บทชีวิตใหม่ - ตอนที่ 7 กลุ่มเทียนถิง
บทที่ 7 กลุ่มเทียนถิง
บนคานของจักรยานเสือภูเขา ฉู่ถิงนั่งจนหน้าเกือบจะแนบชิดติดกับหน้าอกของถานเสี่ยวเทียน เพราะว่ากลัวว่าพวกอันธพาลน้อยจะไล่ตามมาเธอจึงต้องยอมซ้อนจักรยานกับเขาแบบนี้
แต่เธอก็กลัวว่าจะมีคนรู้จักมาเห็น เธอจึงพยายามมุดหน้าไว้กับหน้าอกของถานเสี่ยวเทียน
ขณะที่ขี่จักรยาน ถานเสี่ยวเทียนก็อธิบายเรื่องราวให้ฉู่ถิงฟังอย่างร่าเริง
“ฉันไม่ได้ต่อสู้กับพวกนั้นจริงๆ ฉันแค่คุยกับพวกนั้นด้วยเหตุและผล! เธอไม่รู้หรอกว่าคารมของฉันมันคมคายแค่ไหน ฉันพูดจนไอ้เจ้าพวกนั้นถึงกับร้องไห้และยอมรับความผิดพลาดของตัวเองออกมาเลยนะ”
ถานเสี่ยวเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเวลาที่เขาอยู่กับฉู่ถิงมันจะทำให้เขากลับไปเป็นเด็กม.ปลายจริงๆ ใช่! เวลาที่ได้อยู่กับเธอมันทำให้เขารู้สึกสบายใจไร้กังวลจริงๆ
คนสองคนกับจักรยานหนึ่งคันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ร้าน KFC ที่เปิดใหม่มีคนเข้าคิวจนแน่นยาวเหมือนกับหางของมังกร
สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่เคยได้เห็นโลกแล้ว อาหารจานด่วนจากต่างประเทศพวกนี้มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และน่าตื่นตาสำหรับพวกเขามากๆ
ถานเสี่ยวเทียนใช้ความพยายามอย่างมากในการเบียดแทรกฝูงชนไปด้านหน้า เขาสั่งอาหารโดยไม่มองไปที่เมนู “เอาเนื้อนุ่มห้าชิ้น ไก่ม้วนเม็กซิกันและเฟรนช์ฟรายส์อย่างล่ะครึ่งจาน ทาร์ตไข่ 12 ชิ้น กาแฟ 1 ถ้วยและชาจิ่วเจิ้นอีก 1 ถ้วย”
พนักงานทำหน้าราวกับมองคนโง่ จากนั้นเขาก็ตอบกลับมาอย่างสุภาพ “ขออภัยด้วยครับคุณลูกค้า KFC ของเรานั้นขายแต่เบอร์เกอร์เท่านั้นครับ เราไม่ได้ขาย’สิ่งที่คุณสั่ง’”
“…” ถานเสี่ยวเทียนหยิบเมนูขึ้นมาจ้องมองอย่างสงสัยและไม่นานก็เข้าใจ ในปี 1998 KFC ยังไม่มีเมนูที่เขาสั่ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกๆ คนจะมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ แบบนี้
“งั้นเอาน่องไก่ 1 นักเก็ตไก่ผู้พัน 5 ชิ้น เฟรนช์ฟรายส์จานใหญ่ กาแฟหนึ่งถ้วย โค้กหนึ่งแก้วใหญ่และเบอร์เกอร์” ถานเสี่ยวเทียนส่งเงิน 50 หยวนให้พนักงาน
ในปี 1998 ราคานี้ถือว่าแพงมาก น่องไก่ 6 หยวน นักเก็ตไก่ผู้พัน 4 หยวน เฟรนช์ฟรายส์ 4 หยวน โค้ก 2 หยวน…
ถานเสี่ยวเทียนมองไปรอบๆ ในร้านอาหารที่แออัดไปด้วยผู้คน ในที่สุดเขาก็มองเห็นฉู่ถิงที่แอบอยู่ในมุมใกล้ๆ ห้องน้ำ
“ทำไมถึงซื้อเยอะจัง เราสองคนจะกินหมดได้ยังไง?” ฉู่ถิงปิดปาก
“ไม่เยอะหรอก” ถานเสี่ยวเทียนใส่หลอดลงในแก้วโค้กแล้วยื่นให้ฉู่ถิงและช่วยเธอเปิดห่อนักเก็ต ฉีกซอสมะเขือเทศแล้วบีบใส่เฟรนช์ฟรายส์และไก่
