[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 39 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 19 ความฝันของการเกิดใหม่
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 39 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 19 ความฝันของการเกิดใหม่
ตอนที่ 19 ความฝันของการเกิดใหม่
“ว้าว”
“ข้าเองก็พึ่งเคยเห็นข้างในเป็นครั้งแรกเหมือนกัน……”
เลยประตูโรงเรียนเข้าไปเป็นเหมือนประเทศเล็กๆ
ที่ใจกลางของจัตุรัสซึ่งแยกออกจากเมืองด้วยอาคารและประตู มีวัตถุศิลปะที่ตกแต่งอย่างประณีตกำลังพ่นน้ำด้วยแรงคงที่ ละลองน้ำแตกกระจายสะท้อนแสงระยิบระยับ
จากความรู้ที่ฉันมีอยู่ สิ่งนั้นอาจเรียกว่าน้ำพุ มีถนนปูด้วยหินเริ่มจากที่นั้นแยกออกไปหลายทิศทางตั้งแต่ซ้ายขวา หลังและมาจนถึงประตูทางเข้าที่พวกเรายืนอยู่ ฉันคิดว่าน้ำพุใช้กลไกในการปล่อยน้ำโดยใช้ปั๊ม แต่จะเป็นคล้ายๆกันใช่ไหมนะ หรือจะเคลื่อนไหวด้วยเวทมนตร์กัน
ฉันมองไม่เห็นคุณพ่อกับเบลล์ซังที่กำลังคุยกับคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนเฝ้าประตู ส่วนฉันอยู่ข้างมิร่าซังที่กำลังจ้องมองไปที่ภาพอันงดงามที่ทำให้รู้สึกถึงความสงบ
“สวย”
โรงเรียนเงียบมากๆ เป็นช่วงปิดเทอมหรือว่ากำลังอยู่ในชั้นเรียนกันนะ หากตั้งใจฟังก็สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงของความวุ่นจากถนนที่ห่างออกไป
ฉันรู้สึกได้รับการเยียวยาขณะฟังเสียงน้ำพุ คุณพ่อกับเบลล์ซังเดินมาจากด้านหลังพร้อมกับคนเฝ้าประตู ดูเหมือนว่าขั้นตอนต่างๆจะเสร็จสิ้นแล้ว
“ดูเหมือนว่าเขาจะไปเรียกผู้ทำหน้าที่นำทางมาในทันที …..อ้า น้ำพุรึ สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะใช้หินเวทมนตร์ ในราชอาณาจักรมีเพียงที่นี่ ปราสาทของราชวงศ์ คฤหาสน์ของชนชั้นสูง และสำนักงานใหญ่ของศาสนจักรเท่านั้น”
“งั้นเหรอก่ะ”
อย่างที่คิด ดูเหมือนจะทำงานด้วยเวทมนตร์ ฉันไม่รู้หลักการทำงาน แต่ฉันแน่ใจจะสามารถเข้าใจได้ถ้าได้เข้าเรียนที่นี่ ในตอนแรกที่พูดถึงหินเวทมนตร์ ฉันรู้แค่ว่าเป็นทรัพยากรที่มีพลังเวทมนตร์เพียงเท่านั้น หากธรรมชาติของเวทมนตร์เปลี่ยนไปตามแต่ละคน หินเวทมนตร์เองก็มีลักษณะเฉพาะกับวิธีใช้ที่ถูกต้องเช่นกันใช่ไหม ไม่มีวี่แววว่าความสนใจในเวทมนตร์ของฉันจะหมดลง
“ดิฉันกำลังรอท่านอยู่เลยค่ะ อริซ・ฟอน・แฟร์มีลซามะ ทางเราจะติดต่อผู้รับผิดชอบให้ในทันที ดังนั้นได้โปรดรอสักครู่นะคะ”
“สวัสดีก่ะ ขอบคุณมากก่ะ”
“…..ไม่ค่ะ ไม่หรอกค่ะ นี่เป็นงานของดิฉันค่ะ”
ดูเหมือนคนเฝ้าประตูจะรับหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับด้วย――――ไม่สิน่าจะบอกว่ามาทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูด้วยจะถูกต้องกว่า――――หญิงสาวเบิกตากว้างขึ้นราวกับว่าเธอกำลังประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็วิ่งไปที่ส่วนหน้าของตึกที่อยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประตูที่เชื่อมต่อกับเมือง คราวนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งออกจากป้อมและย้ายไปที่หน้าประตูเพื่อแทนที่เธอ แม้เมืองหลวงจะดูปลอดภัย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีการละเลยเรื่องความปลอดภัย
