บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 1.2
ทั้ง 2 ชีวิตบนรถตู้คันนี้นิ่งเงียบไปกันอย่างไม่ได้นัดหมายหลังจากผ่านประสบการณ์ที่น่าจะทำให้หัวใจของใครหลาย ๆ คนต้องทำงานหนักกว่าที่ควร
“…”
“…”
และแม้ว่าจะผ่านไปหลายวินาทีหลังจากนั้นจนนาฬิกาทั้ง 2 เรือนของพวกเขาแสดงเลขเวลาใหม่ ก็ยังไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากทั้ง 2 คน ราวกับว่าพวกเขานั้นสูญเสียความสามารถในการพูดไปเสียแล้ว
อย่างน้อยมันก็เป็นอย่างนั้น จนกระทั้งเซย์จิเลือกที่จะทำลายความเงียบงันที่แสนอึดอัดนี้ พร้อมกับการแสดงสีหน้าปั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกครั้ง
“เมื่อกี้… ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสินะครับ”
“นั่นสิ ไม่มีใครเห็นอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นนี่นะ”
อากิโตะเห็นพ้องด้วยกับ ‘ข้อเสนอ’ ของเซย์จิ แล้วก็พยายามทำเป็นลืมทุกอย่างไป
“แต่ฉันเห็นทุกอย่างเลยค่ะ”
ราวกับภูตพรายที่ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า เสียงของหญิงสาวที่เหมือนอยู่ไกลแสนไกลออกไปก้องกังวานขึ้นในโสตประสาทของอากิโตะกับเซย์จิ
ถ้าเป็นมนุษย์ปกติที่นั่งกันอยู่ในรถตู้แค่ 2 คน การได้ยินเสียงของคนอื่นดังขึ้นแบบไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ ด้วยสามัญสำนึกปกติก็คงแตกตื่นกับสถานการณ์แบบนี้ไปแล้ว แต่สำหรับ Homo stupidus ทั้ง 2 นั้น
“สวัสดีอีกครั้งครับ ฮินะ”
“ยินดีต้อนรับกลับมา ฮินะ”
พวกเขาทั้งคู่นั้นมีความสามารถในการมองหาหน้าต่างเพื่อการโยนสามัญสำนึกทิ้งออกไปนอกรถที่สามารถใช้ได้กับหลาย ๆ สถานการณ์ในโลกใบนี้ ซึ่งก็รวมถึงในตอนนี้ด้วย
“อย่างน้อยตอนที่ฉันทักทายในสภาพแบบนี้ ช่วยทำเป็นแตกตื่นหรือตกใจหน่อยเถอะค่ะ เห็นแบบนี้ก็เสียกำลังใจเหมือนกันนะคะ”
“อย่างที่เธอเห็น ทางนี้กับเซย์จินั่งคาดเซฟตี้เบลท์อยู่ จะให้แตกตื่นยังไงก็คงได้แต่นั่งอยู่ในเบาะเหมือนเดิมแล้วขยับไปไหนไม่ได้น่ะนะ ฉะนั้นทำไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”
“ที่จะให้ตกใจนี่ แสดงว่าคุณอยากเห็นการแสดงในระดับที่ต้องตั้งรางวัล
ซุปเปอร์ออสการ์ขึ้นมาเพื่อมอบให้กับความสามารถในการตีบทแตกของผมกับอากิโตะสินะครับ ฮินะ?”
“คิดดูอีกที ไม่ดีกว่าค่ะ”
‘ฮินะ’ ปฏิเสธโดยไม่ใช้เวลาไตร่ตรองใด ๆ ทำให้เซย์จิมีท่าทีผิดหวังจนหลุดโห่ออกมา
“หมดกันข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของผม”
“ข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธของนายเพิ่งจะโดนฮินะปฏิเสธอย่างทันทีทันควันเลยน่ะนะ”
“พูดแบบนั้นก็ฟังเหมือนว่าฉันเพิ่งทำสิ่งที่โหดร้ายลงไปเลยนะคะ อากิโตะ?”
