บทชีวิตใหม่ - ตอนที่ 5
บทที่ 5 ฉันมีเรื่องจะขอ
กลางดึกในอาคารสีเทาขาว 2 ชั้นในตรอกซิงฟู่ที่เขตตะวันตกของถนนซานเฉิง
ควันบุหรี่ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องเล็กๆ ในห้องผู้ชายหลายคนที่คาบบุหรี่อยู่ในปากกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนโต๊ะไพ่นกกระจอก
“ฉันพอก่อน”
“แกจะไปไหนก็ได้ แต่ต้องจ่ายมาก่อน!”
ในตอนท้ายของเกม บางคนไปดื่มน้ำ บางคนไปห้องน้ำและเกมก็ถูกหยุดไว้ก่อน
หลังจากรอมาทั้งคืนลำไส้หมูก็มีโอกาสได้พูด เขาชำเลืองมองชายร่างใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างระมัดระวัง “พี่เขย พี่ได้ยินผมไหม ตอนนี้ผมตกงาน พี่เขยช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ!”
ชายร่างใหญ่ดื่มชาร้อนแล้วคายก้านชาออกมาและพูดอย่างเหยียดหยาม “ได้ยินสิ! แกมันโง่ที่ปล่อยให้เด็กม.ปลายทำลายงานของแกได้ ฉันบอกให้แกเอาเด็กๆ ไปจัดการกับมันตั้งแต่ตอนแรก แต่แกกลับเลือกที่จะใช้แผนโง่ๆ ของแกแทน แล้วผลเป็นยังไง? นังผู้หญิงนั่นก็หนีไปแล้ว แถมแกยังติดหนี้ฉันอีกหลายหมื่นหยวน!”
ชายร่างใหญ่โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ เขาวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะไพ่นกกระจอกอย่างแรงจนลำไส้หมูตกใจ
“พี่เขยใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้ผมยังตกงานไม่ได้จริงๆ! พี่มีคนรู้จักมากมาย พี่ช่วยคิดหาวิธีช่วยผมหน่อยได้ไหม?!”
“ก็ได้ๆ หลังจากนี้ฉันจะไปคุยกับหัวหน้าของแกให้เอง” ชายร่างใหญ่โบกมือไล่อย่างไม่อดทน
ลำไส้หมูขอบคุณอย่างมีความสุข
******
วันรุ่งขึ้นเป็นวันศุกร์ หลังการเรียนด้วยตนเองสิ้นสุดลงในตอนเย็น ห้องเรียนของชั้นม.ปลายปีที่ 3 ก็ยังคงส่งเสียงดังออกมาเช่นเคย นักเรียนที่เหนื่อยมาทั้งวันออกจากห้องเรียนอย่างมีความสุขเหมือนกับนกที่หลุดออกจากกรง
ฉู่ถิงออกจากห้องช้ากว่าคนอื่นๆ ตามปกติของเธอ เมื่อเธอออกจากห้องเรียนมา ในทางเดินก็เหลือคนอยู่ไม่มากแล้ว
ทันทีที่เธอเดินเลี้ยวที่มุมบันไดบนชั้นสอง ร่างมืดก็กระโดดออกมา
“อย่าส่งเสียง นี่ฉันเอง” ชายคนนั้นยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว เขาสอดกระดาษโน้ตไว้ในมือของเธอแล้วหันหลังจากไป
“ถานเสี่ยวเทียน นาย… บ้าจริง!” หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น เธอเขย่ามือหลายครั้งก่อนที่จะเปิดกระดาษโน้ตดู
“พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนตอนเที่ยง ฉันจะชวนเธอไปกินข้าวและขออะไรเธออย่างหนึ่ง” ด้านในกระดาษโน้ตเขียนคำพูดเอาไว้
ฉู่ถิงจ้องมองกระดาษโน้ตอยู่นานและในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา “ตัวหนังสือกลับหัวไปมา แปลกจริงๆ”
เธอพับกระดาษโน้ตอย่างระมัดระวังและเก็บไว้ในหน้าหนังสือแล้วใส่หนังสือกลับเข้าไปในกระเป๋านักเรียนอย่างระวังและเดินออกไป หลังจากนั้นทั้งอาคารเรียนก็ว่างเปล่า
พรุ่งนี้จะจำได้อยู่ไหม…
ไดอารี่ที่คุณเขียนเมื่อวาน…
พรุ่งนี้ยังกังวลอยู่ไหม…
เธอที่เคยร้องไห้มากมาย…
…
ฉู่ถิงฮัมเดินเพลงออกจากโรงเรียนราวกับกำลังเต้นรำ ด้านนอกประตูโรงเรียนมัธยมแห่งแรกเมืองซานเฉิง รถซานทาน่าสีน้ำเงินเข้มจอดนิ่งโดยมีชายวัยกลางคนร่างสูงสง่างามที่มีดวงตาคล้ายกับฉู่ถิงยืนอยู่ข้างรถ เขาคือฉู่เฉียงพ่อของฉู่ถิง
เมื่อเห็นร่างของฉู่ถิง ฉู่เฉียงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ถิงถิง วันนี้ลูกออกมาช้ากว่าปกตินะ ลูกมีการบ้านเยอะอย่างงั้นเหรอ?”
