[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 89 ตอนที่ 9 ไก่ฟ้าในทุ่งที่ถูกไฟไหม้ นกกระเรียนยามค่ำคืน
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 89 ตอนที่ 9 ไก่ฟ้าในทุ่งที่ถูกไฟไหม้ นกกระเรียนยามค่ำคืน
ตอนที่ 9 ไก่ฟ้าในทุ่งที่ถูกไฟไหม้ นกกระเรียนยามค่ำคืน
(สุภาษิต พ่อแม่ที่ยอมเสี่ยงชีวิตหรือร่างกายเพื่อลูกได้)
“เตรียมเครื่องดื่ม ……..สำหรับทุกคน”
“รับทราบแล้วค่ะ”
หลังจากนั้นคุณพ่อที่สงบใจลงได้ก็รู้สึกถึงพวกเบลล์ซังที่หน้าประตู และในอีกไม่นานก็จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เพราะแบบนั้นเลยทำให้ฉันเผชิญหน้ากับคุณพ่อในห้องโถง เบลล์ซังกับมิร่าซังอยู่เคียงข้างฉัน คาลเมียร์กับเมดที่เหลืออยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะกับคุณพ่อ
ทุกคนยกเว้นคุณพ่อกับฉันต่างก็เป็นสมาชิกของมาเรียน่า・ไอริส ฉันแน่ใจว่าคาลเมียร์ซังกับเมดคนอื่น ๆ ต้องได้ยินเกี่ยวกับแผนการในตอนนี้มาแล้ว ถึงไม่ได้มั่นใจทั้งหมด แต่ทุกคนเป็นสมาชิกหลักขององค์กรเดียวกัน คิดว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะไม่บอกอะไรกันเลย และถ้ายังไม่ได้บอกจริง ๆ ก็คงไม่แตกต่างกัน เพราะคงได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับคุณพ่อก่อนหน้านี้ไปแล้ว
….แม้จะพูดแบบนั้น แค่เพราะเรื่องถูกถ่ายทอดไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะจบเรื่องโดยไม่พูดอะไรอีก ยังไงก็ตามฉันวางแผนเอาไว้ว่าจะทำการคุยต่อหน้าทีละคนหลังจากที่คุยกับคุณพ่อเสร็จ ยังไงก็ตามผลลัพท์ออกมาเป็นแบบนี้ก็อาจจะเป็นผลดีสำหรับฉันก็ที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนพร้อมกันทีเดียว อาการแน่นหน้าอกจนเจ็บขนาดนี้ ฉันคงไม่สามารถทนได้หลายครั้ง
“ขออภัยที่ทำให้รอค่ะ”
“ขอบคุณ”
ถ้วยเก้าใบถูกวางเรียงอย่างเงียบ ๆ ฉันยังไไม่ทันได้พูดอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกกระหายน้ำ ฉันบอกขอบคุณคาลเมียร์ซังที่ยื่นถ้วยมาให้ก่อนที่จะดื่มจนหมดในทันที หลังวางถ้วยลง เหยือก็เอียงมาตรงก่อนเทน้ำลงจนเต็มถ้วยอีกครั้ง และหลังจากทำซ้ำอยู่สองรอบ ฉันก็ยอมรับว่าตัวเองสงบลงแล้ว ในที่สุดคาลเมียร์ซังก็วางเหยือกลง และกลับไปยืนที่ด้านหลังของคุณพ่อ
“ซ้า”
คุณพ่อบอกให้ตั้งสติให้ดี ฉันจึงหลับตาและพยายามทำให้จิตใจสงบ
….ทำไมกันนะ ไม่สิ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เติบโตที่โรงเรียน พูดคุยกับคลอริน่าซัง และพบแสงสว่างเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาความหิวโหยจากฟาร์ม จนถึงตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ควรจะเป็นไปด้วยดีเช่นนั้น ถึงอย่างนั้นตอนนี้ฉันก็รู้สึกกลัวที่จะคุยกับคุณพ่อ ถึงฉันจะรู้ดีว่าต้องคุย หรือบางทีการที่ฉันคุยกับคลอริน่าซัง ไปเยี่ยมที่ฟาร์ม อาจจะเป็นการพยายามหนีจากความจริงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าคิดอย่างใจเย็นแล้วก็ควรต้องคุยกับคุณพ่อก่อน