“ตราบที่เซย์จิเป็นคนโดน ทางนี้ก็ไม่ถือว่าโหดร้ายอะไรน่ะนะ”
“มันโหดร้ายมากจนทำผมอยากร้องไห้เลยครับ ฮินะ”
“ก็เว่อร์ไปนะคะ เซย์จิ”
ทั้ง 3 คน… ไม่สิ ทั้ง 2 คน และ 1 เสียงพูดคุยกันอย่างสนิทสนมด้วยความคุ้นเคยที่มีต่อกันและกันราวกับว่าเป็นบทสนทนาเวลาพักของวันทำงานหรือเวลาเรียน
แน่นอนว่าการที่มีเสียงใด ๆ ดังขึ้นในโสตประสาทของมนุษย์ 2 คนพร้อม ๆ กันอย่างไม่มีที่มาที่นั้นไม่ใช่อะไรที่ใกล้เคียงกับนิยามของคำว่า ‘ปกติ’ สำหรับผู้คนในโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะเดียวกัน ก็พูดได้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่อะไรที่จะสามารถพบเจอได้ต่อให้เป็นลูกจ้างของ SEAR
ในความเป็นจริง ต่อให้ลูกจ้างที่อยู่กับองค์กรมานานก็คงแตกตื่นขวัญกระเจิงเป็นแน่ ถ้าได้ยินการกล่าวทักทายราวกับวิญญาณหรือภูติพรายของ ‘ฮินะ’ ตามที่เธอได้กล่าวไป
การที่อากิโตะกับเซย์จิไม่มีการแสดงท่าทีตกใจอะไรเลยก็จัดว่าแปลกประหลาดอย่างไม่มีข้อสงสัย
“แต่ดูเหมือนว่าพวกคุณทั้งสองจะคุยกันสนุกเลยนะคะจากที่ฉันดูมา”
“ดูมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะนั่น?”
“‘ตัวฉัน’ ก็อยู่กับพวกคุณมาตลอด ตั้งแต่ตอนที่เซย์จิวิ่งว่อนในสำนักงานมองหาอุปกรณ์ทำป้ายที่เขาเพิ่งให้คุณดูไปค่ะ”
“เป็นป้ายที่ดีใช่ไหมล่ะครับ ฮินะ?”
“ดีก็แย่แล้ว! โยนมันทิ้งไปได้แล้ว”
“โยนออกไปนอกรถในตอนนี้จะถือว่าทิ้งขยะไม่ลงถังนะครับ อากิโตะ”
ขอย้ำอีกครั้งว่าในตอนนี้ภายในห้องโดยสารแห่งนี้มีเพียง 2 ชีวิตของอากิโตะกับ
เซย์จิเท่านั้น
การที่ฮินะใช้คำว่า ‘อยู่กับ’ พวกเขามาตลอดนั้น ก็คงไม่ต่างจากบทพูดที่ออกมาจากตำนานเมืองหรือเรื่องสยองขวัญก็ว่าได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไอ้งั่งทั้ง 2 คนนั้นไม่ได้มีทีท่าจะใส่ใจตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ว่าแล้วก็ขอกลับเข้าเรื่องหน่อยนะคะ ตอนนี้พวกคุณใกล้จะถึง ‘จุดหมาย’ แล้ว ฉันเสนอว่าเตรียมตัวให้พร้อมน่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่าการนั่งคุยเล่นอย่างที่เป็นมานะคะ”
เธอเริ่มกล่าวตักเตือนทั้ง 2 ชีวิตในรถตู้ที่กำลังวิ่งฝ่าถนนที่ขรุขระอย่างตรงไปตรงมาเหมือนหัวหน้าห้องที่พยายามแจกจ่ายงานให้กับกลุ่มของนักเรียนที่ชอบทำตัวพิลึกในห้อง ก่อนที่จะถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่ ๆ แล้วพูดต่ออย่างลำบากใจ
“ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น ฉันก็คงจะพูดเตือนเพียงแค่นั้นจริง ๆ แหละค่ะ แต่กับพวกคุณทั้ง 2 คนนี่… พูดไปก็เท่านั้น…”
“หือ? พูดอะไรรึเปล่า? โทษทีนะ พอดีได้ยินไม่ชัดน่ะ เสียงรถกับถนนมันดัง”
“เสียงของฉันมันดังขึ้นในประสาทรับรู้ของคุณเลยนะคะ อากิโตะ ไม่มีทางได้ยินไม่ชัดหรอกนะคะ”
“ขอโทษด้วยนะครับ ฮินะ พอดีสมองผมมันปฏิเสธที่จะประมวลผลสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อเมื่อกี้ ตอนนี้ผมเลยไม่เข้าใจว่าคุณต้องการให้ผมทำอะไรเลยน่ะนะครับ”
“อันนี้ก็ตรงไปนะคะ เซย์จิ”
คำตอบของทั้ง 2 คนนั้นไม่ได้ช่วยลด แต่กลับเพิ่มความหนักใจให้เธอแทน
“ว่าไป ทางนี้ขอถามอะไรเธอข้อหนึ่ง ฮินะ”
อากิโตะพูดต่อหลังจากสิ้นเสียงเหนื่อยใจอย่างเปิดเผยของฮินะ
“เกี่ยวกับการที่มีพวก ‘ผู้มาเยือน’ ปรากฏตัวขึ้นในอุโมงค์นี้น่ะ จนถึงตอนนี้มีรายงานหรือคำสั่งอะไรไปถึงพวก ‘Fielder’ บ้างรึยัง?”