ฉู่ถิงจ้องไปที่ถานเสี่ยวเทียนที่กำลังยุ่งอยู่กับการแกะซองอาหาร ดวงตาที่เคยอ่อนโยนของเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับดูแข็งแกร่งขึ้นมาก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรเพราะตอนนี้ความคิดของถานเสี่ยวเทียนนั้นเป็นคุณลุงในวัย 40 ปีไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และการที่เขาดูแลเด็กหญิงตัวเล็กๆ ด้วยการทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ถือเป็นอะไร แต่ในมุมมองของฉู่ถิงนั้นมันกลับมีความหมายอย่างมากและถือเป็นเรื่องพิเศษสำหรับเธอ
เด็กผู้ชายในวัยเดียวกันมักจะไม่ใส่ใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เด็กผู้หญิงมีความสุข
ดังนั้นฉู่ถิงจึงรู้สึกว่าถานเสี่ยวเทียนนั้นกำลังดูแลเธออยู่ เมื่อคิดอย่างนั้นหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้น
ทั้งสองกินอาหารกันเงียบๆ
การกินของฉู่ถิงนั้นดูเป็นผู้หญิงมากๆ เธอกัดแฮมเบอร์เกอร์คำเล็กๆ หยิบเฟรนช์ฟราย 1 ชิ้นขึ้นมากินและดื่มโค้กตามอีกเล็กน้อย
ส่วนการกินของถานเสี่ยวเทียนนั้นราวกับพายุ เขากัดเบอร์เกอร์หนึ่งคำใหญ่ตามด้วยการยัดเฟรนช์ฟรายและนักเก็ตเข้าไปจนเต็มปาก มีเพียงตอนที่เขาดื่มกาแฟเท่านั้นที่เขาจะค่อยๆ จิบคำเล็กๆ เพราะมันร้อนมาก มันร้อนเกินกว่าที่จะดื่มได้
ในที่สุดฉู่ถิงก็รวบรวมความกล้าได้สำเร็จ ตอนนี้ เวลานี้ใกล้จะสอบเข้าวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้เรื่องความรักนั้นยังไม่สามารถมีได้เพราะต้องเน้นสมาธิทั้งหมดไปที่การเรียนก่อน แต่เพื่อที่จะไม่ทำร้ายหัวใจของเสี่ยวเทียนมากเกินไป เธอจึงตัดสินใจแอบบอกใบ้ว่าหลังจากการสอบเข้าวิทยาลัยสิ้นสุดลงบางที…
สำหรับคำเหล่านี้ เธอลังเลอยู่กว่าหนึ่งวันและในที่สุดเธอก็พร้อมที่จะพูด
“ถานเสี่ยวเทียน นายคิดว่าในตอนนี้อะไรสำคัญสำหรับเราที่สุด?”
ถานเสี่ยวเทียนกำลังยัดน่องไก่น่องเข้าในปาก เขาตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้ “แน่นอนว่ามันต้องเป็นการสอบเข้าวิทยาลัยแน่อยู่แล้ว!”
“ใช่ เราต้องตั้งใจเรียน เรื่องนี้… บางทีหลังจากสอบเข้าวิทยาลัยได้แล้วเรา…” ฉู่ถิงก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับเสียงของเธอที่เริ่มเบาลง เธอกำลังหน้าแดง
ถานเสี่ยวเทียนพยายามกลืนอาหารคำสุดท้ายลงคอ “หัวหน้าห้องนี่คือเหตุผลที่ฉันตามหาเธอ ฉันว่าเราควรจะร่วมมือกันตั้งกลุ่มเรียนรู้ร่วมกันและก้าวหน้าไปด้วยกัน”
ฉู่ถิงก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่แดงก่ำของเธอยังไม่จางลงแถมยังแดงมากขึ้นมาเดิม เธอทั้งอายและโกรธที่เข้าใจผิดไปว่าถานเสี่ยวเทียนจะสารภาพรักกับเธอ
แต่ดูเหมือนว่าถานเสี่ยวเทียนจะไม่ได้สังเกตถึงความอายที่เธอมีและพูดต่อว่า “ฉันคิดชื่อกลุ่มของเราไว้แล้วด้วยนะ เราจะใช้ชื่อกลุ่มว่ากลุ่มเทียนถิง ตอนนี้กลุ่มเทียนถิงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วและหลังจากกินข้าวเสร็จเราจะไปที่ห้องสมุดกัน”
จากนั้นถานเสี่ยวเทียนเงยหน้าขึ้นและถามออกมาอย่างลึกลับว่า “หัวหน้าห้องเธอมีความฝันไหม? บอกได้ไหมว่าเธออยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน?”