แต่ฉันกลับให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า แน่นอนว่าทุกเรื่องก็สำคัญเหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาตามลำดับแล้วก็เหมือนกับกำลังวิ่งหนีโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงทันทีที่ฉันกลับมาจากฟาร์ม ทันใดนั้นฉันรู้สึกหดหู่อย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งคิดถึงเรื่องก่อนหน้ามากเท่าไร ฉันก็ไม่สามารถแก้ตัวในใจได้เท่านั้น ฉันไม่สามารถการคร่ำครวญได้
ข้อพิสูจน์คือสิ่งที่ถูกพรากไปในฝันร้ายอันมืดมิดทุกคืน ………มองย้อนกลับไปแล้ว แม้แต่เบลล์ซังฉันก็ยังทำตัวไม่ดีใส่ เรื่องนั้นไม่ดี
“อื……เอาล่ะ”
ซู๊ด ฉันหายใจเข้าลึก ๆ และมุ่งจิตวิญญาณไปข้างหน้าให้มากที่สุด ฉันไม่สามารถทนจากอาการเจ็บหน้าอกได้นาน แต่ยังไงก็ยังดีกว่าเมื่อก่อน ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถพูดได้ดีขึ้น
คุณพ่อจ้องมาที่ฉันราวกับเลือกเวลาได้อย่างถูกต้อง ฉันเองก็จ้องกลับไปที่คุณพ่อ
“ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม อริซ”
“อืม”
ด้วยสัญญาณที่ทุกคนแสดงออกว่าพร้อมรับฟังแล้ว ฉันก็เริ่มพูด
ทำไมฉันถึงปรารถนาที่จะปฏิวัติ? จะไปถึงเป้าหมายนั่นได้ยังไง …..และเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
“เริ่มต้นที่ เหตุการณ์ที่ตลาด ก่ะ”
“…..เบลล์สินะ”
“…..อืม หนูไม่ต้องการเห็นอีกรอบ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเห็นใครเจ็บอีกแล้ว”
ฉันไม่ต้องการที่จะลิ้มรสความสิ้นหวังจากโลกที่พังทลายอย่างกะทันหันเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
….เรียนรู้จากประสบการณ์อันขมขื่น เมื่อเคยเจ็บมาแล้วก็สามารถเจ็บได้อีก
―――― ฉันถูกจ้องมองอย่างเงียบ ๆ
“จริง ๆ แล้ว หนูไม่อยากออกไปไหนอีกเลย อยากอยู่ในห้องกับเบลล์ กับท่านพ่อไปทั้ง ๆ แบบนี้”
“……อริซ”
“แต่”
หลายต่อหลายครั้งที่ต้องกดความรู้สึกหลอกลวงที่พรั่งพรูเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อสำรวจรากเหง้า เวทมนตร์ของตัวเอง ทั้งไปโรงเรียน ไปรู้จักโลก ด้วยคำพูดนั้น ฉันหันสายตาสู่โลกภายนอกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทว่า รากเหง้านั้นกลับเป็นความฝันที่แตกหน่องดงามอยู่ในตัวฉัน ฉันต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันกับพวกเบลล์ซังตลอดไป …..สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องเกินคาด แต่ด้วยความปรารถนาเหล่านั้นของฉันจึงเป็นเหตุผลที่ฉันสามารถกระโดดพาตัวเองออกจากห้องได้
“ถึงมองไม่เห็น เวลากำลังหมุน”
ใช่ เวลากำลังผ่านไป ต่อให้ฉันพยายามเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและยึดติดกับชีวิตประจำวันในตอนนี้มากแค่ไหน ผู้คนกำลังเดินอยู่ ……และในไม่ช้าจุดจบจะมาถึง ตราบใดที่ฉันยังคงเป็นฉัน ยังไงก็ไม่มีทางที่จะหนีพ้น
และไม่ใช่เพียงเพราะเกิดมาเป็นขุนนางจึงทำ แต่เพราะ ฉันคือ……..ฉัน
“――――ไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะมีทุกคนอยู่ห้อมล้อม แต่ถ้าหนูเป็นคนเดียวที่มีความสุข ……ไม่สามารถทำได้”