Fielder หรือชื่อเต็มว่า Fieldworker หรือ หน่วยงาน ‘ภาคสนาม’ คือหน่วยงานของ SEAR ที่มีหน้าที่รับมือจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องลงไปปฏิบัติการในภาคสนาม ไล่ตั้งแต่การไล่ค้นหาของต่าง ๆ เพื่องานวิจัยไปยันรับมือกับเหล่าตัวตนแปลกประหลาดที่เริ่มปรากฎตัวขึ้นทั่วทุกมุมโลกเมื่อ 30 ปีก่อน หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า ‘ผู้มาเยือน’
ถ้าจะให้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ‘ผู้มาเยือน’ นั้นคือตัวตนที่มาจากมิติหรือ ‘ระนาบภพความเป็นจริง’ อื่นด้วยจุดประสงค์ต่าง ๆ ที่มักลงเอยด้วยความวุ่นวาย ความเสียหาย และความโกลาหนให้โลก
ซึ่งนั่นก็ทำให้การมีตัวตนอยู่ของกลุ่มคนที่มีความรู้และความสามารถในการ ‘รับมือ’ และ ‘จัดการ’ กับตัวตนเหล่านี้กลายเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงอยู่และดำเนินของชีวิตบนโลกใบนี้ในศตวรรษที่ 21
“ถ้าจะให้ว่ากันตามตรง เบื้องบนนั้นไม่มี ‘คำสั่ง’ หรือ ‘รายงาน’ ใด ๆ ถึง ‘ภาคสนาม’ เลยค่ะ”
“งั้นรึ เป็นอย่างที่คิดเลยสินะ”
เสียงของอากิโตะยังคงฟังเอื่อย ๆ เช่นเดิมหลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากฮินะ
ต้องขอเน้นย้ำอีกครั้ง ว่าอากิโตะและเซย์จิที่กำลังนั่งอยู่ในรถตู้ที่กำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้นั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วย ‘ภาคสนาม’ แม้แต่น้อย
พวกเขานั้นเป็นเพียงลูกจ้างที่ทำงานอยู่เบื้องหลังในตัวองค์กรในตำแหน่ง ‘ช่างซ่อมบำรุง (พิเศษ)’ กับ ‘นักวิจัย (พิเศษ)’ เท่านั้น หรืออย่างน้อยนั่นก็คือเรื่องราวอย่างเป็นทางการ
“แสดงว่าสิ่งที่พวกเรากำลังจะไปเจอเนี่ย น่าจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายที่ ‘ช่าง’ อย่างทางนี้กับ ‘นักวิจัย’ อย่างเซย์จิก็มากเกินพอที่จะจัดการได้เลยไม่มีความจำเป็นต้องเรียกพวก Fielder ออกมา ไม่ก็เป็นอะไรที่ส่งพวกกึ่งไม่ได้ความพวกนั้นลงมาก็ตายฟรีสินะ”
“ความขี้เกียจของผมมันบอกว่าเป็นอย่างแรกนะครับ แต่สถิติและความน่าจะเป็นหลังจากทำงานนี้มา 2 ปีกว่า ๆ มันบอกว่าเป็นอีกอย่าง ผมล่ะอยากให้ความขี้เกียจชนะจริง ๆ แต่เหมือนกับว่าสวรรค์จะไม่เป็นใจ น่าเศร้าจริง ๆ เลยว่าไหมครับ อากิโตะ?”
