[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 86 ตอนที่ 6 พึ่งพาอาศัย
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 86 ตอนที่ 6 พึ่งพาอาศัย
ตอนที่ 6 พึ่งพาอาศัย
“รู้สึกเหมือนไม่ได้มาที่นี่นานมากเลยนะคะ”
“นั่นสิ”
“ความน่ารักของฮิเมะก็ยังเหมือนเดิมเช่นกันค่ะ!”
“อะ อืม”
ตอนนี้ฉันกำลังเดินทางไปที่แมเรียนฟาร์มเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี ตามปกติแล้วจะมีเพียงเบลล์ซังกับมิร่าซังที่มาด้วยกัน แต่เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน ในวันนี้รอบ ๆ ที่ห่างออกไปจึงมีอัศวินบางส่วนจากกองอัศวินลิลลี่ขาวที่ทำหน้าที่คุ้มกันในระหว่างการเดินทางกลับจากโรงเรียนติดตามมาด้วย
ฉันได้มาที่นี่สองถึงสามเดือนก่อนเข้าโรงเรียน จริง ๆ แล้วตอนที่ใกล้จะออกเดินทางไปเมืองหลวง ฉันก็คิดที่อยากจะมาบอกลงท่านอาจารย์……แฮงค์ล็อตเต้ซัง กับอายาเมะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มา เพราะยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับการเข้าเรียน
ใช่แล้วนี่ไม่ใช่คำอุปมา แต่เป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานที่ได้มาที่นี่จริง ๆ เบลล์ซังกับมิร่าซังก็เหมือนกัน เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่ฉันได้พบอันตรายเล็กน้อย ยังไงก็ตาม อายามะถูกทิ้งให้อยู่กับท่านอาจารย์จนถึงตอนนี้ ฉันช่างไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนที่อยากเลี้ยงเธอเองแท้ ๆ โชคดีที่ท่านอาจารย์และเธอดูเหมือนจะกำลังสร้างความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนด้วยการเป็นหมาป่าเฝ้ายามไม่ใช่สุนัขเฝ้ายามของฟาร์ม และดูเหมือนเข้ากันกับพวกม้าได้เป็นอย่างดี
ยังไงก็ตาม ก็ยังเป็นความจริงที่ว่าฉันได้ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนพูดออกไปเอง เป็นการยากที่จะบอกว่าการกระทำตอนนี้เป็นความรับผิดชอบในการมาเยือนนาน ๆ ทีด้วยความรัก หลังจากที่ทิ้งให้คนอื่นเลี้ยงดูรับผิดชอบทุกอย่าง
….ในขณะที่กำลังถูกถาโถมด้วยความรู้สึกเกลียดตัวเองเช่นนั้น ถัดจากรั้วไม้ที่เดินพ้นมา ฉันก็มองเห็นแมเรียนฟาร์มซึ่งดูเงียบเหงากว่าที่ฉันจำได้มาก อายาเมะไม่ได้อยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยที่สร้างมาให้เธอโดยเฉพาะ อาจจะอยู่ในกระท่อมกับท่านอาจารย์หรือเปล่าน่ะ ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นดูเหมือนเธอจะเริ่มคุ้นเคยกับผู้จำนวนมากแล้ว แต่ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกัน
…..ไม่สิ เหนืออื่นใด
“ว่าแล้ว ที่นี่ก็ด้วย”
“……นั้นสินะคะ”
เบลล์ซังกับมิร่าซังพยักหน้าด้วยความโศกเศร้า เห็นได้ชัดว่าจำนวนพืชผลที่โตเต็มที่มีน้อยกว่าเมื่อตอนที่ฉันมาที่นี่เป็นครั้งแรก และถึงจะโตเต็มที่แต่ใบก็ดูเหี่ยวเฉา ให้ความรู้สึกไม่ดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคลื่นแห่งผลผลิตย่ำแย่ได้มาถึงมาเรียน่าอย่างแน่นอนแล้ว
ไม่สิ ตั้งแต่ตอนที่ฉันมาครั้งแรกสถานการณ์อาจจะย่ำแย่กว่าปีก่อน ๆ มาอยู่แล้วก็ได้ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นไปได้ เพราะฉันพึ่งนึกได้ไว้ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างของปีก่อนหน้าเลยสักนิด
เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกอยากกัดฟันให้กับการขาดวิสัยทัศน์ของตัวเอง ถ้าฉันสังเกตเห็นตั้งแต่ในตอนนั้น….ไม่สิ ไม่มีประโยชน์ที่จะมารู้สึกเสียใจเอาตอนนี้ เพราะยังไงซะ ตอนนั้นฉันก็คงทำอะไรไม่ได้มากมาย ฉันไม่ได้มีความรู้มากกว่าตอนนี้ และยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูน่า ตรงกันข้ามอาจจะเกิดผลเสียด้วยซ้ำ จากการเข้าไปแทรกแซงด้วยความคิดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ทำได้เพียงแค่เรื่องที่มองเห็นได้ในขณะนั้นเท่านั้น
ฉันแน่ใจว่าความทรงจำที่ไม่ปกติของชาติน่าจะสามารถคิดมาตรการที่มีประสิทธิภาพออกมาได้ไม่มาก็น้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ใช่อัจฉริยะที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งในอนาคตแล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดออกมา หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
“แต่ ทำไม”
ใช่แล้ว ฉันสงสัยมาตลอดว่าเพราะอะไรกัน นี่อาจจะเป็นคำถามโง่ ๆ แต่ต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในใจทุกคนอย่างแน่นอน หากมีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนนี้ ทางที่ดีควรหามาตรการรับมือสถานการณ์ปัจจุบันจะสร้างสรรค์กว่า แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคาใจอยู่
――――ตั้งแต่แล้วเหตุใดสถานการณ์ผลผลิตย่ำแย่จึงเกิดขึ้นได้
“…..ทำไม อะไรรึคะ?”
“อืม สงสัยสภาพนี้ เกิดก่อนที่หนูจะเกิดแล้วรึเปล่า?”
“เรื่องนั้น………”
ทั้งที่ดูจะเป็นคำถามที่ไม่มีอะไรต้องคิดมาก ยังไงก็ตามดูเหมือนเบลล์ซังจะไม่สามารถตอบกลับมาได้ง่าย ๆ ราวกับมองหา”ต้นกำเนิด”ไม่เจอ แน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน แต่ให้พูดไปแล้ว ควรจะเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นฐานแล้ว ฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องระยะเวลา ยังไงก็ตามหลายสิ่งไม่ได้ชี้ไปทางนั่น ฉันเลื่อนสายตามองไปด้านข้างเพื่อให้แน่ใจว่ามิร่าซังก็มีสีหน้าคล้ายคลึงกัน
“ไม่ค่ะ …….. ――――ไม่เลย”
“ม๊ายมี…..?”
“ค่ะ เท่าที่ดิฉันจำได้…..อย่างน้อยก็ยี่สิบปีกว่าปีนับตั้งแต่ที่ดิฉันเกิดมา แม้จะมีปัญหาผลผลิตย่ำแย่อยู่บ้าง แต่ไม่เคยเกิดสถานการณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อนค่ะ”
นั่น….นั่นหมายความว่ายังไงกัน
เบื้องหลังผลผลิตย่ำแย่ ถ้าหากคิดตามสามัญสำนึกก็ต้องมีปัจจัยด้านสภาพอากาศบางอย่างอยู่บ้าง หรืออาจจะเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นในระดับเดียวกัน ยังไงก็ตาม ถึงฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไป โดยพื้นฐานแล้ว หากเป็นพื้นดินเดียวกัน สิ่งแวดล้อมก็ควรมีความคล้ายคลึงกันทุกปีในช่วงเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะเหมือนกันทุกประการ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความรุนแรงของภัยแล้งและปริมาณน้ำฝน แต่ทว่าถึงแม้เงื่อนไขเหล่านั้นจะทับซ้อนกันไปในทิศทางที่เลวร้ายก็ตาม ก็ไม่ควรส่งผลกระทบในทันทีในช่วงสองถึงสามปีนี้
ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก เพราะไม่ได้เรียนมาอย่างมืออาชีพ แต่ปัญหาเชิงปฏิบัติที่ได้จากคำพูดของเบลล์ซังคือ ตลอดระยะเวลายี่สิบปีมานี้มีความแตกต่างกัน”เพียงเล็กน้อย” ซึ่งหมายถึงมีความเสถียรภาพเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดผลผลิตย่ำแย่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากัน ฉันรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม คำถามดังกล่าวอาจกำลังได้รับการศึกษาโดยเหล่านักเวทย์ที่เป็นมันสมองของราชอาณาจักรอยู่ก็ได้ แต่เมื่อยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนออกมาจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ฉันต้องคิดเอาเอง
“พอถามมาแล้ว ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันเลยค่ะ ทำไมถึงเกิดสถานการณ์ตอนนี้ขึ้นมาได้กัน”
“อืม ……ถ้าอย่างงั้น อาจารย์ น่าจะรู้ ว่าทำไม”
“ใช่เลยค่ะ ต้องได้คำตอบดี ๆ จากแฮงค์ล็อตเต้ซังแน่นอน เพราะเขาทำงานบนเส้นทางนี้มาตลอด”
มิร่าซังพยักหน้ายืนยันว่าเป็นความคิดที่ดี ตอนนี้ฉันเลยตัดสินใจรอท่านอาจารย์กับอายาเมะมาที่นี่ ถ้าถามว่ารอเฉย ๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอ ก็ต้องบอกว่าตอนนี้เหล่าอัศวินคุ้มกันกำลังออกไปตามหาภายในฟาร์มและเรียกมาให้แล้ว พวกเขาบอกว่าเชิญฮิเมะซามะเพลิดเพลินกับช่วงเวลาออกเดทอย่างไม่ต้องรีบร้อน ฉันสงสัยว่าอัศวินทั้งหลายจะเรียกสตรีชนชั้นสูงว่าฮิเมะกันหมดกันหมดเลยไหม ฉันพยายามคิดเพื่อหนีความเป็นจริง ฉันมั่นใจว่าพวกเธอกำลังเข้าใจบางอย่างผิดไปอย่างแน่นอน
ยังไงก็ตาม พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำกับกลิ่นของสายลมและแสงแดดสักพักจนกว่าพวกเธอจะกลับมา
…..อื~ม ว่าแล้วแปลก ๆ จริงด้วย อากาศอบอุ่นสบายดีมาก ๆ และนั่นไม่ใช่แค่เพียงวันนี้เท่านั้น
แม้จะมีบางช่วงที่แปรปรวนไปบ้าง แต่ก็เป็นช่วงที่มีฝนตกลงมาพอดี เท่าที่ฉันจำได้ สภาพอากาศของราชอาณาจักรนั้น สงบและมีเสถียรภาพมาตลอด ดูไม่เหมือนจะก่อให้เกิดวิกฤตหนักได้เลย
ท้ายที่สุดยังไงฉันก็ต้องถามท่านอาจารย์ที่เป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชผลตัวจริงและเมื่อทำการสรุปคำถามอีกครั้ง พูดแล้วก็ดูเหมือนได้จังหวะพอดี ฉันเห็นเงาสามร่างใกล้เข้ามาจากทางกระท่อม
ในกลุ่มเงาเป็นเงาร่างคนสองคน คนหนึ่งคือ อัศวินที่ไปตามหา อีกเงาก็คงเป็นท่านอาจารย์ที่ถูกเรียกมา และที่ใกล้เท้านั้น เงาที่กะด้วยสายตาแล้วดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอย่างมากในเวลาเพียงหนึ่งปี ไม่รู้ว่าเธอรู้ถึงตัวตนของฉันจากกลิ่นหรือเปล่า จึงวิ่งเข้ามาหาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของท่านอาจารย์
จุดเงาภาพที่ดูเหมือนเมล็ดพืชในระยะไกล กลายเป็นภาพเงาของหมาป่าเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นผลจากการฝึกวินัย เธอจึงจิ่งลัดเลาะมาตามทางเดินหลีกเลี่ยงส่วนทุ่งมาได้อย่างเรียบร้อย “เธอ” เห่าออกมาอย่างมีความสุขจริง ๆ
“โฮ่ง โฮ่ง!”
และเมื่อรู้ตัวจมูกและตาของหมาป่าสีทองก็เข้ามาใกล้จากการกระโดดข้ามรั้วอย่างแรงเข้ามาใส่ฉัน…….ไม่สิ ลงจอดห่างจากฉันไปก้าวหนึ่ง ดูเหมือนเธอจะตัดสินใจได้อย่างสุขุมว่าฉันอาจจะได้รับบาดเจ็บ ถ้ากระโดดเข้าใส่ฉันด้วยร่างกายและโมเมนตัมของตัวเอง เด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ
สายตาของเธอที่มองมา ท่าทางที่พยายามยิ้ม และหางส่ายไปมาจนดูฟูฟ่องรอคำพูดของฉัน ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์
ทั้งไม่ได้ดูแลเองทุกวัน ทั้งห่างหายไปนาน ถึงอย่างงั้นฉันก็ยิ้มกว้างโดยไม่ได้ตั้งใจให้กับดวงตาที่มองมาทางฉันเหมือนกับเมื่อครั้งนั้น
“――――อายาเมะ!”
