[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 91 ตอนที่ 11 อารัมภบท
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 91 ตอนที่ 11 อารัมภบท
ตอนที่ 11 อารัมภบท
“ก่อนอื่น ให้ข้าได้อธิบายสถานการณ์อีกครั้ง”
“ขอความการุนาด้วยก่ะ”
เมื่อมารวมตัวกันที่ห้องโถงแล้ว พวกเราก็ขอให้คุณตาอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน
ฉันรู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ถ้าไม่รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหนก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง การที่คุณตาซึ่งน่าจะกำลังเตรียมการตามสถานที่ต่าง ๆ ต้องรีบเดินทางมาถึงที่คฤหาสน์แบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนมาก ๆ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ การแบ่งปันและจัดระเบียบข้อมูลของสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีความสำคัญมากกว่า การลงมือทำอะไรด้วยความรีบร้อนโดยไม่รู้อะไรเลยไม่ทำให้ได้เปรียบอะไรเลย
การที่พวกคุณกระโดดตามคุณตาขึ้นไปถึงห้องของฉัน เป็นเพราะพวกเขาเองก็ยังได้ยินข้อมูลรายละเอียดใด ๆ เลย ทุกคนรวมถึงฉันรอคำพูดของคุณตาอย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางลึกลับ หลังจากดื่มน้ำจากถ้วยที่คาลเมียร์เทให้จนชุ่มคอ ในที่สุดคุณตาก็เริ่มพูด
“พูดสั้น ๆ คือ มีการแบ่งฝ่ายภายในของกลุ่มต่อต้าน”
“ข้างใน แตกแยก………”
“อ้า หลานจำเหตุการณ์ในตลาดเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ดีใช่ไหม”
“อืม”
คุณตาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากปกติที่เหมือนสายลมอ่อนโยน ละเว้นการเกริ่นนำ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการสนทนาที่จำเป็นเท่านั้น นี่อาจเป็นใบหน้าของคุณตาในยามที่มีฐานะเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักรรูเนเรีย แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่มีเวลาเหลือแล้ว เพราะคุณตาไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้ให้ฉันเห็นมาก่อน
และคุณพ่อทวนคำพูดของคุณตาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างซึ่งแตกต่างจากที่ได้ยินมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตึงเครียด หรือมีอารมณ์ตาม เหตุการณ์นั้นยังคงติดแน่นอยู่ในความทรงจำของฉัน การถึงนึกทำให้เกือบหลุดเสียงคร่ำครวญจากความช็อก หลังชำเลืองสายตามองพวกเราเหมือนถามว่าเข้าใจความหมายหรือไม่ คุณตาก็พูดถึงความเชื่อมโยง
“แต่แรกแล้ว ในคดีนั้นเป็นผลลัพธ์จากการอาละวาดของกลุ่มหัวรุนแรงบางส่วนมากกว่าจะเป็นแผนหลักของกลุ่มต่อต้าน ……..เรื่องนี้คงรู้อยู่แล้วสินะ?”
“…….อืม”
คุณตาดูเข้าใจดีจึงถามยืนยันกับฉันแค่คนเดียว นึกภาพไม่ออกว่าคุณพ่อจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการสืนสวนหลังเหตุการณ์ ส่วนพวกเบลล์ซังเป็นคนของมาเรียน่าไอริสจึงไม่จำเป็นต้องถาม
ฉันไม่คิดว่านี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะถาม แต่ฉันก็เข้าใจว่าอาจจะมีเบื้องหลังที่ต้องพูดคุยและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเบลล์ซัง การจู่โจมที่ตลาดนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มีการวางแผนและดูก้าวร้าวเกินไป เมื่อพิจารณาถึงวิธีการที่กลุ่มต่อต้านใช้ที่ฉันได้รับรู้มาด้วยตัวเองในการประท้วงที่โรงเรียนเมื่อก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความคิดของคนเดียวกันแน่นอน ความอ่อนแอของฉันเป็นที่รู้กันทั่วไป แต่ฉันก็ยังสามารถโน้มน้าวด้วยคำพูดตอนนี้ได้อย่างราบรื่น
และความจริงนี่เกี่ยวโยงกันจากเรื่องที่ว่ามีความแตกแยกภายใน นั่นคือสิ่งที่หมายถึง
“ครั้งนี้ก็เหมือนกัน”
“…..ถูกต้อง ตามแหล่งข่าวของข้า ดูเหมือนว่าพวกกลุ่มหัวรุนแรงในคดีนั้นได้ก่อการรัฐประหารต่อต้านฝ่ายหลัก ข้าไม่รู้ควรพูดเช่นนี้ไหม…….ผู้ที่ไว้ใจได้ บรรดาผู้ต่อต้านที่ดำเนินการอย่างระมัดระวังต่างถูกกำจัดหรือถูกควบคุมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่พวกเขาที่ทำให้เกิดการจลาจลขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนสัญญาณควันจะถูกจุดขึ้นในบางพื้นที่อิทธิพลยังคงแข็งแกร่ง แต่ในไม่ช้าก็จะกระจายไปทั่วราชอาณาจักรอย่างแน่นอน”
แม้ว่าการจลาจลจำนวนมากจะเกิดขึ้นเอง แต่ก็เป็นไปได้ว่าการจลาจลจะเกิดขึ้นภายในกลุ่มต่อต้านก่อนหน้านั้นด้วย ถึงจะคาดคะเนได้ แต่ก็ยากที่จะเชื่อว่ามีการแบ่งแยกกันจริง ๆ อันที่จริง ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจนกระทั่งคุณตาบอกว่าเกิดขึ้นแล้ว
“เข้า จ๊ายแล้ว…….”