“สวรรค์ที่ไหนจะเป็นใจให้ความขี้เกียจล่ะนั่น ที่สำคัญ คนอย่างนายเชื่อในสวรรค์ด้วย?”
“ผมเชื่อมากพอที่จะเอามาใช้เป็นแพะรับความผิดในประโยคครับ”
“ระวังจะโดนสวรรค์ลงโทษเข้าสักวันนะคะ เซย์จิ”
“ฮะ ๆ ตราบที่จำนวนวันและเวลายังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ เหตุการณ์นั้นยังไงก็ต้องมาถึงแน่นอนครับไม่ต้องห่วง”
เซย์จิหัวเราะขำขันอย่างสุภาพด้วยท่าทีที่ไม่มีความวิตกกังวลหรือลังเลใด ๆ เป็นผลให้ดูเหมือนว่านั่นเป็นอะไรที่มากกว่าเพียงการพูดจาติดตลก แต่เขาก็ไมได้ขยายความอะไรเพิ่มเติม
“แต่เอาจริง ๆ นะคะ การที่เบื้องบนโยนพวกคุณลงไปเจอกับ ‘ผู้มาเยือน’ เนี่ย มันก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วรึเปล่าคะ ว่าไม่ใช่อะไรที่หน่วยภาคสนามสามารถจัดการได้?”
“เหอะ ๆ ถ้าหากว่าพวก ‘วีรชน’ ของคนยุคใหม่อย่าง Fielder ยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วกับพวกที่ไม่คาดหวังอะไรไม่ได้ยิ่งกว่าอย่างทางนี้กับเซย์จิเนี่ย… ส่งไปเจอ ‘ผู้มาเยือน’ นี่ ก็เหมือนส่งไปตายน่ะนะ”
“ผมว่าพวกเขาแค่ส่งพวกเราลงมาเป็นหนูทดลองเพื่อดูสถานการณ์จริง ๆ นั่นแหละครับ แล้วก็คงไม่ได้คาดหวังอะไรอย่างที่อากิโตะว่า เพราะสุดท้ายผมก็เป็นแค่นักวิจัย ส่วนอากิโตะก็เป็นแค่ช่างนะครับ ถึงสิ่งที่เขาซ่อมบำรุงมันไม่ค่อยจะธรรมดาเท่าไหร่ก็เถอะ”
แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงที่ชวนน่าหดหู่ที่จะนำไปสู่จุดจบไม่กี่รูปแบบ แต่พวกเขาทั้ง 2 ก็ไม่ท่าที่จะปลงตกแต่อย่างใด แล้วก็ยังคงพูดจาตอกย้ำกันและกันราวกับเป็นเพียงอีกหนึ่งบทสนทนาธรรมดา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกคุณทั้ง 2 คนนั้นไม่เหมือนกับพวกภาคสนาม ต่อให้เรื่องเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ขนาดไหน พวกคุณก็ต้องหาทางออกได้แน่ ๆ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นค่ะ”
ฮินะเน้นย้ำถึงความคิดของเธออย่างหนักแน่น ซึ่งแม้ว่ามันจะฟังดูแปลกและไม่สมเหตุผล แต่ความมั่นใจในน้ำเสียงของเธอก็มากพอที่จะโน้มน้าวใจได้แม้แต่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
เซย์จิที่ได้ยินเช่นนั้นก็หลับตาลงโดยที่คงรอยยิ้มไว้ ก่อนที่จะเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงพนักพิงเบาะโดยไม่ได้มีคำพูดอะไรออกมา
ส่วนอากิโตะก็หลุดหัวเราะ ‘หึ’ แบบขึ้นจมูกออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะตอบกลับความแน่วแน่ของเพื่อนของเขาที่อยู่ในรูปเสียงของหญิงสาวที่ไร้ซึ่งตัวตนอย่างจริงใจ
“ฟังดูมั่นใจในความคิดนั้นของเธอดีจังนะ ฮินะ”
“สำหรับฉันแล้ว นั่นไม่ไม่ใช่แค่ความคิดค่ะ แต่เป็นความจริง”
“ให้เครดิตกับพวกทางนี้มากไปนะ ฮินะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ เพราะฉันก็มีภาพพจน์ที่ต้องรักษาเพื่อความสะดวกในการทำงานเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไปพูดเรื่องนี้ให้ใครอื่นฟังหรอกค่ะ”
“นั่นคือการหลอกด่าอ้อม ๆ ว่าถ้าประกาศว่าเชื่อใจพวกทางนี้อย่างเปิดเผย ก็จะโดนมองว่าเพี้ยนสินะ”
“แล้วแต่จะตีความหมายเลยค่ะ อากิโตะ”
ฮินะหัวเราะคิกคักเล็กน้อยเมื่อตอบอากิโตะเช่นนั้น
“และเอาจริง ๆ พวกคุณก็ต้องการไม่ให้ฉันบอกใครอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ พวกคุณคนหลังฉาก?”