“โฮ่งงงงง!”
กาบา จำเป็นต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยเหรอ ด้วยสัญญาณที่เรียกหากัน ฉันและเธอ…..อายาเมะก็กระโดดเข้าหาราวกับตกลงกันล่วงหน้าแล้ว
อายาเมะยกตัวขึ้นและวางขาหน้าไว้บนไหล่ของฉัน และฉันก็หมอบลงพยายามกอดเธอ ขณะที่ฉันดึงหลังเธอเข้ามาหาด้วยมือ อายาเมะเองก็ดึงร่างของฉันด้วยขาหน้าโดยพยายามจะไม่ใช่กรงเล็บ
ปลายขนที่แข็งและแห้งเล็กน้อยขยี้จมูกจนคันเล็กน้อย อายาเมะระบายความเหงาที่อดทนมาตลอด
…..ขอโทษน๊า ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันปล่อยให้น้ำตาเอ่อล้นไหลแตะแก้มโดยไม่พยายามกลั้นไว้ หลังจากรับรู้ความอบอุ่นของร่างกายกันอย่างเต็มเปี่ยม ก็ปล่อยร่างกายออกจากกัน ฉันจ้องไปในดวงตาสีทองเช่นกันกับฉันที่กำลังจ้องมองมาในท่าทางหมอบ อายาเมะก็มองย้อนกลับโดยไม่ส่งเสียงอะไร
“ขอโทษน๊า ขอโทษน๊า”
“…..โฮ่ง”
ฉันขอโทษสำหรับความเหงาที่เธอต้องทนด้วยคำอ้างที่ฟังดูคลุมเคลือ หลังจากส่งเสียงแหลมที่อ่อนโยน เธอก็วางเท้าลงบนหัวของฉัน
ดูเหมือนเธอจะพยายามปลอบโยนฉัน ซึ่งฉันก็รับไว้ด้วยความเต็มใจและบอกไม่เป็นไร จากนั้นฉันก็ฝังใบหน้าของตัวเองลงที่คอของอายาเมะเพื่อซ่อนขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นมา
“แฮ่กๆๆ ในที่สุดก็ตามทันแล้ว”
“เอ๊ะโตะ นั่น……คือ?”
ขณะที่พวกเบลล์ซังเฝ้ามองการได้พบกันอีกครั้งที่น่าประทับใจของพวกเรา เสียงของท่านอาจารย์และอัศวินที่มาถึงทีหลังก็ดังขึ้น ไม่ใช่แค่อัศวินที่ไปเรียกท่านอาจารย์มา แต่เหล่าอัศวินคุ้มกันคนอื่น ๆ ก็เข้ามาอยู่ประชิดแค่เอื้อมโดยไม่รู้ตัว มือของทุกคนวางไว้บนด้ามดาบที่เอว
…..ใช่แล้ว พวกเธอยังไม่รู้เกี่ยวกับอายาเมะนี่นะ ถ้ามีหมาป่าสีทองตัวใหญ่กระโดดเข้าหาฉันที่เป็นคนภายใต้การคุ้มครองของพวกเธอ ก็ไม่แปลกที่จะรีบร้อนเข้ามากันแบบนี้
แต่เมื่อฉันทะยานเข้าหา และเริ่มกอดกันอย่างจริงจัง ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเธอจะมีสีหน้าสับสน
บางที ท่านอาจารย์ต้องรีบวิ่งไล่ตามอัศวินที่ออกตัววิ่งมาก่อนอย่างเต็มกำลัง ดังนั้นจึงไม่มีเวลาอธิบายให้ฟัง และถึงจะตามมาทันท่านอาจารย์ก็ยังมีอาการหายใจไม่ออกอย่างหนัก
หลังจากนั้นเบลล์ซังก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ให้กับอัศวินทั้งสามคน ฉันก็เริ่มเล่นกับอายาเมะ เมื่อสิ้นสุดการอธิบาย เบลล์ซังที่มองทางพวกเราก็ทำสีหน้าลำบากใจ หลังจากที่เห็นฉันเล่นกับอายาเมะด้วยการล้มตัวกลิ้งไปรอบ ๆ ทุ่งหญ้า
ถ้าเบลล์ซังเป็นสเตลล่าซังล่ะก็ เธอคงจะดุว่าไม่ควรเล่นแบบนี้ไปแล้ว ขอโทษค่ะ
“…….อะแฮ่ม”
“วาๆๆ”
ในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่ามีสายตาที่ไม่สามารถอธิบายได้กำลังเริ่มรวมตัวจ้องมา ฉันกับอายาเมะจึงยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ เบลล์ซังรีบเข้ามาจัดเสื้อผ้าให้ในทันทีด้วยเหตุผลบางอย่าง มิร่าซังกำลังร้องไห้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนเธอจะซาบซึ้งใจการพบกันใหม่ยิ่งกว่าพวกเรา
“…..อะ โอ้ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ คุณหนู ยินดีต้อนรับกลับ……สินะ?”
