให้คนข้างนอกเห็นแบบนี้ แล้วใครที่ไหนจะไว้ใจองค์กรแห่งนี้ได้ล่ะเนี่ย?
แต่ไม่เป็นไร ยังไงชั้น 4 ก็ชั้นของพวกผู้บริหารของหน่วย ดังนั้นมันต้องไม่มีความเสื่อมเสียอะไรให้เห็นเป็นแน่! ฉะนั้นทุกคนเบิกตาดูความประทับใจแรกที่แท้จริงขององค์กรแห่งนี้ได้เลย!!
“อ่ะ คุณเลขาฯ คนนั้นเดินออกมาจากห้องของหัวหน้าหน่วยแล้วครับ หวังว่าวันนี้เธอจะไม่รีบจนติดกระดุมผิดเม็ดอีกนะ”
“เห วันนี้เลขาฯ จากห้องของหัวหน้าหน่วยออกมาก่อนเลขาฯ ที่อยู่ในห้องของรองหัวหน้าหน่วยที่อยู่ข้าง ๆ อย่างงั้นงั้นรึ? หายากนะเนี่ย”
…
รู้อะไรไหม? ทำไมพวกเราทุกคนไม่ลองพยายามมองที่ความสวยงามของตัวอาคารแทนล่ะ?
ดูสีสันของพื้นผิวต่าง ๆ ของตัวอาคารที่ตัดกับฟ้าสีครามเบื้องหลังสิ! หรือไม่ก็ดูการผสมรูปทรงต่าง ๆ อย่างสวยงามของตัวอาคาร ตั้งแต่ชั้นล่างสุดขึ้นไปจนถึงหลังคาทรงเรียบที่สามารถถูกใช้เป็นดาดฟ้าเปิดโล่งสิ! ใช่แล้ว! พยายามนึกถึงภาพของความสวยและดีงามต่าง ๆ เข้าไว้สิ!
“ว่าไปแล้ว ดูเหมือนพวกที่มาถึงที่ทำงานแล้วนั่งคุยเล่นอยู่บนดาดฟ้าตั้งแต่เช้าโดยไม่ทำงานทำการทั้งวันนี่จะได้สมาชิกใหม่เพิ่มด้วยนะ ลองดูสิ”
“จริงด้วยครับ เหมือนจะได้สมาชิกใหม่เพิ่มมา 2 คนเลยนะครับ น่ายินดีชมจริง ๆ”
#@$!#&!^&&^!*$!(*!&
…
…
ณ จุดนี้ก็คงเป็นที่ชัดเจนว่า การใช้กระจกใสที่ทำให้สามารถมองเห็นพื้นที่ภายในตัวอาคารได้นั้นก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่เท่าไหร่สำหรับการออกแบบอาคารที่ตั้งอยู่ในส่วนหน้าสุดของพื้นที่องค์กรใด ๆ
และก่อนที่ระดับความน่าเชื่อถือที่ไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่แรกของ SEAR จะลดต่ำไปเกินกว่าที่ใครจะสามารถจินตนาการถึงได้ ก็ต้องขอข้ามไปยังตอนที่บทสนทนาเช่นนี้ของพวกเขาทั้ง 2 คนสิ้นสุดลง
“แต่นอกเหนือจากพวกที่กล่าวถึงไปแล้ว โดยรวมพวกเขาก็ทำงานกันขยันขันแข็งดีนะครับ”
เซย์จิกล่าวชม ‘ภาพรวม’ ของหน่วยงานอันเป็นความประทับใจแรกขององค์กรแห่งนี้ ในขณะที่เขาและเพื่อนกำลังจะเดินอ้อมผ่านอาคารของพวกเขาไป
“โดยรวมแล้ว ก็ดูมีความพยายามที่น่าประทับใจอยู่จริง ๆ แหละนะ”
อากิโตะที่ยังคงทำหน้าตานิ่งเรียบอย่างที่เคยเป็นมาพร้อมด้วยความเร็วฝีเท้าที่คงที่ ก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีความจริงใจมากกว่าปกติเล็กน้อย
“เป็นหน่วยงานที่เหมาะสมกับการเป็นความประทับใจแรกขององค์กรของพวกเราจริง ๆ นะครับ”
“ก็ไม่เถียง ใครที่ได้มาเห็นว่าความเป็นไปของโลกในตอนนี้มันอยู่ในมือขององค์กรที่มีความเป็นมืออาชีพขนาดนี้ ย่อมต้องรู้สึกอุ่นใจเป็นแน่”
และนั่นก็คือคำพูดชมที่ออกมาจากใจจริงของทั้ง 2 คนที่เหมือนกับว่าจะไม่มีนัยซ่อนเร้นใด ๆ
แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ยิ่งฟังคำพูดชมเหล่านั้นจากทั้ง 2 คนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้อยากจะร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ได้แต่ภาวนาขอให้การกล่าวพูดชมเหล่านี้ของพวกเขาจบลงเสียที
“หือ?”
อากิโตะหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาที่กำลังสั่นไหวพร้อมส่งเสียงแจ้งเตือน
เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วใช้นิ้วโป้งขวาวาดรูปแบบของการปลดล็อกหน้าจอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะเปิดแอพพลิเคชั่นสื่อสารตัวหนึ่งขึ้นมา
มันคือแอพพลิเคชั่นสื่อสารสำหรับให้ใช้กันเฉพาะในกลุ่มคนหลังฉากที่ถูกสร้างมาให้หน้าตาดูคลับคล้ายกับแอพพลิเคชั่นที่คนปกติธรรมดาทั่วไปใช้กัน แต่ก็มีระบบต่าง ๆ เสริมขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล
ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์มือถือของอากิโตะและเซย์จิเองก็ถูกนำไปดัดแปลงเพื่อให้ชิ้นส่วนและระบบการทำงานต่าง ๆ ของมันสามารถทำงานได้ ‘สอดคล้อง’ กับสภาพของการทำงานของพวกเขาเพื่อเป็นการป้องกันเสริมอีกชั้นด้วย
และด้วยทั้ง 2 อย่างที่ว่ามา ก็ทำให้คนหลังฉากสามารถรับและส่งสารต่าง ๆ เกี่ยวกับงานของพวกเขาได้โดยไม่เป็นที่ต้องสายตาหรือว่าดูน่าสงสัยจนเกินไป
อากิโตะง่วนหน้าเพ่งสมาธิไปกับข้อความบนหน้าจอของโทรศัพท์มือถืออยู่หลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ๆ แล้วหันไปมองทางเพื่อนของเขาที่มีคำว่า ‘สงสัย’ เขียนอยู่เต็มหน้า
“นายน่าจะต้องไปให้หมอทำแผลให้คนเดียวแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าทางนี้มีของ ‘ตกเบิก’ ก่อนน่ะ”
เขากล่าวพูดอย่างเรียบเฉยอย่างที่เคยเป็นมา แต่ก็มีการเน้นเสียงให้กับคำสำคัญที่ต้องใช้ความตั้งใจในการฟังระดับหนึ่งถึงจะรู้สึกได้ถึงมัน
“ของ ‘ตกเบิก’ อย่างงั้นรึครับ? แปลว่าคุณก็ต้องรีบไป ‘เบิก’ พวกมันมาให้ก่อนที่จะเป็นเรื่องสินะครับ?”
เซย์จิถามกลับด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติที่มีการเน้นเสียงที่คำสำคัญในลักษณะเดียวกัน
“น่าจะเป็นอะไรที่สำคัญแหละ ไม่งั้นคน ๆ นั้นคงไม่ส่งข้อความมาลากคอทางนี้ไปโดยตรงแบบนี้หรอก”
อากิโตะหันหน้าจอโทรศัพท์ของเขาไปให้เซย์จิอ่าน
“พอเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาแล้ว ผมก็เข้าใจเลยครับ ว่าทำไมคุณถึงมีท่าทีแบบนั้นน่ะนะ”
เซย์จิพูดปนหลุดหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาหลังจากที่ได้อ่านสิ่งที่ถูกแสดงอยู่บนหน้าจอของโทรศัพท์มือถือของเพื่อนของเขา
“ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน การไปขัดคำสั่งของคน ๆ นั้นก็คงเป็นการสร้างปัญหาอย่างไร้แก่นสารขึ้นมามากกว่าที่จะได้ประโยชน์น่ะนะ ฉะนั้นทางนี้คงต้องไป ‘เบิก’ ของที่ว่านั่นก่อนแหละนะ”
อากิโตะพูดอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับล็อกหน้าจอของโทรศัพท์มือถือ แล้วเก็บมันลงไปในช่องกระเป๋าของกางเกงของเขา
“ก็ช่วยไม่ได้นะครับ คน ๆ นั้นเป็นคนสั่งมาเองเลยนี่นะ ถ้าหากว่าคุณไม่รีบไป มีหวังพวกเราทุกคนโดนเรียกไปบ่นแหง ๆ”
เซย์จิหัวเราะออกมาอย่างแห้ง ๆ อีกครั้งเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนของเขากำลังเผชิญหน้ากับความไม่
“ถ้างั้น ผมก็ขอตัวไปจัดการเรื่องแผลที่ผม ‘หกล้ม’ ก่อนนะครับ ไว้เสร็จแล้วผมจะไปเจอคุณที่ห้องทำงานของคุณแล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ยกแขนซ้ายที่มีผ้าพันแผลพันไว้ขึ้นมาโบกมือกล่าวล่ำลาเพื่อนของเขา พร้อม ๆ กับเริ่มเปลี่ยนทิศทางเดินแยกตัวออกไป
“อืม ไว้เจอกัน”
อากิโตะที่ยังคงมีสีหน้าสุดเซ็งตอบกลับอย่างง่าย ๆ แล้วเดินออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง
⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