[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 87 ตอนที่ 7 ธรรมเนียม
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 87 ตอนที่ 7 ธรรมเนียม
ตอนที่ 7 ธรรมเนียม
“――――เอาล่ะ อาหารมาแล้ว ……ข้าในนามของราชาองค์ที่ 79 แหน่งราชอาณาจักรรูเนเรีย 「แคปปิทาเรีย・โร้ด・รูเนเรีย」 และราชินี「ลักเซเรีย」 ข้าขอบคุณอีกครั้งสำหรับการเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในค่ำคืนนี้”
หนักงานเสิร์ฟหลายคนกลับมาพร้อมกับข้ารับใช้ที่ออกไปจากห้องก่อนหน้านี้ตามคำสั่งของท่านพ่อ และวางจานสำหรับราชาและราชินีก่อนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็มีอาหารหรูหราวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะที่ทำจากไม้เทกซ์(สัก)ในชั่วพริบตา
แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็ทำให้ผู้ที่มีความรู้น้อยที่สุดยังสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าราชวงศ์มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด ยังไงก็ตาม เทกซ์มีจำนวนจำกัดมาก พบได้เพียงเฉพาะในพื้นที่ของเกาะห่างไกลทางตอนเหนือภายในอาณาเขตของราชอาณาจักร ยิ่งไปกว่ายังผลิตได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยความหายากจึงได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นไม้ที่ดีที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ และหากพยายามที่จะให้ได้มาครอบครอง แม้แต่เศษชิ้นส่วนแตกหักที่ไม่สามารถเอามาทำประโยชน์ได้ก็ยังทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายอย่างน่าขัน
……แต่โต๊ะตัวใหญ่นี้ทำขึ้นมาจากเทกซ์ทั้งหมด นอกจากนี้อาหารที่วางเรียงรายอยู่ด้านบนก็ล้วนแล้วแต่ใช้ส่วนผสมและเครื่องเทศหายากมากมาย ในห้องสำหรับทานอาหารค่ำมื้อนี้ที่ไม่ใหญ่โตนัก กลับมีอาหารเหล่านี้เรียงรายกันอย่างไม่จำกัด ยิ่งมีการใช้พระนามของราชาและราชินีที่นั่นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีการแสดงพลังมากขึ้นเท่านั้น
ในความจริง เหล่านักเวทย์ผู้บริหารสมาคมมีแรงกดดันปกคลุมอย่างเห็นได้ชัด
“การต้อนรับ” แบบนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่กล่าวได้ว่าจำเป็นสำหรับการรักษาอำนาจของราชาและความจงรักภักดีที่มีให้แก่ราชา แต่สำหรับฉัน ผู้ที่มีข้อสงสัย ไม่สิ เกลียดชังต่อราชาองค์ปัจจุบันมาแต่เดิมแล้ว นี่คือฉากที่มีแต่ความน่ารังเกียจเท่านั้น
โดยปกติหากเป็นราชาที่วางการปกครองไว้เป็นอย่างดี คงคิดได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสำหรับเผชิญหน้ากับผู้คนอย่างตรงไปตรงมา และแม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ราชาก็สามารถตรัสว่า “ก็เหมือนเดิมตามปกติ”
แต่สิ่งที่ราชาองค์ปัจจุบัน ท่านพ่อของฉันทำนั้น สิ่งที่ปรากฎคืนมาไม่ใช่ความหวังและความไว้วางใจ แต่เป็นความสิ้นหวังและความเกลียดชัง ทั้งที่คำพูดก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นกลับตรงกันข้าม จริง ๆ เลย ทุกคำพูดทำให้ผู้คนตะลึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกยอตนเองเป็นราชานักปราชญ์ที่หาได้ยากยิ่ง
“ฟู๊ว……….”
ฉันแกล้งทำเป็นหายใจเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการถอนหายใจที่รั่วออกมาโดยไม่ตั้งใจ ขณะมองดูพวกเขาซึ่งยังคงมีความจงรักภักดีต่อราชอาณาจักรอย่างแท้จริง จากนั้นในนามของผู้เข้าร่วม เขาที่เป็นขุนนางอุปถัมภ์ก็ได้กล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
“กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาที่นี่ในวันนี้ กระหม่อมขอให้คำสาบานอีกครั้งว่าจะจงรักภักดีต่อราชอาณาจักรเหนือสิ่งอื่นใดพะยะค่ะ”
“――――ฟุ……… !”