“…..อืม กลับมาแล้ว อาจาน อายาเมะ”
“ยังคงเรียกข้าว่าเช่นนั้นอยู่สินะ”
ท่านอาจารย์ยังคงหัวเราะอย่างร่าเริงไม่เปลี่ยน จากนั้นก็เสนอให้พวกเราเข้าไปในกระท่อมกันก่อน พวกเราจึงเข้าไปพร้อมขอบคุณ ต้องทำให้ท่านอาจารย์ทำอะไรโดยไม่จำเป็นอีกแล้ว ดูเหมือนเขาพยายามทำเป็นไม่กังวลเกี่ยวกับพวกเรา แต่ก็ดูอึดอัดอยู่นิดหน่อย
“ขอโทษด้วยที่ไม่มีเก้าอี้ที่ดีพอสำหรับต้อนรับขุนนาง……”
“ม๊ายเป็นร๊าย”
ก่อนที่ท่านอาจารย์จะพูดจบ ฉันก็นั่งลงจุดที่ต้องการทันที บางทีคงเพื่อป้องกันความเย็นจึงมีฟางวางไว้บนพื้นไม้ทำให้รู้สึกสบายอย่างน่าประหลาดใจ ไม่สิ ม๊า เมื่อเทียบกันแล้วก็ดีกว่าพื้นเย็น ๆ ที่โคโลนี่เป็นไหน ๆ ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในฐานะขุนนางแล้ว แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะลืมรากเหง้าของตนเอง
ฉันยิ้มให้กับท่านอาจารย์ที่กำลังงงงวย ก่อนบ่นว่าคุณหนูนี่ยังกับสาวชาวบ้านพร้อมฝืนยิ้มก่อนนั่งลงตรงหน้าฉัน หลังจากนั้นอายาเมะก็มานั่งเอาตัวโอบฉันไว้ ส่วนเหล่าอัศวินผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะรออยู่ที่นอกกระท่อม นอกจากนี้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใด ๆ ในสถานที่คุ้นเคยเช่นนี้ เหนืออื่นใดยังมีมิร่าซังที่เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ข้างกายอยู่ด้วย มิร่าซังยืนอยู่ข้างหลังฉันหนึ่งก้าวเคียงข้างกับเบลล์ซัง ฉันเงยหน้าขึ้นมองพวกเธอเพื่อกระตุ้นให้นั่งลงข้างกัน ทั้งสองคนมองหน้ากันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมนั่งลงหลังพ่ายแพ้ให้กับสายตาของฉันที่จ้องมอง
หลังเห็นทุกคนเข้าที่เข้าทางกันแล้ว ท่านอาจารย์ก็ตัดเข้าเรื่องทันที
“อือ…..คุณหนูมีเรื่องอะไรที่อยากได้ยินงั้นเหรอ?”
“อืม อาโนเน๊ะ ตอนนี้ผู้คนทั่วไปในมาเรียน่ารู้สึกยังไงบ้าง แล้วก็ทำไมเหตุการณ์ผลผลิตย่ำแย่ถึงเกิดขึ้น อยากให้ช่วยบอกเรื่องที่รู้มาให้ที”
ฉันเลือกคำที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดกับลิ้นที่ยังแข็งของตัวเอง
วัตถุประสงค์เดิมคือ การถามท่านอาจารย์ถึงสถานการณ์ของมาเรียน่าจากมุมมองของสามัญชนและสถานการณ์ของคนทั่วไป นอกจากนี้ยังเพิ่มสิ่งที่ฉันต้องการจะรู้เข้าไป สาเหตุของการเกิดเหตุผลผลิตย่ำแย่
ท่านอาจารย์แปลกใจเล็กน้อย ก่อนมองไปหาเบลล์ซังกับมิร่าซังเพื่อยืนยัน เมื่อทั้งสองคนหยักหน้ากัล ไม่นานก็เริ่มพูดคุยกัน
“…..อย่างแรกขอยืนยันให้ถูกต้องก่อนว่าความรู้สึกของพวกข้าที่ว่าคือ ให้พูดถึงผลกระทบจากความอดอยากหรืออะไรพวกนั้น ถูกต้องไหม?”