หากความไม่รู้เป็นบาป ถ้าอย่างนั้นการรู้ก็เป็นการลงโทษรึเปล่านะ หรือถ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย แล้วใช้ความบอบช้ำจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นข้ออ้างในการยอมรับวันที่ผ่อนคลาย เกียจคร้าน และเงียบสงบแต่โดยดี …….แต่ใช่ ฉันรู้ ทั้งโลก ทั้งเรื่องของผู้คนทั่วไป ที่ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังกันทุกคน ฉันไม่สามารถพลักเรื่องพวกนั้นออกไปได้อีกแล้ว
“เพราะแบบนั้น”
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเวทมนตร์ของฉันสามารถย้อนเวลาของโลกได้ ….แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากหรือไร้เหตุผล ยังไงก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้จะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าหากฉันไม่ทำ ฉันไม่ต้องการลืมความทรงจำที่สร้างมา ไม่ต้องงการลืมผู้คนที่ฉันได้เจอบนถนนที่เดินมาแสนไกลนี้
“…….เพราะแบบนั้น”
…….แน่นอนว่าฉันยังลังเล เมื่อได้สัมผัสโลกภายนอก ฉันจึงตัดสินใจปฎิวัติ ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังเป็นแค่เด็ก ฉันเป็นเด็กที่มีบ้านให้กลับ ได้สัมผัสความอบอุ่นในครอบครัว มีตุ๊กตาสัตว์ให้กอด และร้องโวยวายอยากอยู่บ้านตลอดไป ใช้ชีวิตต่อไปทั้งแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ฉันกำลังลังเลให้กับตัวตนที่อ่อนแอเช่นนั้น
“อยู่ นี่”
แต่ ใช่แล้ว เพราะเป็นสถานที่ที่อบอุ่นเช่นนั้น ฉันจึงควรก้าวออกจากประตู เพราะอยากหัวเราะกับทุกคนตลอดไป
……..การมีคนรับฟังเรื่องราว ทำให้รู้สึกสบายใจเช่นนั้นหรือ
อาการหายใจไม่ออกหายไป อาการแน่นจนเจ็บหน้าอกกลายเป็นความมุ่งมั่น
――――โม๊ว ฉันต้องเดินหน้าต่อไป ทิ้งห้องเล็กไว้ห่าง ๆ แล้วก้าวเดินออกจากประตูไป
“อริซซามะ”
“ฮิเมะ”
ทันทีที่ฉันหันหลังกลับไป เบลล์ซังและมิร่าซังก็ยิ้มราวกับว่าพวกเธอโล่งใจ
ทันใดนั้น ฉันก็นึกถึงวันที่ได้พบกับมิร่าซังเป็นครั้งแรก ……พูดไปแล้ว ตอนนั้นเองก็เหมือนกัน
“ฟุๆๆๆๆ…..”
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดในสิ่งเดียวกันกับที่พูดในตอนที่กำลังเล่นไพ่ทาโรต์จูวี่ แต่ฉันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับราชอาณาจักรแบบในตอนนี้ ……..อ้า บางทีตัวตนของบรรยากาศแปลก ๆ ในตอนนั้น คือเรื่องนี้เองสินะ นั่นคือทุกคนอาจไม่ได้เข้าใจผิดมาแต่แรก
ยังไงก็ตามเป็นเรื่องแปลกที่เกมแรกที่ฉันได้เล่นก็คือ”โชคชะตา(ดิสแทนซ์)” เห็นได้ชัดฉันได้คาดการณ์โชคชะตาของฉันไว้ตั้งแต่ตอนที่เล่นแล้ว ถ้าโตขึ้นอีกสักหน่อยน่าจะลองไปเป็นหมอดูดูสักครั้ง
ดูเหมือนฉันจะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างแล้ว ถึงคิดเรื่องไร้สาระได้ขนาดนี้ ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาของคุณพ่อ คาลเมียร์ และทุกคนจ้องมาที่ฉันอย่างจริงจัง ฉันพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ได้ตัวตนกลับคืนมา
” ――――「ปะติวัด」ให้มีความสุขไปด้วยกัน……. !”