“จริง ๆ เลย ยากที่จะหาพวกเขาเจอ”
แน่นอน โดยไม่คำนึงถึงความดีและความชั่วแล้ว การจลาจลภายในก่อนการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เดิมพันชะตากรรมขององค์กรนั้นดูไม่สมเหตุสมผลเลย ถึงฉันจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการจัดการองค์กรเป็นพิเศษ แต่โดยทั่วไปฉันก็คิดว่าไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่ดี
…..คุณตาเหมือนจะสงบสติอารมณ์ได้ในขณะพูดจนกลับมาเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคย แต่คำพูดสุดท้ายดูเหมือนจะกำลังตกที่นั่งลำบาก ก่อนปล่อยให้พวกเราครุ่นคิดข้อมูลที่ได้และรอให้สงบลงสักครู่ การเอาใจใส่เช่นนี้ทำให้รุดหน้าได้ง่ายขึ้น สมกับเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง ไม่สิ บางทีอาจเป็นแค่ความใจดีของผู้อาวุโส
“เช่นนั้นท่านพ่อตา เมื่อคืนข้าได้ถามอริซบ้างแล้ว เท่าที่สามารถบอกได้ ดูเหมือนแผนการยังอยู่ในระหว่างขั้นเตรียมการ……..”
“…….เช่นนั้นรึน้อ”
ในที่สุดคุณพ่อที่ใช้ความคิดจนแน่นใจก็พูดขึ้นมา คุณตาก็ดูเหมือนจะยอมรับ
ถูกต้อง การเตรียมการของพวกเรายังไม่เสร็จสิ้น ฉันไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างงั้นเรื่องนี้ก็เร่งด่วนเกินไป ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนนับจากวันที่พวกเราจับมือทำงานร่วมกัน ฉันไม่รู้ว่าการกระทำของกลุ่มต่อต้านมุ่งเป้ามาทางนี้หรือเปล่า แต่พูดได้เลยว่าเป็นโจมตีทีเผลอใส่พวกเรา”นักปฏิวัติ”อย่างสมบูรณ์แบบ ฉันพูดได้เลยว่าพวกเขาชิงลงมือในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ยังไงก็ตาม
“เช่นนั้น ก็ไม่ทางเลือกอื่นนอกจากจะย้ายมาที่นี่ก่อนน้อ อย่างน้อยก็ก่อนที่「เพื่อนบ้าน」จะรู้ตัวและเริ่มเคลื่อนไหว”
“แต่ว่า………”
แต่ทว่า ใช่แล้ว ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเคลื่อนย้าย การรอดูสักระยะไม่ใช่ตัวเลือก ฉันคงต้องรีบส่งเสียงชูธงสตรีศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ตอนนี้ ….แต่นั่นคือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เรากำลังเผชิญอยู่ ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้น ฉันควรทำยังไงดี เมื่อมองไปรอบ ๆ คุณตาดูรู้สึกมีความยุ่งยากใจอย่างมากอยู่
“มีตัวเลือกที่ดีรองลงมาอยู่ มีอยู่ แต่…….”