เป็นการเลือกใช้คำพูดที่อาจจะฟังดูแปลกประหลาดจากฮินะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงคำพูดสุดท้ายของเธอ ‘คนหลังฉาก’ ที่หลายคนสามารถเชื่อมโยงได้เพียงแค่กับการแสดงและการละครต่าง ๆ แต่ไม่ใช่กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่
ถ้าหากว่าต้องการที่จะเข้าใจถึงความหมายและบริบทที่แฝงอยู่ในคำว่า ‘คนหลังฉาก’ ก็ต้องเข้าใจถึงความหมายและบริบทที่แฝงอยู่ของสังคมและโลกในตอนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้คน
ว่ากันว่าสำหรับทุกการแสดงในฉากหน้า ย่อมต้องมีการวิ่งเต้นของเหล่าผู้คนภายในมุมอับสายตาเบื้องหลังเวที
สำหรับทุก ๆ ผลงานความสวยงามที่ถูกพบเห็น ก็ต้องมีความสกปรกที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้
และสำหรับทุก ๆ ผลงานการกู้โลกของ SEAR ก็ต้องมีเบื้องหลังที่ไม่สามารถให้ใครไหนพบเห็น
ถ้าให้ว่ากันตามจริง SEAR นั้นเป็นองค์กรที่ไร้ประโยชน์เกินกว่าที่จะมีตัวตนอยู่ได้มาจนถึงเมื่อ 30 ปีก่อน ที่อยู่ ๆ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในองค์กรสำคัญของโลกในชั่วข้ามคืน
ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ต้องสงสัยการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นแน่
มนุษย์นั้นก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จะยอมรับคำอธิบายอะไรที่เต็มไปด้วยช่องว่างโดยไม่เหลือความเคลือบแคลงใจ ซึ่งนั่นก็มักจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการหาคำอธิบายเพื่อเติมเต็มช่องว่างในของเหตุและผลเหล่านั้น
รู้จักโดยทั่วไปในชื่อ ‘คนหลังฉาก’ หรืออย่างเป็นสากลว่า Backstager ที่นิยมย่อเหลือว่า Back
นั่นคือคำใช้เรียกถึงกลุ่มของคนหรือตัวตนใด ๆ ที่อาจจะมีหรือไม่มีตัวตนอยู่เมื่อพูดถึงความน่าสงสัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEAR
กลุ่มที่ว่านี้ ตามเรื่องราวและความเชื่อส่วนใหญ่มีหน้าที่ในการชักใยเรื่องต่าง ๆ อยู่เบื้องหลังที่คอยทำงาน ‘สกปรก’ อย่างไม่ให้ถูกพบเห็นตามคำสั่งของ SEAR ไล่ตั้งแต่การลอบสังหาร หรือการจัดฉากเหตุการณ์ต่างของโลก ซึ่งก็รวมถึงการปรากฏตัวขึ้นของเหล่า ‘ผู้มาเยือน’ เมื่อ 3 ทศวรรษก่อนด้วย
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงสมมุติฐานที่ยากจะพิสูจน์
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานที่สามารถพิสูจน์การมีตัวตนอยู่ของคนกลุ่มนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ขาดซึ่งหลักฐานสำหรับการล้มล้างความเชื่อนั้น
ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถหาข้อสรุปความจริงเท็จได้ ที่ค่อย ๆ กลายสภาพไปเป็นตำนานเมืองหรือทฤษฎีสมคบคิด
และนั่นคือบริบทของคำว่า ‘คนหลังฉาก’ ที่ใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบัน
แน่นอนว่ามันยังคงไว้ซึ่งความหมายอย่างที่เคยเป็นเวลาที่ถูกใช้ในบริบทเกี่ยวกับโรงละครและการแสดง แต่ถ้าหากว่าอยู่ในสถานการณ์อื่น ความเข้าใจของผู้คนก็จะชี้ไปในทิศทางของเรื่องราวที่เป็นดั่งตำนานเมืองเช่นนี้แทน