ฉันเกือบหลุดหัวเราะออกมา ไม่สิ ให้ถูกคือหลุดมาแล้วครึ่งหนึ่ง
ฉันรู้สึกอยากปรบมือดังลั่นเพื่อเป็นเกียรติแก่ความกล้าหาญนั่น ก็ช่วยไม่ได้แถมน่าตลกเกินไปจริง ๆ จากการที่บางทีทุกคนน่าจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั่นยกเว้นท่านพ่อท่านแม่
ท้องของฉันเกือบจะถึงขีดจำกัดเมื่อท่านพ่อพยักหน้าว่าเขาพอใจ ต้องขอบคุณผลการอบรมจากสเตลล่าทำให้ฉันก็สามารถอดทนเอาไว้ได้ ฉันกลับคำในใจเมื่อสัมผัสถึงความกดดันเงียบ ๆ ที่ราวกับกำลังตำหนิอยู่ของเธอ
――――รู้ไหมว่าเขากล่าวว่าจะจงรักภักดีต่อ”ราชอาณาจักร”!? ไม่ใช่ต่อราชา!
ไม่ใช่อะไรนอกจากเป็นการประชดอันขมขื่น ถึงจะยังดูคลุมเคลือแต่ก็ทำให้เข้าใจภายในใจของเขาได้ในทันที เป็นเสมือนการพูดว่าไม่มีความจงรักภักดีจะมอบให้กับแกหรอกน่ะ ด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าต่อหน้าราชาโดยตรง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกอยากหัวเราะ
“……องค์เจ้าฟ้าหญิง มีสิ่งใดผิดปกติหรือเพคะ”
“อ อึก…ฟู๊ว มะ ไม่มี ไม่มีอะไร”
สเตลล่าเป็นผู้ที่ส่งความช่วยเหลือมาได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดเธอก็เป็นคนที่เข้าใจฉันดียิ่งกว่าใคร ๆ ที่จริงแล้ว ฉันเกือบทนไม่ไหวแล้วหากความเงียบยังคงอยู่ต่อไปอีกสักวินาที ขอบคุณ สเตลล่า ไม่สิ ที่จริงอันตราย เกือบไปแล้ว
….ยังไงก็ตาม เมื่อได้เห็นบุคลิกภาพเช่นนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งอยากดึงเขาให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้นเรื่อย ๆ การพูดได้ดีก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความหัวไวนั้นเป็นอะไรที่น่าชื่นชมจริง ๆ เหนือสิ่งอื่นใด คือความกล้าที่จะพูดออกไปจริง ๆ
ถึงจะเป็นการพูดด้วยระดับเสียงที่มั่นใจ แต่การกล่าววาจาเสียมารยาทอย่างไม่ระวังตัว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากถูกเดาเจตนาที่แท้จริงได้ หากโชคดีอาจแค่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หรือถูกถอดยศ แต่เลวร้ายกว่านั้นก็คงถูกประหารในทันที เป็นการกระทำที่ไม่สามารถทำได้หากมีความคิดที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อลองคิดถึงความนัยแล้ว ก็เป็นได้ว่านั่นเป็นความเชื่อหรือการตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ว มากกว่าที่จะเป็นความมั่นใจในตัวเอง
ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะน่าเชื่อถือพอสมควร เว้นแต่ฉันจะอ่านผิด เมื่อฉันส่งสายตาผ่านช่องว่างเพื่อยืนยัน สเตลล่าก็ส่งสายตาว่าเห็นด้วย ที่เหลือที่ต้องทำคือหาหลักฐานที่แน่ชัดและโอกาส