เพียงอย่างเดียวก็สามารถเพิ่มความไว้วางใจโรงเรียนนี้ได้
อย่างน้อยคนเฝ้าประตูทุกคนก็ดูซื่อสัตย์ต่องานของตน
“อริซซามะ อยากจับมือไหมคะ?”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ปรากฎตัวที่หางตาพร้อมกับถาม แต่เธอไม่ได้มองมาที่ตาของฉัน ฉันมองไปที่ตาของเธอก็พบกับความกังวลอยู่ข้างใน พอลองมองตามแนวสายตาของเธอไป ฉันก็ได้เห็นมือของตัวเองที่กำลังสั่นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกสลักลงไปในจิตใต้สำนึก หรือลึกลงไปในที่ที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ และแม้ฉันจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ในส่วนตื้นของจิตใจ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะยังคงหวาดกลัวต่อพื้นที่ที่ไม่รู้จักและยังหวาดระแวงผู้คนอยู่
บางทีการสั่นสะท้านบนทางหลวงนั้นก็เช่นกัน
……ไม่สิ
“เพราะ คล้ายกัน…….?”
ฉันพึ่งสังเกตเห็นว่าพื้นที่ที่นี่มีรูปแบบที่คลับคล้ายกับตลาดในมาเรียน่า
อาคารต่างๆตั้งเรียงรายรอบจัตุรัส และน่าจะมีคนจำนวนมากอยู่ในนั้น
เข้าใจแล้ว เป็นอาการกลัวที่เกิดจากรีเฟล็กซ์ที่ตรงตามเงื่อนไขที่ได้รับมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เพียงเพราะฉันเข้าใจแล้ว ไม่ได้หมายความว่าฉันจะสามารถจัดการได้ในทันที ฉันจึงตัดสินใจตอบรับเบลล์ซังอย่างว่าง่าย
“อืม”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แม้ว่าคุณพ่อ และมิร่าซัง ซึ่งรู้ตัวช้ากว่า ดูเหมือนจะกังวลและรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ฉันก็จับมืออันบอบบางและสวยงามของเบลล์ซังอย่างนุ่มนวลและมั่นคง
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ทุกคนอยู่ที่นี่เช่นกัน”
“อืม”
ยังไงก็ตามเมื่อฉันถูกเอาใจในใจกลางโรงเรียนที่เงียบสงบเช่นนี้ ฉันก็เกิดรู้สึกอายขึ้นมาเมื่อคิดว่าอาจจะมีคนที่กำลังแอบดูฉันจากในอาคารอยู่ ฉันรู้ว่านั้นเป็นเรื่องที่คิดไปเอง แต่ฉันก็ก้มหน้าลงหลบอยู่ดี
“อริซซามะ……..”
จากนั้นเบลล์ซังก็ส่งเสียงแหบพร่าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดใจ
อ้า ดูเหมือนเธอจะเข้าใจเหตุผลที่ฉันก้มหน้าผิดไป
“ม๊ายเป็น――――”
“ได้โปรดอย่าฝืนเลยนะคะ”
“เอ๊ะ”
คิ๊ว ช่วงหว่างระหว่างนิ้วถูกเติมเต็มอย่างแนบแน่นในช่วงเวลาเดียวกันกับคำพูดที่เปร่งออกมา
นิ้วของเบลล์ซังสอดประสานเข้ามาระหว่างนิ้วของฉัน นิ้วทั้งห้าของฉันเกี่ยวพันกับนิ้วทั้งห้าของเบลล์ซัง นิ้วของพวกเราเชื่อมประสานกันอย่างลึกซึ้ง และนุ่มนวล
“บะ เบลล์………. !?”
“คะ อริซซามะ?”
“น่ะ……นี่น่ะ ………เรื่องของท่านอัศวินกับเจ้าหญิง…….”