การที่ฮินะใช้คำเรียกที่มีความหมายเช่นนั้นกับคู่สนทนาทั้ง 2 ก็อาจจะสามารถตีความได้ว่าเป็นเพียงการพูดหยอกล้อด้วยสิ่งที่ห่างไกลจากที่พวกเขาทั้ง 2 เป็น
แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็มีอีกหลายสิ่งที่สามารถทำให้เข็มทิศความจริงชี้ไปในอีกทิศทาง
แรกสุด ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ต่อให้เป็นองค์กรที่ขึ้นชื่อเรื่องความไม่เอาถ่านอย่าง SEAR การที่ส่ง ‘ช่างซ่อมบำรุง’ กับ ‘นักวิจัย’ แค่ 2 คนลงมาในอุโมงค์ที่โดนทิ้งร้างเพื่อเผชิญหน้ากับ ‘ผู้มาเยือน’ เช่นนี้ก็ไม่ใช่การกระทำที่สมเหตุหรือผลใด ๆ ทั้งสิ้น
ประการที่ 2 ก็อ้างอิงจากคำพูดของอากิโตะก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมถึงไม่ส่งหน่วยภาคสนามลงมาแทนพวกตน ที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วฮินะจะไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้ แต่ก็เป็นอีกตัวชี้นำความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งเขาและเซย์จิต้องลงมาปฏิบัติงาน ณ ที่แห่งนี้
และสุดท้ายที่อาจจะเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุด ก็คือการที่พวกเขาทั้ง 2 สามารถพูดคุยกับเสียงที่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างฮินะได้อย่างหน้าตาเฉยโดยไม่มีท่าทีตื่นกลัว ราวกับว่าพวกเขานั้นเข้าใจถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นและก็เป็นเพียงอีกหนึ่งความคุ้นชินของพวกเขาเท่านั้น
ด้วยตัวอย่างของจุดที่น่าสงสัยที่ถูกยกมา ก็พอจะนำไปสู่แนวคิดที่ว่าการพูดจาอย่างมีนัยของฮินะเกี่ยวกับตัวตนของคู่สนทนาทั้ง 2 ของเธอนั้นเป็นอะไรที่มากกว่าการล้อเล่น
แต่ทั้งนี้ก็ยากที่จะพิสูจน์แนวคิดทั้ง 2 ได้ เนื่องจากการขาดแคลนซึ่งหลักฐานที่สามารถยืนยันหรือหักล้างพวกมัน
และจนกว่าจะมีการปรากฏขึ้นของหลักฐานใหม่ที่สามารถพิสูจน์ความจริงเท็จได้อย่างไร้ข้อกังขา ความจริงเท็จเกี่ยวกับแนวคิดทั้ง 2 ก็คงจะเป็นปริศนาที่ยังไม่ถูกไขต่อไป หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
“ครับ! ‘หลังฉาก’ อย่างพวกเราก็ต้องขอขอบคุณการให้ความร่วมมือในการหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานพวกเราโดยไม่จำเป็นนะครับ ฮินะ”
ท่าทีสีหน้าของเซย์จิยังคงเป็นการนั่งปั้นยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้ร้อนอะไร แต่รอยยิ้มของเขานั้นไม่มีวี่แววของการสวมหน้ากากเพื่อเล่นบทตามน้ำแต่อย่างใดเมื่อกล่าวคำขอบคุณนั้นออกมา ราวกับว่านั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของเขาอย่างไม่มีการเสแสร้ง
อากิโตะที่มือไม้และสายตายังคงอยู่กับถนนที่ถูกส่องสว่างโดยไฟรถข้างหน้าเสริมประเด็นต่อด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมตามแบบฉบับของเขาอย่างที่เคยเป็น
“เอาจริง ๆ ทาง ‘Back’ ไม่เคยอนุญาตให้พวกเราเปิดเผยตัวตน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยมีนโยบายให้รักษาความลับยิ่งชีพเหมือนกัน ฉะนั้นตราบที่ยังคง ‘ทำงาน’ ได้อย่างสะดวก ก็คงเป็นการใช้ได้แหละ”
เขาอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างราบเรียบไร้ราวกับว่าเป็นเพียงการบอกเล่าถึงอีกหนึ่งในกิจวัตรประจำวันทั่วไปของเขาเท่านั้น
“เหอะ ๆ ถึงจะบอกว่า ‘ทำงาน’ ก็เถอะนะครับ แต่ SEAR ก็ไม่เคยตั้งหน่วยงาน ‘คนหลังฉาก’ ขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ นะครับ ชื่อเรียกยังมาจากตำนานเมืองเลย ฉะนั้นจะบอกว่าการที่พวกเราออกไปทำอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสัญญาจ้าง ‘โดยพลการ’ แบบนี้เป็นการ ‘ทำงาน’ นี่ ก็พูดยากนะครับ”
“พูดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่มองอีกมุมพวกเราก็ได้ค่าตอบแทนจากการออกไปทำอะไร ‘โดยพลการ’ แบบนี้เหมือนกัน ฉะนั้นก็คงพอเรียกว่า ‘การจ้างวาน’ ก็น่าจะได้มั้ง”
“ผมเรียกว่าเงินฟาดหัวมากกว่า เพราะ SEAR คงไม่คิดจะรับผิดชอบหรือรับรู้อะไรแน่ ๆ ถ้าหากว่า ‘การจ้างวาน’ ที่ว่าของพวกเราเกิดผิดพลาดอะไรขึ้น แต่ก็นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะ ‘จ้างวาน’ พวกเราเวลาเจอเรื่องอะไรทำนองนี้นี่นะ”
“ถ้าเทียบกันแล้ว ระหว่างพวก Fielder ที่ถูกส่งออกตายหรือหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา กับลูกจ้างที่ไม่มีหน้าที่ออกไปทำงานเสี่ยงอันตรายที่เกิดหายหัวแล้วไม่โผล่หน้ากลับมาอีกเลย ยังไงอย่างหลังก็เป็นอะไรที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและกลบเกลื่อนได้ง่ายกว่าแหละนะ”
อาจจะมีการบ่นอุบปะปนเล็กน้อยเกี่ยวกับสภาวะการทำงาน แต่ ‘คนหลังฉาก’ ทั้ง 2 พูดคุยเกี่ยวกับธรรมชาติและความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนของพวกตนอย่างเปิดเผยไม่มีการปิดบัง
“เป็น ‘งาน’ ที่ลำบากดีจริง ๆ นะคะ ฉันที่ช่วยพวกคุณในเรื่องเหล่านี้มาหลายปีก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินเลย”
“เป็นการทำอะไร ‘โดยพลการ’ ที่ลำบากจริง ๆ แหละนะ”
“บางครั้งผมก็แอบคิดน่ะนะว่าเลือกสายงานผิดจริง ๆ”
อากิโตะยังคงไม่มีความไหวติงใด ๆ เมื่อตอบคำพูดที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยใจของฮินะที่ดังก้องในโสตประสาทของเขา ในขณะที่เซย์จิหัวเราะแห้ง ๆ กับตัวเองหลังจากที่ระบายความในใจเกี่ยวกับทางเลือกที่อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาออกมา
“แต่พอคิดถึงพวกนักทฤษฎีสมคิดทีไรแล้ว…”
คราวนี้ฮินะเป็นคนเปิดประเด็นบ้าง
“การที่พวกนั้นชอบไปคิดเองเออเองที่ชอบลงเอยด้วยความคิดที่ว่าพวกคุณเป็นเหมือนองค์กรชั่วร้ายที่คอยบงการความเป็นไปของโลกเนี่ย ทั้ง ๆ ที่พวกคุณก็เป็นแค่คนที่ทำอะไรเพื่อโลกอย่างพวกภาคสนามแท้ ๆ แต่ต้องทำงานที่ซ่อนเร้นกว่าและสำคัญกว่า ก็ทำให้ฉันไม่พอใจจริง ๆ นะคะ”
เธอถอนหายใจเบา ๆ ด้วยเสียงใส ๆ ที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ของความลึกลับอย่างละอ่อนใจ
“บางทีหมวกฟอยล์ที่ใช้ครอบหัวมันก็มีฤทธิ์หลอนประสาทยิ่งกว่ายาตัวไหน ๆ น่ะนะ จะไปหาซื้อ LSD เสพทำไมถ้าหากว่ามีทฤษฎีสมคบคิดให้เสพแทนว่าไหม? เอาจริง ๆ ปล่อยตัวตนของพวกทางนี้ไว้แบบนี้ก็น่าจะเป็นอะไรที่ลดทอนการใช้ยาเสพติดที่ได้ผลกว่าผลงานของรัฐบาลทั่วโลกนะว่าไหม?”