“ขอบคุณสำหรับความทุ่มเทและความจริงใจของเจ้า …..เช่นนั้น จงประกาศนามของตนเองมาทีละคน แน่นอนว่าข้ารู้จักพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่เป็นส่วนพิธีการ”
“ฮะ”
เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อกำลังอารมณ์ดีมาก ถึงได้เพิ่มคำพูดสั้น ๆ ที่ทำให้สถานการณ์ดูอ่อนลง เป็นเหตุการณ์ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและน่านับถือแก่ลูกสาว ไม่สิ ฉันไม่ได้โง่
ถ้าทำเช่นนั้นได้เป็นปกติแล้วไม่หลงระเริงไปในอำนาจ………ไม่มีประโยชน์ที่จะหลงไปกับความคิดฟุ้งซ่านแบบนั้น
เมื่อเงยหน้าขึ้น ชื่อของนักเวทย์ที่ยืนขึ้นก็จบลงแล้ว พลาดไปแล้วสิ แต่แน่นอนว่าในฐานะเจ้าหญิง ฉันรู้จักชื่อของพวกเขาดีจึงไม่มีปัญหา คนต่อไปที่เริ่มแนะนำตัวเองคือ คนที่ทำให้ฉันตกอยู่ในภาวะวิกฤตหลายครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เขานั่นเอง
ฉันจำเขาได้ดี เพราะเขามีตำแหน่งอยู่ในกลุ่มผู้บริหารสมาคมจอมเวทย์มาเป็นเวลานาน แต่พึ่งจะกลายเป็นขุนนางอุปถัมภ์ได้ไม่นานมานี้เอง ฉันได้ยินมาว่าที่รุ่นก่อนเสียชีวิตและกลายเป็นคนปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ยังไงก็ตาม ฉันในเวลานั้น……พูดให้ชัดคือ ตัวฉันก่อนที่จะได้พบกับอริซที่โรงเรียนเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายอย่างมาก ฉันไม่กระตือรือร้นที่จะจำชื่อพวกเขา เพราะฉันผิดหวังจนท้อแท้กับราชวงศ์และพวกขุนนาง ประเด็นคือ ฉันจำชื่อตระกูลเขาแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ครั้งนี้ฉันจึงตั้งใจฟังชื่อของเขาอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะได้จารึกไว้ในหัว
“เช่นนั้น……..กระหม่อมมีนามว่า「อองตวน・ฟอน・เอสเพรย์」 เป็นผู้นำตระกูลเอสเพรย์คนปัจจุบัน และได้รับแต่งตั้งให้อุปถัมภ์สมาคมจอมเวทย์หลวงพะยะค่ะ”
อ้า ใช่แล้ว ชื่อนั้นเอง เข้ากันเป็นอย่างดี อาจเป็นความเห็นที่แปลกไปสักหน่อย แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ฉันก็จำได้เลือนลางว่าได้ยินชื่อดังกล่าวจากสเตลล่าพร้อมกับของคนอื่น ๆ ในสักวันหนึ่ง
ฉันพยายามนึกอย่างตั้งใจ แต่ก็นึกความทรงจำไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีหรือร้าย แต่ดูเหมือนว่าลิ้นชักจะถูกปิดอย่างแน่นหนา ――――ไม่สิ แต่ว่า ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินชื่อนี้จากสถานการณ์อื่นเมื่อไม่นานมานี้เอง….