“อืม”
ไล่ระดับจากความอดอยาก แน่นอนว่าการทำความเข้าใจเรื่องนั้นก็รวมอยู่ด้วย ฉันกระตุ้นให้ไปต่อ ฉันคิดว่าเขากำลังลังเลที่จะถึงเรื่องที่เหมือนเป็นการกระทำต่อต้านระบบโดยเฉพาะต่อหน้าฉันที่เป็นขุนนาง
ยังไงก็ตามฉันก็ต้องการได้ยินหากมีเรื่องในทิศทางนั้น ท่านอาจารย์พูดต่อโดยไม่สนว่าจะมีถ้อยคำเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านสายตามาหรือไม่
“นั่นสินะ…..เมื่อกี้ได้เห็นฟาร์มกันแล้วใช่ไหมล่ะ ไม่ว่าจะที่ไหน……ไม่สิ นาทีนี้ไม่มีที่ไหนเก็บเกี่ยวไปได้ดีกว่าฟาร์มของข้าอีกแล้ว ผลผลิตมีแต่จะเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ แทบทุกบ้านกำลังจะหมดเงินที่เก็บออมมา ผู้คนเริ่มไม่พอใจกับเรื่องราวอันดำมืดครั้งนี้แล้ว”
“…….อืม”
อย่างที่ฉันรู้สึกตอนที่เห็นฟาร์ม เป็นสถานการณ์ที่แย่มาก เมื่อรวมกับสิ่งที่ได้ยินมาจากคลอริน่าซังแล้ว ทำให้สามารถมองเห็นความเป็นจริงที่สำคัญยิ่งชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
ฉันมีสถานะสูงส่ง ทำให้ได้รับรู้ฉากหน้าเพียงผิวเผิน แต่ทว่าการได้เห็นคนที่นับสัมพันธ์เป็นเหมือนญาติสนิทกำลังพูดด้วยท่าทางที่ทุกข์ยากเช่นนี้ ทำให้ฉันสามารถรับรู้ถึงความหนักอึ้งของความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี
ว่าแล้ว ดูเหมือนจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว สำหรับพวกเขา
“แต่ว่ากับคนอื่นจะเป็นยังไงข้าไม่ทราบ แต่อย่างน้อยที่นี่ ข้าก็ไม่ได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับความเกลียดชังที่มีต่อขุนนางมากนัก”
เรื่องที่ได้ยินต่อจากนั้นมีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ได้ยินจากคลอริน่าซัง อย่างที่คิดไว้ดูเหมือนคุณพ่อจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทุกคน การได้ยินเรื่องเดียวกันจากคนสองคนที่สถานะแตกต่างกันทำให้ความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ฉันรู้สึกขอบคุณท่านอาจารย์ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องส่วนใหญ่เรียบร้อยแล้ว มาต่อกันที่เหลืออีกหนึ่งเรื่อง
ใช่แล้ว เกี่ยวกับสาเหตุแรกเริ่มที่ทำให้เกิดภาวะผลผลิตย่ำแย่
“ส่วนเรื่องสาเหตุของผลผลิตย่ำแย่……ต้องขอโทษคุณหนูด้วย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นอกจากนั้น สภาพอากาศเองก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปกว่ายามปกติเลย แต่แบบนั้นพืชผลก็ยังเติบโตได้ไม่ดี”
“…….งั้นเหรอ”
สิ่งที่ได้กลับมาคือ เป็นข้อสรุปเดียวกับฉัน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ตาม ก็มีแค่พืชผลเท่านั้นที่ไม่เติบโต ทุกคนดูเหมือนจะมีปลายทางอยู่ที่เดียวกัน นั่นคือ ไม่รู้
……ม๊า ฉันก็ไม่ได้ถามเพราะคิดว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนแต่แรกอยู่แล้ว ก็แค่พอสังเกตเห็นอะไรบางอย่างก็เลยถามอย่างนั้นออกไป
ฉันพยายามขอบคุณ ท่านอาจารย์ที่กำลังเกาแก้มเสียใจ บอกว่าไม่เป็นไรกลับมา ……ทันใดนั้น
“หืม……อาจาน นั่น คืออาร๊าย?”