คุณหันมาสบตากับฉันเพียงชั่วพริบตา ถัดมาคือคุณพ่อ ทางเลือกในสถานการณ์นี้และความหมายของแนวสายตา
――――เข้าใจแล้ว อันตราย จนยากที่จะพูด แต่ มีแต่ต้องทำเท่านั้น
“หนู จะไป”
“――――………อริซ”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ประหลาดใจและคร่ำครวญของคุณตา ฉันก็คิดว่าได้ให้คำตอบที่ถูกต้อง
ศูนย์กลางของราชอาณาจักร หรือก็คือเมืองหลวง แน่นอนว่าศูนย์กลางที่จะกำหนดแนวโน้มของการจลาจลหรือการปฏิวัติครั้งนี้ก็ย่อมต้องเป็นที่เมืองหลวงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีกบฎอยู่ อย่างดีที่สุดก็แค่สามารถทำให้บริเวณนั้นสงบลงได้ เช่นเดียวกับการอยู่แต่ภายในมาเรียนา และการดำเนินการขนาดใหญ่ที่นี่ที่เป็นศูนย์กลางกลางเส้นทางเดินทางที่สั้นที่สุดระหว่างราชอาณาจักรกับจักรวรรดิจะทำให้สถานการณ์ปัจจุบันถูกเปิดเผยต่อจักรวรรดิในระยะเวลาที่สั้นเป็นอย่างมาก หรือคือเป็นมาตรการที่แย่ยิ่งกว่าการไม่ทำอะไรเลย
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็เหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น พวกเราจะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงและทำให้การปฏิวัติประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ถึงความสำเร็จของการปฎิวัติโดยสตรีศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวิธีนี้การจลาจลในแต่ละภูมิภาคจะคลี่คลายลงด้วยตัวเอง มาเข้ายึดครองแล้วบังคับการจลาจลซึ่งจัดเตรียมและตั้งใจจะทำเป็นขั้นเป็นตอนให้เกิดขึ้นตอนนี้กันเลยดีกว่า แน่นอนว่าผลตอบแทนมหาศาลย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล หากเจอเหตุการณ์กบฏระหว่างทางไปเมืองหลวง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือค่อนข้างจะเป็นเก้าในสิบที่จะเกิดเรื่อง
ยังไรก็ตาม ตราบใดที่ฉันไปถึงเมืองหลวงได้ ฉันมั่นใจในความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะมีทั้งลาบริกซ์ซังและลูน่า เป็นฐานของพวกเราถัดจากมาเรียน่า และจะไม่ถูกครอบงำโดยอิทธิพลของกลุ่มต่อต้านโดยง่าย นอกจากนี้ ฉันยังสามารถคืนดีกับประชาชนทั่วไปบางส่วนในช่วงเวลาการประท้วงที่โรงเรียน ฉันจึงอยากจะเชื่อว่าจะไม่มีการจลาจลครั้งใหญ่ในเมืองหลวง
“โต้ซามะ”
“………พ่อแน่ใจว่าลูกรู้ว่าอันตรายอยู่แล้ว แต่ถึงจะพูดไปก็จะไม่หยุดถูกไหม?”
“อืม”
“ถ้าอย่างงั้น คำตอบของพ่อก็คงเดิม อริซ ครั้งนี้พ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเอง”
“……..อืม”
ความหมายในครั้งนี้ อาจจะเป็นคำพูดที่อยากพูดเมื่อครั้งฉันยังอายุราวสี่ขวบ ถึงฉันจะไม่สนใจ แต่คุณพ่อก็ยังเป็นห่วง แต่ถ้านั้นจะช่วยลบล้างความรู้สึกลึก ๆ ของคุณพ่อได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธความรู้สึกนั้น ที่ต้องทำมีเพียงแค่ขอบคุณและมอบคืนความรักให้ดีที่สุด ขณะแสร้งทำเป็นไม่สนใจคาลเมียร์ซังที่กำลังค่อย ๆ เช็ดแก้มของคุณพ่อที่ยืนหันหลัง ฉันก็มองย้อนกลับไปด้านหลัง เบลล์ซังกับมิร่าซังกำลังมองมาที่ฉัน
“เบลล์ มิร่า”
“ฮิเมะ”
“อริซซามะ”
พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป
ความรู้สึกนั้นแบ่งปันกันเพียงแค่แลกเปลี่ยนสายตาและเรียกชื่อของกันและกัน
“จ้า…….”