อากิโตะให้ความเห็นกับฮินะอย่างตรงไปตรงมา แต่ด้วยวิธีการส่งสารที่ฟังเรียบเฉยยิ่งกว่านาฬิกาปลุกที่ลืมตั้งในตอนเช้าที่ขัดกับเนื้อความที่มีแฝงไปด้วยความก้าวร้าวอย่างชัดเจนก็ทำให้เซย์จิที่นั่งเอนหลังติดพนักเบาะอยู่ข้าง ๆ หลุดเสียงหัวเราะที่พยายามเอามือกลั้นปิดไว้ออกมา ส่วนฮินะนั้น…
“ฉันควรจะมีความรู้สึกยังไงดีล่ะคะเนี่ย… ฮะ ๆ …”
เรียกได้ว่าเสียงหัวเราะแห้ง ๆ นั้นก็สนับสนุนความคิดที่ว่าเธอวางตัวไม่ถูกกับความรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากความเรียบเฉยโดยฉับพลันตรงหน้า
ส่วนทางต้นเหตุนั้น… อากิโตะนั้นก็ยังคงเป็นอากิโตะ เขายังคงไม่มีการแสดงความเห็นทางอารมณ์ผ่านสีหน้า ก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงที่เรียบเฉยอย่างที่เคยเป็น
“มันก็แค่ความเห็นของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นน่ะนะ ถ้าเป็นคนปกติก็คงปัด ๆ ไปว่าทางนี้พูดแรงเกินไปแล้วก็ทำเป็นลืม ๆ มันไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เธอจะทำแบบนั้นด้วยก็ไม่ผิดอะไรน่ะนะ”
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะมีคำตอบเป็นของตัวเองค่ะ”
ฮินะที่เคยพูดอย่างสุภาพอ่อนโยนตอบกลับอากิโตะด้วยความหนักแน่นที่แฝงไปด้วยความตั้งมั่นที่เหมือนนกที่พยายามสยายปีกบินเมื่อกรงเหล็กที่เคยขังตนไว้ถูกเปิดออก
“ในตอนนั้นคุณเป็นคนบอกฉันเองนี่นะคะ ว่าให้หาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของฉันเองแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาเหนื่อยยากกว่ามาก แต่ฉันน่ะไม่อยาก ‘รู้สึก’ อะไรตามที่ถูกคนอื่น ‘บอก’ อีกแล้วค่ะ”
ใจความของคำตอบนั้นเชื่อมโยงกับเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วที่ตัวเธอนั้นยังจำได้เฉกเช่นว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานอย่างที่ไม่มีวี่แววที่จะลืมเลือน
แม้จะไม่สามารถเห็นสีหน้าและภาษากายของเธอได้ แต่ความแน่วแน่ที่เหลือล้นในเสียงก็สามารถส่งสารของความตั้งมั่นไปถึงผู้รับได้อย่างชัดเจนไร้ซึ่งการรบกวน
“ถ้างั้นก็พยายามเข้าแล้วกัน หวังว่าจะหาคำตอบที่เธอพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าเป็นของตัวเธอเองนะ”
“ฉันจะพยายามค่ะ!”
ฮินะขานตอบรับความห่วงใยที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ในเสียงตายด้านของอากิโตะอย่างแข็งขัน
ยังมีบริบทลึกลับซ่อนอยู่ในบทสนทนาระหว่างเขาและเธออีกมากมายที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง และเลือกที่จะละพวกมันไว้ภายใต้ความเข้าใจร่วมของพวกตน แล้วปล่อยให้บทสนทนาในเรื่องอื่นสำคัญกว่าดำเนินต่อไป