ยังก็ตามแม้จะเป็นพิธีการ แต่การทำให้ได้ยินชื่อก็ถือว่าเป็นประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูผิวเผินที่ไม่น่าจะทำให้ใครไม่พอใจกับการที่เจ้าหญิงที่อายุเพียงแปดขวบจะไม่รู้จักชื่อของขุนนางที่ได้เจอกันครั้งแรก
ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังเป็นขุนนางคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีหากโดนเผยให้เห็นว่าฉันไม่รู้จักชื่อของเขาในระหว่างการสนทนา
ถึงจะดูไม่เหมือนว่าเขาจะมีบุคลิกที่ไม่พอใจกับเรื่องแบบนั้น แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ไม่ผิดเช่นกัน และยิ่งเพราะเป็นการพบกันครั้งแรกจึงยิ่งควรระมัดระวังและสุภาพให้มาก ยิ่งถ้าคาดหวังให้เขามาอยู่เคียงข้าง
แม้จะแค่ตอนนี้ แต่ฉันควรจะระมัดระวังเกี่ยวกับทัศนคติของตัวเองมากขึ้นเมื่อเข้าไปในห้อง
“อุมุ เช่นนั้นเริ่มทานกันเถอะ…….อ้า ลูกสาวข้า เจ้ายังอยู่หรือไม่ ไม่ดีเลยนะ เจ้าควรประกาศนามของตนเช่นเดียวกัน”
ฮาฮา ท่านพ่อหัวเราะไม่หยุดโดยไม่มีความเขินอาย เหมือนจะเมาหน่อย ๆ ควบคู่ไปกับอารมณ์ดีแปลก ๆ ของเขา ถึงไม่ได้สังเกตเป็นพิเศษ แต่ของที่น่าจะอยู่ในแก้วที่เทลงไปเป็นรอบที่สาม ว่างเปล่าลงแล้ว บางทีคงอยากดื่มไวน์คุณภาพสูงที่ได้รับมาเป็นมรดกตกทอดที่นี่
ในขณะที่ฉันกำลังหรี่ตามอง ข้ารับใช้ก็รินเป็นแก้วที่สี่
ตาของข้ารับใช้หันมาที่แก้วของฉัน และเมื่อเห็นว่าน้ำผลไม้ยังคงส่องแสงเหลือเพือ ก็หันไปเติมน้ำในแก้วของอองตวนและคนอื่น ๆ
แน่นอน สาเหตุที่ฉันไม่สัมผัสน้ำผลไม้ไม่ใช่เพราะรสชาติไม่ดี แต่การแสร้งทำว่าไม่ลังเลที่จะยอมรับความหรูหราต่อหน้าอองตวนที่ห่วงใยราชอาณจักรนั้นจะทำให้เกิดความลังเล ยังไงก็ตามหากฉันไม่ลิ้มรสสักหน่อยก็เป็นการหยาบคายไปสักหน่อยต่อคนที่รินมาให้ด้วยความห่วงใย ฉันจึงจะดื่มประมาณหนึ่งแก้ว
และเหนือสิ่งอื่นใด น้ำผลไม้นี้มีบทบาทสำคัญมากกว่าการให้ความชุ่มชื้นแก่ลำคอ
“โฮระ ลูน่าจัง”
แต่เรื่องนั้นไว้ว่ากันทีหลัง เสียงเรียกของท่านแม่ ทำให้พวกเขาแก้ไขท่าทางการนั่ง
โดยพื้นฐานแล้วราชวงศ์จะไม่ยืนขึ้นจนกว่าพวกเขาจะนั่งลงจนคนสุดท้าย เว้นแต่จะมีคนในชนชั้นเดียวกันคนอื่น แต่เมื่อยืนขึ้น ทุกคนที่ร่วมโต๊ะต้องยืนขึ้นตาม
อันที่จริงฉันอยากจับมือเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการสถาปนาความร่วมมือกับมิสเตอร์อองตวน ……..อ้า สถานะเจ้าหญิงช่างมีปัญหามากมายจริง มีแต่เรื่องไม่อยากทำตั้งแต่เกิดมา ถึงจะพูดอะไรที่ดูขาดความรับผิดชอบออกมามากมาย แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะทำจริง ๆ หรอกนะ เฮ้อ ฉันอยากเกิดเป็นเพื่อนหรือพี่น้องสมัยเด็กของอริซจัง