ฉู่ถิงโกหกไม่เก่ง เธอกัดริมฝีปากแดงของเธอเบาๆ แล้วพึมพำคนเดียว
ฉู่เฉียงหยุดพูดและตั้งใจขับรถ
ในปี 1998 จำนวนครอบครัวที่สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้นั้นหาได้ยากมาก ส่วนตระกูลฉู่นั้นดีมากกว่าครอบครัวอื่นๆ ฉู่เฉียงคนนี้เป็นนักธุรกิจเขาประสบความสำเร็จกับการเปิดร้านอาหารระดับกลาง ส่วนแม่ของฉู่ถิงนั้นเป็นผู้จัดการระดับกลางของบริษัทซานเฉิงซีเคียวริตี้ ภายใต้การดูแลของทั้งสองทำให้ฉู่ถิงมีชีวิตอย่างอิสระราวกับเจ้าหญิง
ฉันทำได้แค่ทำให้เธอเชื่อฉัน…
คนที่เคยรักคุณ…
ฉันเอง…
ทิ้งเธอให้ห่างไกล…
ทิ้งความวุ่นวายของฝูงชนและ…
ฉันขอให้เลือกสักทาง…
คนรักนักร้องพเนจร…
…
ฉันให้ได้แค่ห้องใต้หลังคาเล็กๆ…
ห้องที่หน้าต่างหันไปทางทิศเหนือ…
ดูดาวกับคุณ…
ฉู่ถิงฮัมเพลงอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เธอเปิดหน้าต่างรถเป็นช่องเล็กๆ และปล่อยให้ลมกลางคืนพัดผมของเธอปริวสวัย ในตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยเนื้อหาในกระดาษโน๊ตแผ่นนั้น
พรุ่งนี้เขาจะขออะไรจากฉัน?
มันจะส่งผลต่อการเรียนไหม?
ฉันควรจะไปดีไหม?
ฉู่ถิงพึมพำอย่างสับสนเบาๆ อยู่คนเดียว แม้แต่ฉู่เฉียงก็ไม่ได้ยินเสียงของเธอ
“ถิงถิง ดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ในใจของลูกใช่ไหม?” เมื่อเห็นท่าทีที่ลุ่มหลงของลูกสาวของตน ฉู่เฉียงจึงตัดสินใจถามออกมาตรงๆ
วัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่ที่ผิดพลาดได้ง่ายที่สุด
“หือ? เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร…” ฉู่ถิงเขินอายจนก้มหน้าลง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการจะพูดออกมา
ฉู่เฉียงถอนหายใจ ลูกสาวของเขาโตแล้วและมีบางสิ่งที่เขาในฐานะพ่อถามออกไปไม่ได้
กลับถึงบ้าน หลังจากเข้านอน ฉู่เฉียงและหลินว่านหงภรรยาของเขาก็พูดคุยกันเกี่ยวกับลูกสาวของตน
หลินว่านหงตกใจ ดวงตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นมา “การสอบเข้าวิทยาลัยกำลังจะมาถึงอีกแค่สามเดือนนี้แล้ว ในเวลานี้เธอจะว่อกแว่กไม่ได้ ฉันจะต้องหาเวลาคุยเรื่องนี้กับเธอ”
“อย่ารุนแรงกับเธอมากเกินไปนะที่รัก ถิงถิงเป็นเด็กที่ภายนอกอ่อนโยน แต่ภายในของเธอนั้นแข็งแกร่ง เธอมีความภาคภูมิใจในตนเองสูงมาก อย่าพยายามอย่าปลุกความดื้อรั้นของเธอออกมานะที่รัก”
“อย่ากังวลเลยที่รัก! ฉันรู้เรื่องนี้ดี ดึกแล้ว เรานอนกันเถอะ!” หลินว่านหงเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟและห้องก็มืดลง
ตอนเที่ยงของวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม เมื่อเสียงระฆังหลังเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนมัธยมปลายทั้งหมดก็รีบวิ่งกันออกไปจากห้องเรียนทันที แม้แต่คนเหล็กก็ไม่สามารถทนต่อการเรียนที่เข้มข้นตลอดทั้งสัปดาห์แบบนี้ได้ ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือการพักผ่อน
“ไปดูบอลกันไหม? คืนนี้มีสองนัด ใครแพ้จ่ายค่าอาหารนะ” จางต้าเผิงคว้าตัวถานเสี่ยวเทียนที่กำลังจะออกจากห้องเรียน
“ไม่ ฉันไม่ว่าง”
“งั้นไปเล่นเกมกันไหม?”
“ไม่ ฉันไม่มีเวลา” ถานเสี่ยวเทียนยังคงตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก
“เสี่ยวเทียน สองสามวันที่ผ่านมานี้แกทำตัวแปลกๆ ไปนะ หม่าเหว่ยแกคิดเหมือนกันไหม?” จางต้าเผิงหันหน้าไปถามหม่าเหว่ย
หม่าเหว่ยจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าเห็นด้วยอย่างหนักแน่นและพูดสองคำออกมา “ขี้เก๊ก!”