….ถ้าอย่างงั้นที่เหลือคือวิธีการทำงาน ดูเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกคนออกไปจากที่นี่กันหมด มีคนที่ต้องอยู่เฝ้าระวังทั่วมาเรียน่าและจับตามองใกล้ชายแดนไม่ให้มีข้อมูลรั่วไหลไปสู่จักรวรรดิ แน่นอนว่าทุกคนรู้ดี และคนที่เหมาะสมก็เข้าใจ แต่ว่าจากคำพูดก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีความคิดต้องการที่จะติดตามฉันไปด้วย ไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบเกิดขึ้นประมาณสิบนาที
“….ว่าแล้ว”
“ไม่ค่ะ ฮัททีเรียซามะ ถ้าเช่นไรได้โปรดปล่อยให้เป็นหน้าที่ดิฉัน…….ให้เป็นหน้าที่พวกดิฉันเถอะค่ะ”
และทันใดนั้น คาลเมียร์ซังก็เป็นผู้ขัดขวางคำพูดของคุณพ่อที่กำลังพูดออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวด ….ไม่สิ เป็นพวกคาลเมียร์ซังและผู้ติดตามตระกูลแฟร์มีลทุกคน พวกสาว ๆ ที่มักทำงานเงียบ ๆ ไม่เด่นสะดุดตา และให้ความรู้สึกไม่มีตัวตน ต่างก้าวออกมาข้างหน้าอย่างมีพลัง ยืนยันการดำรงอยู่ของตน และยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่เฉียบแหลม
“พวกเจ้า…..”
“แม่ม ดิฉันขอฝากความไว้วางใจเรื่องอริซซามะไว้ด้วยนะคะ อริซซามะคือ「ความหวัง」สำหรับพวกเรา เช่นเดียวกับฮัททีเรียซามะอละแม็กพ็อดซามะ เช่นเดียวกับมิแรนด้าซังและแม่มเช่นกันค่ะ”
เมดสาวที่มีผมสีเขียวพูดในนามของเธอจนถึงกับทำให้เบลล์ซังพูดไม่ออก ดูเหมือนคาลเมียร์ซังจะไม่ใช่คนเดียวที่เรียกเบลล์ซังว่าแม่มแบบนั้น แน่นอนว่าพวกเธอไม่ใช่แค่ข้ารับใช้ แต่ยังเป็นสมาชิกของมาเรียน่า・ไอริสเช่นกัน ตอนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานผ่านมาทั้งยามสุขและยามทุกข์ พวกเธอยืนอยู่ตรงนั้น รับมอบความรับผิดชอบ”บ้าน”หลังนี้ และผลักลงบนหลังของพวกเรา
มิร่าซังกับคาลเมียร์ซังเผชิญหน้ากันด้วยทัศนวิสัยที่ค่อย ๆ พร่ามัวจากความอ่อนโยนและความอบอุ่น
“ตะ แต่ว่าคาลเมียร์! เธอน่ะ……”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแน่ใจว่าลาบริกซ์ซามะ…….อืออึ คุณพ่อต้องเข้าใจ ต้องขอบคุณอริซซามะที่ช่วยพลักหลังข้าในวันนั้น ข้าได้ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองให้ได้รู้ และสามารถภาคภูมิใจได้ว่าตัวเองเป็นลูกสาวของคุณพ่อ หากข้าสามารถเป็นกำลังเล็ก ๆ ได้ด้วยการอยู่ปกป้องที่นี่ ครั้งนี้ข้าก็อยากเป็นคนที่ช่วยพลักอริซซามะกลับไปบ้าง ……….ขอบคุณนะ มิแรนด้า ข้าดีใจมากที่เธอได้เป็นอัศวินของอริซซามะ และได้เป็นเพื่อนคนแรกของเธอ”
“――――งี่เง่า อย่ามาพูดเหมือนคำอำลากันแบบนั้นสิยะ …..ข้าไม่ยอกให้เกิดโศกนาฏกรรมเลือดที่นี่หรอกนะ ทั้งฮิเมะและพวกข้าจะกลับมาอย่างมีชีวิตแน่นอน …….ข้าเองก็ขอบคุณเธอเหมือนกัน คาลเมียร์ ที่มาเป็นเพื่อนคนแรกของข้า”
…..ใช่แล้ว บางทีคาลเมียร์ซังอาจบอกกับลาบริกซ์ซังแล้วว่าจะไม่สามารถพบคุณพ่อได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็เลือกที่จะออกคำสั่งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่คาลเมียร์ซังเท่านั้น ทุกคนล้วนมีคนสำคัญ อ้า ฉัน ทุกคน ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตามฉันต้องแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จของการปฎิวัติ
“อ้า….. ไม่ไหว ๆ เป็นภาพที่ต่อมน้ำตาที่หย่อยยานของวัยชรายากจะต้านทาน”
ทุกคนยิ้มให้กับคุณตาที่พึมพำด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ความกลัดกลุ้มถูกกลืนหายไป และแทนที่ด้วยความกล้าหาญที่ล้นเหลือ ดวงตาอันทรงพลังของทุกคนผสานเข้าด้วยกันและพยักหน้าให้กัน แม้ในขณะที่ทำสิ่งนี้ สถานการณ์ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ทุกขณะ ในเมืองหลวงตอนนี้ลูน่า สเตลล่าซัง และลาบริกซ์ซังต่างกำลังดิ้นรนอยู่ ฉันเองก็ต้องรีบไป
“ต้องไป”
“อ้า …..ข้าขอฝากพวกเจ้าทุกคนด้วย”
“ค่ะ!”