จู่ ๆ ก็มีบางอย่างเข้ามาในดวงตาของฉัน คืออะไร ถ้าให้พูด รูปร่างเหมือน”บัวรดน้ำต้นไม้”
แต่น่าแปลกที่ไม่มีส่วนใส่น้ำและกักเก็บน้ำไว้ มีทางน้ำออกที่แทบเกือบจะเป็นแท่งเรียวยื่นออกมาจากปลายด้ามจับ
ถังเก็บเก็บน้ำที่ควรจะอยู่ตรงกลางไม่มีอยู่ และส่วนที่ยื่นออกมาเล็กน้อยก็ดูไม่เหมือนโครงสร้างที่จะสามารถปล่อยน้ำจำนวนมากออกมาได้เลย
เมื่อท่านอาจารย์มองตามสายตาของฉันไปก็ร้อง อ้า ออกมา และเขาหยิบเครื่องมือลึกลับขึ้นมา พร้อมกับพูดรำลึกถึงด้วยความหวยหา
“นี่คือท่อรดน้ำ เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ที่จะทำการโปรยน้ำออกมาตามชื่อเลย จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ชาวสวนส่วนใหญ่ยังใช้สิ่งนี้อยู่จริง ๆ แต่…..หลังจากสงครามกับจักรวรรดิ การส่ง”หินเวทมนตร์”เข้าสู่ตลาดก็หยุดไป และมาถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครใช้กันอีกแล้ว”
“ใช้มานาน หรือยัง?”
“อา ของข้าก็นานพอดู ข้าได้ยินจากพ่อค้าตอนที่ซื้อมาใช้ว่า ดูเหมือนจะเริ่มใช้กันมาเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว”
ท่านอาจารย์พูดไประหว่างนั้นก็ถูด้านนอกของอุปกรณ์แสนสะดวกไปพลาง ๆ เป็นแบบนั้นเอง แต่ก็ยังไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นอยู่ดี ยังไงก็ตาม การรับรู้ของฉันก็สัมผัสเข้ากับบางอย่าง อะไรนะ คืออะไร บางสิ่งบางอย่างตอนนี้ สำคัญ…..
“…..――――หิน เวทมนตร์?”
บีบแน่น ความคิดแล่นเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ฉันโฟกัสไปที่”บางสิ่ง”ที่ดูเบลอ
…..หรืออาจเป็นความคิดที่ไร้สาระ ยังไงก็ตามก็ยังดีกว่าปล่อยให้การพูดคุยผ่านไปพร้อมกับรอยยิ้มที่หายไป
―――ใช่แล้ว หินเวทมนตร์ “หินเวทมนต์”ล่ะ ท่านอาจารย์บอกว่านี่เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ที่ใช้หินเวทมนต์เป็นพลัง นิยมใช้กันจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วหินเวทมนตร์คืออะไร หินเวทมนตร์คือมวลของพลังเวทมนตร์ที่อัดแน่น แล้วพลังเวทมนตร์คืออะไร
“พาลัง ชีวิต”
ใช่แล้ว พลังเวทมนตร์คือพลังชีวิต พลังงานไงล่ะ ฉันยังไม่ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง แต่เท่าที่ได้ยินมาจากชั้นเรียนที่โรงเรียน ดูเหมือนจะไม่มีความขัดแย้งในคำจำกัดความของพลังเวทมนตร์ และฉันมีสัญชาตญาณที่สามารถรับรู้ถึงพลังเวทมนต์ได้
ถ้าอย่างงั้น ถ้าอย่างงั้นแล้ว หากพลังเวทมนตร์คือพลังชีวิต หินเวทมนต์ก็คือมวลพลังชีวิต เช่นนั้นน้ำที่ผลิตออกาล่ะ ก็คือกลุ่มก้อนพลังชีวิตใช่ไหม
――――กล่าวอีกอย่างพลังชีวิตนั้นเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับพืชผลใช่หรือไม่
“หินเวทมนตร์ ข้อจำกัด การหมุนเวียน ราชา”
“อริซซามะ….?”