อึก
ฉันได้แต่รอคำตอบของคุณพ่อที่หลับตาลงและหายใจเข้าลึก ๆ อย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะสลัดความลังเลออกไป สิ่งที่น่ากลัวก็ยังคงน่ากลัว
โอ้ ผ่านไปกี่วินาทีแล้วกัน ความตึงเครียดที่แทบจะทำให้สติขาดสะบั้น ฉันสงสัยจริง ๆ ว่ามีคำพูดกี่คำที่คุณพ่อกำลังคิดอยู่ในช่วงเวลาที่เหมือนตลอดกาลตอนนี้
แล้วสิ่งที่เปล่งออกมา คือเสียงหัวเราะเบา ๆ
“….อริซ”
“อืม”
“พยายามได้ดีแล้ว”
“……อืม”
ฉันแน่ใจว่ายังมีคำพูดเอาใจใส่และปลอบใจที่อยากพูดอีกหลายคำที่ถูกกลืนลงไป คุณพ่อดูกระวนกระวายที่มือเอื้อมมาไม่ถึงหัวของฉัน เพราะมีโต๊ะขวางอยู่ จึงกุมมืออีกครั้ง และเลี่ยงการสบตาในทันทีราวกับว่ากำลังมีปัญหา ฉันสงสัยจังว่าเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ลังเลที่จะพูด
ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันพร้อมที่จะยอมรับทุกอย่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันสื่อสารความคิดดังกล่าวผ่านสายตาที่คอยจ้องมอง ในที่สุดคุณพ่อก็เริ่มพูด
“พ่อเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดหรอกนะ”
“…..ปะติวัด?”
“อ้า ถ้าให้ถูกคงเป็นบางอย่างใกล้เคียงกันมากกว่า เป็นการปฎิรูประบบน่ะ”
ดูจากวิธีการพูดแล้ว คุณพ่อเองก็ดูเหมือนจะมีความคิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนที่เบลล์ซังเคยพูดเอาไว้จะไม่ผิดไป และถ้อยคำได้เชื่อมต่อ สิ่งที่ถามผ่านสายตา และสิ่งที่อริซรู้อยู่แล้วในตอนนี้ ฉันพยักหน้าหนึ่งครั้งเห็นด้วย
………อย่างที่คุณพ่อบอก ไม่มีเวลานั้นอีกแล้ว หากเป็นการปฏิรูประบบในลักษณะที่ผ่อนคลาย รูปแบบจะเป็นกระแสของการยื่นข้อเสนอและการอภิปรายกันหลายครั้ง แต่ยากที่จะเชื่อว่าราชาและขุนนางส่วนกลางจะต่อสู้อย่างยุติธรรม ถ้าทำได้สถานการณ์ต่าง ๆ คงไม่มาไกลขนาดนี้ตั้งแต่แรก แต่ก็เป็นเหมือนเรื่องตลกที่สุดท้ายทำให้รู้ว่าใครเป็นศัตรูบ้าง ยังไงก็ตามก็อาจเป็นไปได้ที่จะจัดการรวบรวมเหล่าผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามาจนดำเนินการจนไปถึงจุดที่ทำให้มีการอภิปายได้ ก่อนหน้านั้นก็จะเกิดการประท้วงขึ้น แต่ทว่าขณะที่ทำเช่นนั้น ความโกรธของประชาชนก็มาถึงขีดสุด เหล่าผู้ต่อต้านจำนวนมากลุกฮือขึ้นมาก่อจลาจลพร้อมกัน
“แต่มีเหตุผลใหญ่นอกเหนือจากที่อยากทำให้สำเร็จ……….เป็นเหตุผลทางความรู้สึก”
“ทางอารมณ์?”