“…..ฉันมีชื่อว่า รูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของราชาแคปปิทาเรียกับราชินีลักเซเรีย และเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งราชอาณาจักรรูเนเรีย”
อึม ขณะที่รู้สึกไม่ชอบใจ ฉันก็ชำเลืองมองท่านพ่อที่ส่งเสียงหายใจดังผ่านจมูกเหมือนที่ฉันชอบทำเมื่อยืนยันได้ว่าได้รับการแสดงความเคารพจากทุกคนแล้ว ในที่สุดฉันก็ถูกสั่งให้นั่งลง ท่านพ่อท่านแม่กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงได้สามารถเพลิดเพลินกับอาหารแบบนี้ได้ ไม่สมเหตุสมผลเลย
อาหารจานนกที่ฉันไม่อยากเห็นเป็นครั้งที่สองในชีวิต………ฉันมองไปที่บางสิ่งตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วน และรอให้ท่านพ่อท่านแม่เริ่มลงมือทานกันก่อน แล้วก็มีนกสองตัววางเบียดกันอยู่หน้าพวกเขา ฉันแทบอยากทิ้งเอาไว้ทั้งแบบนั้น
“เช่นนั้น ลงมือกันได้เลย”
แล้วฉันก็จิบซุปหอมกลมกล่อม ใช่ ฉันมีซุปสำหรับล้างท้องด้วย เพื่อเป็นการส่งสัญญาณ ฉันยกเครื่องเงินสี่ชิ้นที่เหลือขึ้นจนเกิดเสียงเล็กน้อย อันที่จริงเป็นการเสียมารยาทที่ทำเสียงเช่นนี้ แต่คงจะแย่กว่าถ้าจะคาดหวังให้พวกเขาที่เป็นขุนนางจอมเวทย์ที่ปกติไม่ค่อยได้ไปงานสังสรรค์ให้เริ่มลงมือกันเอง
โชคดีที่ท่านพ่อท่านแม่ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้ ฉันหมายถึงยังไงซะการทานอาหารก็ต้องทำให้เกิดเสียงบางอย่างเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ฉันไม่รู้รูปแบบของจักรวรรดิ แต่ในราชอาณาจักรมีใกล้เคียงกับทัศนคติที่จะพยายามไม่ให้เกิดเสียงให้มากที่สุด
……ซ้า ซุปยอดเยี่ยม ความเข้มข้นของวัตถุดิบที่ใช้จับคู่กันจนเกิดเป็นความอร่อย ปัญหาคือ นกตัวนี้ และเพราะราชากำลังแสดงท่วงท่าตัวอย่างอยู่ ฉันจึงจำเป็นต้องกิน ยิ่งไปกว่านั้น ที่หน้าฉันมีนกที่ถูกเตรียมอย่างดีประมาณครึ่งตัววางไว้อย่างระมัดระวัง ส่วนที่เหลือเป็นของแขกทั้งสี่คน ทั้งหมดนี้หมายความว่าฉันจะมีผู้ร่วมทุกข์ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย แต่ ฮ้า ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอแสดงความรู้สึกออกไป มาเตรียมตัวกันเถอะ
“ฟู๊ว…..อุก อึก มุ”
ฉันโยนเนื้อชิ้นพอดีคำที่หันด้วยมีดเข้าปากในทันทีขณะที่หลับตาแน่น
อ้า…..ใช่ ใช่ รสชาติแบบนี้ นกลึกลับยังทรงพลังล้นไปด้วยกลิ่นของป่า เป็นวัตถุดิบที่ชวนให้สงสัยว่าได้ผ่านการปรุงมาจริง ๆ ไหม การเต้นรำอันรุนแรงของเครื่องเทศมากมายที่มาเยือนอย่างฉับพลันจากสัมผัสแรก ทำให้บุคลิกภาพของแต่ละคนเด่นชัดขึ้นไปอีก
หากให้ตั้งชื่ออาหารจานนี้ที่มีรสชาติต่าง ๆ บานสะพรั่งในหลากเฉกสีแล้ว นั่นสินะ สมควรเรียกว่า “*ภัยพิบัติบานสะพรั่ง*”――――อย่างแน่นอน
(*ดัดแปลงจาก百花繚乱ดอกไม้บานสะพรั่ง / ชุมนุมสาวงาม)