เมื่อเห็นว่าถานเสี่ยวเทียนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเองฉู่ถิงก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเธอก็พยายามแกล้งทำเป็นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “วิทยาลัยครูเหยินชิง! ฉันอยากเป็นครูมาตลอด”
“นั่นไม่ดี!” ถานเสี่ยวเทียนส่ายหัว “ด้วยความสามารถของเธอเธอควรไปมหาวิทยาลัยที่ดีกว่านี้อย่างเช่น หยานต้า” (หยานต้าเป็นคำย่อของ มหาวิทยาลัยหยานซาน)
ฉู่ถิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี “นายจะบ้าเหรอ? หยานต้าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในสายศิลปศาสตร์ ฉันไม่กล้าคิดเกี่ยวกับมันหรอก”
“คิดได้สิ! ด้วยความช่วยเหลือของฉัน เธอจะทำได้แน่นอน”
แน่นอนว่าถานเสี่ยวเทียนไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเล่นๆ ด้วยคะแนนของฉู่ถิงในตอนนี้เธออยู่ห่างจากหยานต้าอยู่เพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นและด้วยบทความมากมายจากทั้งสองภาษาทั้งจีนและอังกฤษที่เขามีอยู่ในหัวในตอนนี้ เมื่อรวมกับความสามารถของเธอแล้วหยานต้าก็ไม่ใช่เพียงความฝันอย่างแน่นอน
แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่ถิงนั้นไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเขาเลย
“ถานเสี่ยวเทียน ถ้าอย่างนั้นนายบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าความฝันของนายคืออะไร?”
ถานเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างลึกลับและหยิบสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋านักเรียนของเขา เมื่อเปิดหน้าแรกออก ตัวอักษรขนาดใหญ่ 4 ตัวปรากฏขึ้นต่อหน้าฉู่ถิง
มหาวิทยาลัยตงไห่
มหาวิทยาลัยตงไห่?
ฉู่ถิงงงงวย
“ถานเสี่ยวเทียน นายรู้ไหมว่าจากวิทยาลัยกว่า 985 แห่ง มหาวิทยาลัยตงไห่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในมณฑลของเรา หากต้องการเข้าศึกษาที่นั่นนายจะต้องมีคะแนนอย่างน้อยก็ 600 คะแนนขึ้นไปและที่สำคัญคือมหาวิทยาลัยตงไห่นั้นเป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ แต่เราเป็นนักศึกษาศิลปศาสตร์ นายรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?”
ถานเสี่ยวเทียนตกตะลึง “ตงต้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรครอบคลุมไม่ใช่หรือ? พวกเขาจะไม่มีวิชาเอกสายศิลปศาสตร์เลยอย่างนั้นเหรอ?” (ตงต้า = มหาวิทยาลัยตงไห่)
“ใช่พวกเขามี แต่มันไม่ได้เป็นที่นิยม เพราะวิชาเอกในสายศิลปศาสตร์ของที่นั่นคือ’วิชาปรัชญา’ซึ่งมันหางานทำได้ยาก ทำไมนายไม่ไปสมัครมหาวิทยาลัยการกีฬาหรือสาขาวิชากีฬาในมหาวิทยาลัยธรรมดาแทนล่ะเพื่อที่ในอนาคตนายจะได้หางานทำได้ง่ายขึ้น” ฉู่ถิงแอบเกลี้ยกล่อมเขา
“ลืมมันไปก่อน เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้เราไปที่ห้องสมุดกันก่อนเถอะ วันนี้เป็นวันแรกของกลุ่มเทียนถิงของเรา เราจะต้องทำมันให้ดีที่สุด”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเทียนก็ขี่จักรยานพาฉู่ถิงไปที่ห้องสมุด… หลังจากที่พวกเขาจากไป หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็หยิบ Nokia 5110 ออกมา “ว่านหงๆ! เมื่อกี้นี้ฉันเจอลูกสาวของเธอที่ KFC กับเด็กชายร่างสูงหน้าตาดีออกไปด้วยกัน ถิงถิงใกล้จะสอบเข้ามหาลัยแล้ว ตอนนี้เธอยังไม่ควรมีความรักนะ เร็วเข้า!”