“…..อ้า ――――ดั้งเดิมแล้วพ่อไม่ใช่「แฟร์มีล」จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้”
เอ๊ะ แล้วฉันก็ต้องตกใจที่ความทรงจำของคุณแม่ไกลทะลักเข้ามาอย่างไม่อาจควบคุม
……..อ้า งั้นเหรอ คุณพ่อได้รับนามแฟร์มีลมา เพราะได้รับแต่งตั้งยศศักดิ์”ฟอน”
เข้าใจแล้ว เหตุผลทางความรู้สึกสินะ ข้อผูกมัดที่ทำให้ไม่กล้าพูด เพราะลึก ๆ ก็รู้สึกขอบคุณอยู่เช่นกัน
“ทั้งตำแหน่งขุนนางและลอร์ดของมาเรียน่า ทั้งนามแฟร์มีล ล้วนเป็นรางวัลที่ได้รับพระราชทานมาสำหรับความสำเร็จในสงครามกับจักรวรรดิครั้งก่อน ……ก่อนหน้านั้น พ่อเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ต่อสู้ได้เก่งแค่นิดหน่อย”
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ก็ผุดขึ้นมา ไม่สิ “จำได้”ต่างหาก นั่นคือช่วงเวลาที่ได้พบกับคุณแม่ ในเมืองที่ถูกทอดทิ้งที่เรียกได้ว่าเป็นสลัม คุณพ่อได้หมดสติอยู่ที่หน้าบาร์ที่คุณแม่ซึ่งหนีออกจากบ้านมากำลังทำงานอยู่ นั่นคือจุดเริ่มต้น ในที่สุดลาบริกซ์ซังก็เข้าร่วมวง จากนั้นสงครามก็เกิดขึ้น จนพลัดพรากจากกัน ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นอย่างปัจจุบัน ………เบลล์ซังก็ถูกพ่อแม่รับมาในช่วงนี้ เพราะฉันจำเรื่องในช่วงเวลานี้ได้
ยังไงก็ตามฉันมั่นใจว่าคุณพ่อพูดหมายถึง ถ้าไม่ได้รับตำแหน่งขุนนาง ก็จะไม่มีทางได้ฐานะแฟร์มีล
“――――หากไม่แล้วอริซอาจไม่ได้เกิดมา”
……..ใช่ อัตราการตายของทารกนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ราชอาณาจักร ไม่สิพูดให้ถูก โลกนี้ต่อให้มีเทคโนโลยีและระบบทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าก็เหมือนกับชาติก่อน คนที่จะได้รับประโยชน์เกือบทั้งหมดก็มีเพียงชนชั้นปกครองที่มีความสามารถในการจัดเตรียมได้เท่านั้น ดังนั้นการคลอดลูกจึงมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอยู่เสมอ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งขุนนาง คุณแม่เองก็เสียชีวิตเหมือนกัน ถ้าคุณพ่อยังเป็นเด็กกำพร้า ก็ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ที่จะคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นไปได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากคุณตา แต่คราวนี้ก็จะเป็นคุณพ่อที่ตกอยู่ในอันตรายแทน แม้ว่าคุณตาจะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักรก็ตาม แต่การได้รู้ว่าลูกสาวผูกสัมพันธ์กับชายจากสลัมจนมีลูกด้วยกัน ฉันสามารถจินตนาการต่อจากนั้นได้อย่างง่ายดายว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่แค่ไหน แน่นอนว่าคุณตาต้องยอมช่วยอย่างแน่นอน แต่อย่างที่คุณตาเคยพูดเอาไว้ หน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักรไม่ใช่หินผา คุณพ่อจะกลายเป็นเป้าหมายชั้นดี กลายเป็นจุดอ่อนให้กับฝ่ายที่เป็นศัตรูกับคุณตา เหมือนกับที่ฉันถามเบลล์ซังเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของคลอริน่าซัง โลกใบนี้มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการมีอยู่ของเด็กกำพร้า