แต่นี้ไม่ใช่ดอกไม้งาม แต่เป็นดอกไม้หายนะ ดอกไม้พิษสุดสยองนับร้อยตีกันอย่างบ้าคลั่ง และอาละวาดด้วยกลิ่นร้ายอันน่าสะพรึงกลัว
ช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษไปเลย ต้องจ้างไว้แน่นอน
…..ม๊า อืม เริ่มรู้สึกมึนจนสิ้นหวัง
“คุ คุ๊……”
“ปะ เป็นอะไรไปรึพะยะค่ะ”
อ้า อย่าถามเลย อองตวน ไม่จำเป็นต้องฟังด้วยซ้ำ ก็ใบหน้าของเจ้าเองยังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้นเลย
ฉันแน่ใจเลยว่าตัวเองจะต้องคายทิ้งโดยไม่ลังเลเลยหากท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ได้มีทัศนคติที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเสียเปล่า ถ้าว่ากันตามตรง สิ่งนี้เสียเปล่ามาแต่แรกแล้ว ถึงจะเป็นการหมิ่นอาหารก็เถอะนะ
แม้แต่ผู้คนที่หิวโหย ฉันก็เชื่อว่าสัญชาตญาณจะทำให้พวกเขาปฏิเสธที่จะกินอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่อาหารอีกแล้ว แต่เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง
“งุ๊ก อุกกกกก………กุ๊น”
ท่านพ่อท่านแม่ต่างทานกันอย่างต่อเนื่องด้วยรอยยิ้มโดยไม่สนใจพวกเรา ……ช่างผิดปกติจริง ๆ ต่อมรับรสชาติของพวกเขาเสียไปแล้วอย่างแน่นอน พวกเขายังเป็นมนุษย์เหมือนกันอยู่ใช่ไหม?
นักเวทย์สามคนหยุดมือลงพร้อมใบหน้าที่ซีดอย่างน่ากลัว ฉันแน่ใจว่าเหตุผลและสัญชาตญาณกำลังก่อสงครามครั้งใหญ่ในใจพวกเขา ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลเฉพาะที่แก้มซ้ายที่ท่านพ่อท่านแม่มองไม่เห็นอย่างเชี่ยวชาญ ฉันเคี้ยวและกลืนซ้ำ ๆ ราวกับเครื่องจักร และเพราะปริมาณของนกที่มีเพียงครึ่งตัวที่น้อยกว่าครั้งก่อนทำให้ฉันรอดตายไปอย่างหวุดหวิด
“อะ ริซ อยู่เน๊แล้ว……..”
พยายามเข้าก่ะ พยายามเข้าก่ะ ฉันจัดการเคี้ยวคำสุดท้ายลงท้องด้วยการพึ่งภาพลวงตาของเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจ ฉันพุ่งทะลวงผ่านม่านหมอกเลือดที่บดบังวิสัยทัศน์ไปคว้าแก้วที่เป็นดั่งลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ได้สำเร็จ ใช่แล้ว น้ำผลไม้ที่ถูกกันไว้สำหรับเวลานี้โดยเฉพาะ
อ้า พระผู้ช่วยให้รอด….ฉันยกย่องน้ำแก้วนี้เหมือนใครบางคนที่คอยยกย่องแมเรียนให้ฟังเสมอ ฉันเปิดใจและร่างกายไปสู่สวรรค์แห่งผลไม้ที่หอมหวานและสดชื่น
ที่นี่ได้ถูกปัดเป่าแล้ว
“อุ๊ก อุ๊ก…. ――――ฮูฟุฮ๊า!”
ฉันดึงตัวเองกลับมายังโลกนี้ ขณะเผลอส่งเสียงที่เหลือเชื่อสำหรับคนที่เป็นเจ้าหญิง อันตราย ๆ แค่อีกก้าวฉันก็เกือบจะถูกลากไปยังก้นบึ้งของโลกแล้ว เมื่อฉันได้ยินเสียงกระแอมในลำคอของสเตลล่าจึงรีบเหล่มองท่านพ่อท่านแม่ในทันที โชคดีที่พวกเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับวัตถุอันตรายในจานจนไม่สนใจฉัน
…..ชนะแล้ว ฉันชนะแล้ว อริซ!
“อะ องค์….เจ้า ฟ้า หญิง……”
“อองตวน…….”