“โปรดปล่อยให้เป็นหน้าที่ดิฉันเองค่ะ!”
พวกเราตอบสนองการให้กำลังใจของคาลเมียร์ซังที่อยู่ด้านหลังด้วยการยืนขึ้น พวกเราจะกลับมานั่งที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง
จากนั้นพวกเราก็ไปที่ประตูหน้า และในขณะเดียวกัน ประตูก็เปิดออก ฉัน ไม่สิ พวกเรารู้สึกประหลาดใจ
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ที่แผ่ออกไปทุกทิศทางนั่น――――
“…..โย้ว โจจัง”
“โฮ่ง!”
“โอโจซามะ”
“――――อาจารย์ อายาเมะ คลอริน่าซัง….. !?”
ไม่ใช่แค่――――หนึ่งหรือสอง――――หรือสามคน แต่ข้างหลังของพวกเขาคือผู้คนจำนวนมาก เหล่าประชาชนชาวมาเรียน่ายืนเรียงรายกันอยู่ ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นพวกเรา ก็ส่งเสียงดังออกมาทันที ชั่วขณะหนึ่งความคิดที่เลวร้ายที่สุดก็เข้าครอบงำ ไม่มีทาง หรือว่าพวกเขาจะก่อการจลาจลกัน ยังไงก็ตาม ความกังวลดังกล่าวจบลงด้วยการคิดไปเอง
“อริซซาม๊า~~!”
“ฮัททีเรียซามะ!”
“โปรดให้พวกเราได้ดูแลมาเรียน่าเองครับ!”
ทุกถ้อยคำปกคลุมไปด้วยความอบอุ่น
“ทำ ไม”
“ฮ่าๆๆๆ โจจัง แน่นอนอยู่แล้ว พวกข้าไม่ได้โง่หรอกนะ พวกเราเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันดี …..ตรงนั้น การมาถึงของชายชราที่ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เหมือนคนใหญ่คนโตที่จู่ ๆ ก็พุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ ถ้าคิดเรื่องของท่านลอร์ดกับโจจังที่ทำมาจนถึงตอนนี้ เป็นใครก็ต้องเข้าใจสิ่งที่โจจังพยายามจะทำ …….ยิ่งมีข่าวลือเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นห่วงประเทศและพยายามลงมือช่วยเหลือ หมายถึงโจจังใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๊ะ อะ……”
แน่นอนว่านั่นก็อยู่ในแผนการเช่นกัน การเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าวไปทั่วราชอาณาจักรล่วงหน้าเพื่อให้ผู้คนรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเรา ดูเหมือนว่าจะได้รับการยอมรับอย่างราบรื่นในช่วงเวลาของการปฎิวัติ แน่นอนว่าข่าวลือก็มาถึงที่นี่เช่นกัน แต่แบบนี้
“………..ฮะ ฮ่าๆๆๆๆ! บางทีข่าวลืออาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้”
“จี่ซามะ?”
“อริซ ฮัททีเรีย จงดูให้ดี ภาพที่พวกเจ้ากำลังเห็นอยู่นี่ คือ แสงสว่างที่พวกเจ้าได้ถักทอขึ้นมา และเป็นเป้าหมาย「ความสุข」ของพวกเราด้วย”
“……ทุกคน”
“อ้า……..”