ดังนั้น ถ้าคุณพ่อไม่ได้กลายเป็นแฟร์มีล ฉันก็อาจไม่ได้มาอยู่ที่นี่
…..กลับคืนสู่ความว่างเปล่าพร้อมความสิ้นหวังทั้งแบบนั้น
“พอคิดได้แบบนั้น…….พ่อก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ทัศนคติที่มีต่อนโยบายของส่วนกลางและราชาแคปปิทาเรียนั้นไม่ใช่การสดุดีแน่นอน ในตอนนี้ทุกสิ่งควรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ….แต่ทว่าความรู้สึกที่เป็นหนี้บุญคุณยังคงแรงกล้า เมื่อพูดออกไปแล้วจะไม่มีสามารถย้อนกลับไปได้อีก ไม่อยากสูญเสีย อริซ ในที่สุดก็คว้าโอกาสได้นั่งคุยสนุกสนานกับลูกแล้ว”
“…….ท่านพ่อ”
คราวนี้น้ำตาฉันไหลด้วยความรู้สึกยินดีและอยากขอโทษ คุณพ่อที่พูดในขณะที่ฝืนยิ้มและคิ้วขมวด จะเป็นคุณพ่อของฉันตลอดไป ใช่แล้ว อุตสาพึ่งคว้าเอาไว้ได้แท้ ๆ ระยะห่างของพ่อและลูกสาว ความรักของครอบครัว ความเป็นจริงที่ไม่อนุญาตให้มีความสุขที่อ่อนโยนเช่นนี้ ช่างดูไร้ความปรานีในทุกทาง ไม่สิ สิ่งที่ฉันจำได้นี่ถูกต้องแค่ไหน ไม่รู้สึกถึงความเป็นจริงเลย ยังไงก็ตามนั้นไม่ใช่เจตนาร้าย ทุกสิ่งอยู่นั้นแล้ว
“แต่ว่านะ อริซ พ่อ……ข้าได้ตัดสินใจแล้ว วันนั้นที่ข้าได้กอดเจ้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่อลิเซียเสียไป ข้ามีความสุขมาก …….และที่เจ้าพูด ว่า「ความสุข」ก่อนหน้านี้ การปฏิวัติเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความสุข”
คุณพ่อพูดอย่างไม่ลังเลก่อนที่จะหลับตาลง ร้องไห้ หัวเราะ ทะเลาะ แล้วหัวเราะอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงชีวิตประจำวันของพวกเรา……..ของ”บ้านแฟร์มีล”ทีละอย่างทีละอย่างด้วยความรัก
“….นา อลิเซีย การเป็นพ่อคนช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ไม่ว่าจะอะไรก็มีผลกระทบเสมอ …..เธอเองก็เป็นแบบนั้นหรือ?”
เพียงชั่วขณะนั้น คุณพ่อที่กลับไปเป็นฮัททีเรีย ไม่ใช่พ่อคน หรือแฟร์มีล ใช้นิ้วลูบของดูต่างหน้าคุณแม่ที่ห้อยอยู่ที่คอ ลูบ ๆ กุม ๆ แล้วทันใดนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับ
“ข้าไม่ใช่เด็กกำพร้าที่อ่อนแอ วีรบุรุษ หรือขุนนางอีกต่อไป อ้า ข้าน่ะ”
ก้มตัวหมดสภาพ แต่ดูมีความหวังทุกหนแห่งและกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เมื่อคุณพ่อหันกลับมาก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความรักมากมาย
“ตอนนี้ข้าเป็นแค่พ่อ”
――――ในคืนนั้น ฉันนอนกอดคุณพ่อในห้องทำงานโดยไม่โดนฝันร้ายเข้าโจมตี