ฉันมองไปยัง”พวกพ้อง(ผู้ประสบภัย)”ที่ส่งเสียงเรียกด้วยท่าทางกุมท้องอดทนต่อบางสิ่งที่กินเข้าไปด้วยสายตาเสียใจ ดูเหมือนเขาจะมีเจตจำนงบางอย่างที่อยากจะสื่อให้ฉันก่อนจะจากไปอีกโลก
ฉันมองไปที่ท่านพ่อท่านแม่ ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเปล่าทำให้พวกเขากำลังคุยกันอย่างจริงจังทั้งที่โดยปกติแล้วแทบไม่ค่อยคุยกันจนไม่ได้หันมามองทางนี้แม้แต่น้อย
ถ้าเป็นตอนนี้ไม่เป็นไร ฉันมองกลับมาและพยักหน้าด้วยความหมายนั้น เขาจ้องมาที่ฉันราวกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างในขณะที่ยืดอายุตัวเองด้วยน้ำหนึ่งแก้ว เมื่อสายตามาถึงปากของฉัน เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกแล้วเสนอให้กับฉัน
“ริมฝีปากอันงดงามของพระองค์มีรอยเปอะเปื้อนอันมิน่าชมอยู่พะยะค่ะ หากมิรังเกียจ……”
เมื่อมองแวบแรกก็เหมือนเขากำลังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่ฉันเคยเห็นท่านแม่ทำอะไรบางอย่างที่คล้ายกันนี้ที่โต๊ะอาหารค่ำกับเหล่าขุนนางส่วนกลางหลายครั้ง
แน่นอนว่าฉันไม่เคยใช้เองจริง ๆ เพราะมีอันตรายจากยาพิษ แม้จะดูผิดธรรมชาติไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตำหนิกันเป็นการเฉพาะ ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้อย่างถ่องแท้ว่าไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำตัวเจ้าชู้เสียมารยาทเช่นนั้น
เมื่อฉันขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาที่ยิ้มแย้มของเขาก็มองต่ำลงมาที่มือฉันครู่หนึ่ง ไม่นานหลังถูกนำทางด้วยสายตา……
“――――อ้า ต้องขอบคุณมาก แต่มิต้องเป็นห่วง ฉันมีของตัวเองอยู่แล้ว”
ในที่สุดฉันก็ตระหนักถึงความตั้งใจของเขา ฉันผลักมือของเขากลับไปด้วยการใช้มือทั้งสองข้างกุมมือของเขาพร้อมรอยยิ้ม ระหว่างนั้นก็ดึงม้วนแผ่นหนังเล็ก ๆ ที่ถูกสอดไว้ในช่องว่างของผ้าเช็ดหน้าออกมาในตอนที่ปล่อยมือ และพับซ่อนเอาไว้ในมือซ้ายเพื่อไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่หรือข้ารับใช้คนไหนมองเห็นได้
“สเตลล่า”
“เพคะ อยู่ที่นี่แล้ว”
และฉันก็มอบแผ่นหนัง――――”สารลับ”ที่ได้มาจากเขาระหว่างจับมือให้กับสเตลล่าระหว่างที่รับผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาจากเธอ สเตลล่าเอามือกลับเข้าที่โดยไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ฉันยิ้มบาง ๆ ที่มีเพียงฉันที่เข้าใจ
แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าปากของฉันสกปรก ขณะเช็ดปาก ฉันก็หันไปหาอองตวนด้วยใบหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“เช่นไร ก็ต้องขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เลยพะยะค่ะ การหยิบยื่นมารยาทให้สุภาพสตรี…..ให้「องค์เจ้าฟ้าหญิง」เป็นเรื่องอันสมควรปฏิบัติของสุภาพบุรุษอยู่แล้วพะยะค่ะ”
จากนั้นฉันก็ทานอาหารค่ำจนเสร็จ หลังจากที่กลับมาถึงที่ห้องของตัวเองอย่างปลอดภัย ฉันก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ ในที่สุดฉันก็สังเกตเห็นตัวตนที่แท้จริงของอาการเดจาวูที่รู้สึกต่อชื่อสกุลของตระกูลเอสเพรย์ ในขณะเดียวกันก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรีบจัดการ ฉันอาเจียนภัยพิบัติบานสะพรั่งลงกระโถนที่เตรียมไว้ไม่หยุด