หลากหลายเสียงที่ส่งมาถึงพวกเราไม่มีคำสาปแช่งหรือเยาะเย้ย ทุกคน ทุกคนสนับสนุนพวกเรา ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของที่นี่ ของบ้านเกิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้า แล้วมุ่งไปข้างหน้าซะ
วันนี้ฉันเสียน้ำตาไปเท่าไหร่แล้ว ฉันจับคู่หูไว้แน่นและซ่อนใบหน้าเปอะน้ำตา อาจารย์….แฮงค์ล็อตเต้ซังพูดย้อนถึงเรื่องในอดีตระหว่างมองมาที่ฉัน
“……..จวบจนถึงทุกวันนี้ พวกขุนนางต่อให้พวกข้าพยายามหรือกรีดร้องแค่ไหนก็มีแต่จะมองมาอย่างดูถูก หรืออย่างดีที่สุดก็มองมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่โจจังกับท่านลอร์ดต่างออกไป ท่านลอร์ดดูแลพวกเราเป็นอย่างดี และเมื่อเร็ว ๆ นี้โจจังก็ได้เยี่ยมบ้านข้าโดยตรงและฟังเรื่องของพวกเรา”
“ไม่ นั่น……..”
“ได้โปรดอย่างถ่อมตนไปเลย ท่านลอร์ด ทุกคนรู้สึกขอบคุณท่านมาก ๆ ……ดังนั้น โจจัง จำได้ไหม ถึงวันที่โจจังมาตลาดเป็นครั้งแรก”
“”ครั้งแรก อาจารย์……..”
แน่นอนว่าฉันจำวันนั้นได้ดี ความประทับใจในเหตุการณ์นั้นรุนแรงเรื่องอื่น ๆ ในวันนั้นค่อย ๆ จางหายไป แต่ก็ยังเป็นวันที่ฉันได้สัมผัสกับโลกเป็นครั้งแรก เป็นอะไรที่สนุก เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ ฉันจำได้แม่นขนาดนั้น แต่ทว่านั่นดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่แฮงค์ล็อตเต้ซังต้องการจะสื่อถึง มีอะไรอยู่อีก ฉันย้อนความทรงจำในวันนั้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงความทรงบางอย่าง――――
“…..อะ”
“จำได้แล้วใช่ไหม ในตอนนั้นข้าได้โค้งคำนับให้ท่านขุนนางผู้มาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วโจจังก็ก้าวมาข้างหน้าและขอบคุณต่อหน้าพวกเรา ไม่ใช่การโค้งคำนับแบบส่ง ๆ แต่เป็นการย่อเขาโค้งคำนับอย่างจริงใจ เป็นครั้งแรกสำหรับข้าเลย โจจัง……….”
…..จำได้แล้ว วันนั้นฉันก็ทำอะไรแบบนั้นกับพวกเขาไปจริง ๆ ด้วยความรีบร้อนที่เห็นทุกคนโค้งคำนับตาม ๆ กันอย่างต่อเนื่องแล้วถอยกลับไป และมิร่าซังที่ปกติจะเป็นคนพูดแทนฉันก็นิ่งงัน แต่ถึงอย่างงั้นฉันแน่ใจว่าพวกเขาไม่ยอมเงยหน้าขึ้น
คลอริน่าซังรับช่วงต่อแทนแฮงค์ล็อตเต้ซังที่เริ่มมีน้ำตาคลอ
“――――และกล่าว「ขอบคุณ」 มอบคำพูดที่น่าเกรงขามเสียกระไร ทั้งยังกล่าวว่าที่มีชีวิตอยู่ได้ต้องขอบคุณพวกเรา”
“……ฟุๆๆๆ อริซซามะไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันเก่า ๆ เลยนะคะ”
“ใช่ค่ะ น็อกซ์เบลซัง นั่นคือเหตุผลที่พวกเราหลงใหลในเสน่ห์ และหลังจากนั้นที่น็อกซ์เบลซังปกป้องโอโจซามะจากการถูกโจมตีด้วยลูกธนูอันบ้าคลั่ง โอโจซามะที่พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือน็อกซ์เบลซังที่ล้มไปจมกองเลือด ………ในโลกที่ความรักได้จางหายไปแสงสีเงินอันล้ำค่านี้ เป็นดังเช่นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราค่ะ”
ฟุฟุน มิแรนด้าซังยืดอกแสดงความภูมิใจอยู่ข้าง ๆ ฉันรู้สึกไม่คู่ควรกับรอยยิ้มที่มอบให้นั่น แต่เมื่อหันหนีไปทางอื่น คุณพ่อ คุณตา และคาลเมียร์ซังต่างก็ยิ้มให้ฉันเหมือนกัน ฉันที่สูญเสียเส้นทางหลบหนีจึงกดแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเนื่องจากความร้อนลงกัยคู่หูแน่น ก่อนที่อาการจะหายไปเมื่อมือของเบลล์ซังลูบผมของฉันเบา ๆ
“เพราะแบบนั้น ให้พวกเราได้คืนคำพูดนั้นในตอนนี้ด้วยเถอะ”
“……..อืม”
“――――ขอบคุณนะ โจจัง”
“ขอบพระคุณมากค่ะ โอโจซามะ”
“ขอบคุณ~~!”
“พวกเรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ครับ/ค่ะ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์~~!”
…..ฉันหัวเราะ
ทุกคนต่างก็หัวเราะ
“สิ่งที่พวกเราทำได้มีน้อยนิด แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้”
“อ้า ใช่แล้ว โจจัง พาอายาเมะไปด้วยสิ อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ ในเวลานั้นเด็กนี้จะปกป้องโจจังด้วยชีวิตอย่างแน่นอน”
“โฮ่ง”
ฉันมองขึ้นไปหาคุณพ่อ ขณะอายาเมะส่ายหางเข้ามาถูไถแก้มกับฉัน ได้โปรด ได้โปรด บางทีคงเพราะถูกรบเร้าด้วยสายตา คุณพ่อจึงพยักหน้าทั้งที่ฝืนยิ้มอยู่
“เอ๊ะเฮะๆๆๆ ทำได้แล้วน๊า อายาเมะ”
“โฮ่ง”
กำลังเสริมที่ไม่คาดคิด พันธมิตรที่เชื่อถือได้ หากมีอายาเมะที่ตัวกำลังจะสูงเกินตัวฉันอยู่ด้วย แม้จะถูกโจมตีแต่อีกฝ่ายก็คงต้องลังเลไม่น้อย เพราะยังไงซะ หมาป่าสีทองก็เป็นสัตว์ร้ายในตำนานที่โดยปกติแล้วจะค่อนข้างน่ากลัว มีแค่ฉันกับอายาเมะเท่านั้นที่แตกต่างออกไป บทพิสูจน์คือ ชายหนุ่มหลายคนที่อยู่ด้านหลังแฮงค์ล็อตเต้ซังแสดงท่าทีหลาดกลัวออกมาเล็กน้อย
“……เอาล่ะ โจจัง ดูเหมือนเวลาจะไม่ค่อยมีแล้วสินะ”
“…..อืม”
“ยังไงก็ได้โปรดกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยน่ะ”
“ดิฉันก็ขออธิษฐานจากก้นบึ้งของหัวใจค่ะ”
“อืม ทุกคน สัญญา!”
“อ้า สัญญา”
แฮงล็อตเต้ซังที่ยิ้มก็หัวเราะทันทีก่อนหันกลับไปมองทุกคน เฮ้ เปิดทางเร็วเข้า เขาตะโกนเพื่อเปิดทาง
ก่อนหน้าที่จะออกเดิน
“เบลล์”
“ค่ะ อริซซามะ”
“จับ มือ”
“แน่นอนค่ะ”
“มิร่าด้วย”
“ค่ะ ฮิเมะ”
ระหว่างที่หลายคนยืนมองส่ง ฉันก็ออกเดินผ่านคฤหาสน์ ฉันรู้สึกกังวล แต่ไม่รู้สึกกลัว
ทุกคนกำลังมองดูอยู่
“ไปดีมาดีนะครับ/ค่ะ!”
“ไปดีมาดีนะ โจจัง!”
“ขอองค์เนยูมุร์อวยพรให้แก่ทุกท่านค่ะ”
สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและทำงานหนักทุกวัน…..ถึงกระนั้น พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวังทั้งในปัจจุบันและอนาคต ยังคงหัวเราะ ฉันฝันถึงความสุขที่จะมาถึงในสักวันหนึ่ง
และมันเป็นภาพที่คุ้นเคยจากที่ไหนสักแห่ง――――