ถานเสี่ยวเทียนจับมือของจางต้าเผิงอย่างเสน่ห์หาและใช้มืออีกข้างเสยผมแสร้งทำเป็นเก๊กหล่อ “อย่างนั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันหล่อขึ้นหรือยังล่ะ? ถ้าฉันหล่อขึ้น ความรู้และเกรดของฉันก็จะดีขึ้นตามไปด้วยนะ…”
“อี๋~ ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันขยะแขยง” จางต้าเผิงโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า
ถานเสี่ยวเทียนยิ้มและเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับสะพายกระเป๋านักเรียนไว้ข้างหลัง ก่อนจากไป เขามองแอบไปที่ฉู่ถิงอย่างลับๆ
หัวใจของฉู่ถิงเต้นแรง ตอนนี้เธอเองก็เพิ่งปฏิเสธคำเชิญของเพื่อนสาวของเธอไปเหมือนกัน เธอนั่งนิ่งจนกระทั่งไม่มีใครอยู่ในอาคารเรียนแล้วจึงลุกจากที่นั่งและออกจากโรงเรียนไปเพียงลำพัง
เมื่อเห็นว่าที่นอกประตูโรงเรียนไม่มีถานเสี่ยวเทียนรออยู่ มันก็ทำให้ฉู่ถิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เธอก้มหน้าลงและเดินช้าๆ ไปที่ป้ายรถเมล์
เอี๊ยดด!
ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาทางข้างหลังเธอ ถานเสี่ยวเทียนขี่จักรยานเสือภูเขาสีน้ำเงินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่ถิง เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มและมองมาที่ฉู่ถิงพร้อมกับปล่อยให้แสงของดวงอาทิตย์อาบไปทั่วร่างกายของเขา
“นายต้องการอะไร?” ฉู่ถิงก้มหน้าลง เสียงของเธอนั้นเบาเกินกว่าจะได้ยิน
“ไปหาอาหารเย็นกินกันเถอะ! มี KFC เปิดใหม่ในศูนย์การค้าประชาชน ฉันไม่เคยไปที่นั่นเลย เราไปลองดูกันเถอะ” ถานเสี่ยวเทียนยกจักรยานเสือภูเขาหันกลับด้าน “มาม้ะ ขึ้นรถพี่มา!”
“นาย… นายจะบ้าเหรอ? จักรยานของนายไม่มีแม้แต่เบาะหลัง แล้วฉันจะไปยังไง?” ฉู่ถิงหงุดหงิดเล็กน้อย
เขาจะให้ฉันนั่งในอ้อมแขนของเขางั้นเหรอ? นี่มันน่าอายเกินไป ถ้ามีคนมาเห็นเข้าแล้วฉันจะทำยังไง? ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีทางยอมแน่นอน
“โอ้..! ถ้าอย่างนั้นเราก็เดินไปกันเถอะ! ฉันรู้จักทางลัดด้วยนะ” ถานเสี่ยวเทียนเข็นจักรยานเดินเคียงข้างกับฉู่ถิงและเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ
ทั้งสองเงียบกันอยู่สักพักก่อนที่ถานเสี่ยวเทียนจะหาเรื่องพูดคุยได้ “หัวหน้าห้อง ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเลย! ถ้าเธอไม่ไปตามอาจารย์ใหญ่และอาจารย์เหรินมา ลำไส้หมูคงจะไม่ปล่อยฉันไปแน่นอน”
“ไม่หรอก ในวันนั้นการแสดงของนายดีมาก ถึงไม่มีฉันแต่ลำไส้หมูก็คงจะทำอะไรนายไม่ได้แน่นอน ดีแล้วที่นายไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงจะไม่ใช่อย่างในปัจจุบันนี้” ฉู่ถิงตอบอย่างจริงจัง
ทั้งสองเดินไปพูดคุยกันไปเกือบครึ่งทาง
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบและยุ่งเหยิงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสองคน
สีหน้าของถานเสี่ยวเทียนเปลี่ยนไป เขาเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของฉู่ถิงแล้วดึงเข้ามาหาตัวเอง
ฉู่ถิงที่ถูกดึงเข้ามาในอ้อมแขนของเขาก็ทั้งอายทั้งโกรธ เธอเงยหน้าขึ้นและกำลังจะอ้าปากตำหนิเขาและเห็นว่าการแสดงออกของถานเสี่ยวเทียนนั้นเปลี่ยนไป เขามองไปในระยะไกลและวางมือของเธอลงบนแฮนด์ของจักรยานเสือภูเขา “เธอขี่จักรยานของฉันไปก่อน ฉันจะตามเธอไปทีหลัง”
ด้านหลังของทั้งสองมีกลุ่มชายท่าทางน่ากลัวกำลังวิ่งเข้ามาไกล้เขาอย่างรวดเร็ว