ทั้งช่วงเวลาของการปลูกพืชผลที่ย่ำแย่และข้อจำกัดการกระจายหินเวทมนตร์ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน จากที่ได้ยินเหตุการณ์ผลผลิตย่ำแย่ติดต่อกันในช่วงนี้เริ่มต้นเมื่อฉันอายุได้สี่ขวบ
เรื่องการแจกจ่ายหินเวทมนตร์ที่ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ฉันได้ยินมาจากเบลล์ซังในวันหนึ่งที่พวกเราเดินเล่นในห้องครัวของคฤหาสน์ด้วยกัน และช่วงเวลานั่นที่เกิดการจำกัดการจำหน่ายอย่างเข้มงวด…..ตามที่ท่านอาจารย์พูดถึงนั่นคือหลังจากสงครามกับจักรวรรดิ…..กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่คุณพ่อได้เป็นลอร์ดครองดินแดนที่นี่ และได้ลงเอยกับคุณแม่
ในจุดนี้ ความทรงจำของคุณแม่ได้ให้ข้อมูลไทม์ไลน์ที่ละเอียดมากขึ้น หากตามความทรงจำไป เมื่อเจ็ดปีที่แล้วได้มีการบังคับใช้ข้อจำกัดในการแจกจ่ายหินเวทมนตร์โดยเฉพาะ ประมาณหนึ่งปีก่อนที่ฉันจะเกิด จากนั้นก็ดูเหมือนว่าการจำหน่ายในตลาดก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเช่นกัน
ในช่วงเวลาที่ใกล้จะคลอดฉัน ก็แทบไม่มีของใหม่ในตลาดอีกต่อไป มีการกักตุนของประชาชนเกิดขึ้นทั่วราชอาณาจักร แน่นอนว่ามีการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันในมาเรียน่า จากนั้นดูเหมือนพวกเขาจะใช้หินเวทมนตร์ที่เก็บไว้อย่างระมัดระวังทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย แต่ในด้านหนึ่งของการบริโภค สักวันคงหมดไปเป็นธรรมดา
และเพื่อยืนยันความถูกต้องของ”นั่น” ฉันจึงถามท่านอาจารย์อีกหลายคำถาม
“หินเวทมนตร์…..หินเวทมนต์ของทุกคนหมดจนต้องหยุดใช้ท่อรดน้ำหยุดใช้เมื่อไหร่?”
“ปะ เป็นอะไรไปเหรอคุณหนู เรื่องนั้น….เอ๊ะโตะ เรื่องนั้นน่าจะประมาณสามปีมาแล้ว
“สามปี….”
“อะ อ้า ใช่แล้ว มีอะไรยังงั้นรึ?”
…..อ้า อ้า ใช่แล้ว แบบนั้น แน่นอน ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน
ถ้าเกิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากน้ำที่สร้างจากหินเวทมนตร์ของท่อรดน้ำมีพลังเวทมนตร์ที่กลายเป็นแหล่งสารอาหารที่ไม่สามารถทดแทนได้สำหรับพืชไปแล้ว หรือบางทีการโดนรดด้วยน้ำนี่มากว่าร้อยปีจะทำให้พืชวิวัฒนาการปรับตัวให้เหมาะสมเพื่อให้สามารถใช้พลังเวทมนตร์เป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากจู่ ๆ แหล่งอาหารหยุดหายไปกลางคัน
เมื่อสามปีที่แล้วไม่มีการใช้ท่อรดน้ำอีกต่อไปเนื่องจากข้อจำกัดในการกระจายหินเวทมนตร์ ข้ามช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมื่อสองปีที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นปีแรกของการเพาะปลูกที่เลวร้าย พืชผลที่ย่ำแย่เริ่มเห็นได้อย่างัดเจน
……สำหรับฉันไม่คิดว่าทั้งสองเรื่องจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง
แต่ก็ยังเร็วไปที่จะมั่นใจ ฉันต้องเอาไปคุยกับคุณพ่อ คุณตา และลาบริกซ์ซังให้เร็วที่สุดเพิ่อทำให้แน่ใจ และหากนี่เป็นความจริง อาจจะเป็นหนทางช่วยชีวิต แก้ไขความหิวโหยของราชอาณาจักร
“อ้า………ขอบกุณ…… !”
“อุว๊าก!?”
เพราะแบบนั้น
“ขอบกุณก่ะ อาจาน!”
“คะ คุณหนู รอก่อน หยุดก่อน! น็อกซ์เบลซังทำไมทำหน้าแบบนั้นกัน――――ฮี่!?”
……เพราะแบบนั้น เพราะประทับใจมาก ๆ จึงแสดงออกด้วยการกอดท่านอาจารย์อย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าที่ฉายความว่างเปล่า(ความรัก)ออกมาของเบลล์ซัง ทำให้ท่านอาจารย์ที่เป็นนักล่าทหารผ่านศุกรุ่นเก๋ายังต้องหวาดหวั่น