ฉันโชว์มือที่เชื่อมต่อกันให้กับเบลล์ซังที่กำลงัมองมาที่ฉันที่หัวหมุนจนนึกคำพูดต่อไปไม่ออก ฉันสับสนจนใช้วิธีพูดอ้อมๆได้แย่มาก
ทันใดนั้นมิร่าซังก็ส่งเสียงในแบบที่เกือบจะเป็นการตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบขัดจังหวะเบลล์ซังที่กำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“ชะ ใช่แล้ว น็อกซ์เบลซัง! บะ แบบนี้เหมือน…….คะ คนรักกันเลยนะสิ……ขะ ข้าไม่ได้อิจฉาหรอกนะ―――― คนในโรงเรียนจะเข้าใจผิดกัน!”
“………. อ๊ะ!? มะ ไม่ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น!?”
หลังจากเงียบไปสองสามวินาที เบลล์ซังก็ส่งเสียงตื่นตระหนกตกใจอย่างเร่งรีบ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอสังเกตเห็นแล้ว นี่ฉันมีสติมากกว่าอย่างงั้นเหรอ
เราสองคนหน้าแดงเหมือนแอปเปิ้ล และคุณพ่อที่เฝ้าดูอยู่ก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ ….จริงๆเลย นี่เป็นเครื่องหมายของความเชื่อใจกันไงล่ะ เบลล์ หลังจากนี้เจ้าต้องหาเวลามาสู่ขออริซกับข้าอย่างเหมาะสมแล้ว”
“ฮะ ฮัททีเรียซามะ………. !”
“คุๆๆ ฟู๊….ฮา ไม่สิ ขอโทษด้วย ข้าล้อเล่นมากไปหน่อย ถ้าอริซอายุประมาณสิบขวบก็คงมองเป็นอะไรแบบนั้นได้บ้าง แต่อย่างดีที่สุดก็คงเห็นเป็นพี่สาวน้องสาวแสนดีมากกว่าเท่านั้น”
“ดิฉันแค่ต้องการสร้างความสบายใจให้อริซซามะเท่านั้นเอง! อือ ไม่สิ ขออภัยด้วยนะคะอริซซามะ……”
จริงๆเลย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มือฉันสั่น
มือของเบลล์ซังกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
“…….อริซซามะ?”
ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันก็บีบมือแน่นเพื่อหยุดยั้ง
“เอ๊ะ…….อาเร๊ะ?”
“อยากให้จับแบบนี้ต่อไปหรือคะ?”
“เอ๊ะ เอ๊ะโตะ………”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เบลล์ซังลูบผมของฉันที่กำลังสับสนเป็นจังหวะเบาๆ ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรับไว้และยิ้มอย่างมีความสุข
ทำไมไม่รู้คุณพ่อกับมิร่าซังถึงได้หยิกแก้มตัวเอง
“ชอบที่บอกว่าเป็นพี่สาวน้องสาวงั้นรึ หรือว่า……ไม่สิ แบบนั้นออกจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่เมื่อข้ามองไปเบลล์กับอริซ ก็รู้สึกทำให้ผ่อนคลาย”
“……ข้าก็เจ็บใจเหมือนกันค่ะ แต่ข้าคิดเสมอว่าน็อกซ์เบลซังเป็นคนที่สามารถดึงเสน่ห์ของฮิเมะออกมาได้มากที่สุดแล้วค่ะ”
จากนั้นมิร่าซังก็พยักหน้ากับคุณพ่อแบบเดียวกับที่เธอเคยทำกับเบลล์ซัง นึกอยู่แล้ว ฉันโดนทิ้งอีกแล้ว แต่วันนี้เบลล์ซังอยู่กับฉัน
“…….ฟุๆๆ เข้าใจแล้วค่ะ ตามที่อริซซามะต้องการ ถ้าเช่นนั้นดิฉันควรจะเป็นพี่สาวด้วยไหมค่ะ?”
เบลล์ซังพูดถามอย่างติดตลกได้วางยาตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหลังจากเรื่องทั้งหมดถึงกลายเป็นการเอาอกเอาใจได้ แต่ดูเหมือนเบลล์ซังจะมี“ความสุข”ที่ได้เป็นพี่สาว ดังนั้นฉันเลยจะเล่นเรื่องตลกนั้นตามด้วยอีกคน
“เบลล์โอเน่จัง”
“――――กุฮี้!?”
“เบลล์”
“ค่ะ”
ในระหว่างที่ฟังคุณพ่อกับเบลล์ซังคุยกันด้วยประโยคที่เหมือนเพิ่งจะเคยได้ยินไป ฉันเอียงหัวมองไปที่อาคารตรงข้ามน้ำพุที่คนเฝ้าประตูหญิงเดินเข้าไป
ฉันแน่ใจว่าคนนำทางจะมาในเร็วๆนี้
“ฮิเมะ ข้าด้วย ได้โปรดเรียกข้าว่าโอเน่จังสักครั้ง……ไม่สิ ได้โปรดเรียกโอเน่ซามะทีเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ”
“มิแรนด้าซัง”
“ขออภัยด้วยค่ะ”
นี่เป็นบทสนทนาที่กำลังเป็นที่นิยมกันเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเป็นครั้งที่สี่ของวันแล้ว
ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่านี่อาจจะเป็นเหมือนกับการสนทนารูปแบบเฉพาะประจำอาณาจักร แต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านั้น ฉันก็เห็นประตูเปิดออกจึงหยุดคิดไปก่อน
“ดูเหมือนว่าจะมาแล้วสินะ”
“วาคุวาคุ”
“อริซซามะ ความรู้สึกรั่วออกมาหมดแล้วค่ะ”
“เอ๊ะ”
“…..ไม่ค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ”
ฉันรีบตรวจดูใต้กระโปรงแล้วก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นการปฏิเสธของเบลล์ซัง
ฉันนึกว่าต้องกลับไปที่ผ้าอ้อมอีกครั้ง
“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ ทางนี้คือ”
“อริซยะ! ขอโทษที่ทำให้รอเน้อ โอจี่จังมาพาเที่ยวแล้ว”
คนนำทางที่คนเฝ้าประตูหญิงพากลับมาคือ……..
“กทจี่ซามะ!?”
“โอ้ จี่จังเอง เป็นอะไรไปรึ?”
นี่เรื่องอะไรกันน่ะ ฉันมองด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดคุณตาก็ตบมือจากนั้นก็มองไปที่คุณพ่อ
คุณพ่อส่งเสียงเพียง อะ ออกมา คุณตากุมหน้าผาด้วยความช็อก
คนเฝ้าประตูฝืนยิ้มให้กับท่าทางนั้น ก่อนกลับไปที่ป้อมอย่างเงียบๆ
“แล้ว เจ้าลืมบอกอีกแล้วสินะ ฮัททีเรีย”
“…….ตามที่ท่านพ่อตากล่าวเลยครับ”
“ไม่ๆ ไม่เอาสิ ข้าควรจะเป็นคนที่บอกเอง”
“เอ๊ะ เอ๊ะ?”
เบลล์ซังลูบผมฉันพร้อมฝืนยิ้มยิ่งสร้างความสับสน
คุณตามาทำอะไรที่นี่กันน่ะ?
“อีกครั้งน่ะ อริซ ข้าชื่อ แม็กพ็อด・มอริสตา จี่จังของอริซ ที่นี่……..”
คุณตาพยายามยืดอกอย่างภูมิใจในสายตาสงสัยของฉัน
“เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนของ〝โรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย〟 แห่งนี้ไงล่ะ”
“…………..เอ๊ะ……….. !?”
เห็นได้ชัดว่าคุณตาของฉันจะชอบทำให้ฉันประหลาดใจ
ควรมีความสมเหตุสมผลและยืดหยุ่นมากกว่านี้
ประการแรกการเที่ยวชมโรงเรียน ฉันคิดว่าจะมีผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆอีกหลายคน
ยังไงก็ตามเมื่อฉันมาถึงที่โรงเรียนก็ดูเหมือนว่าจะมีฉันแค่คนเดียวที่นี่ เหตุผลดูเหมือนจะไม่มีเลย
ฉันยังสงสัยว่าจะมีการดำเนินการแบบนี้ทุกครั้งที่มีความประสงค์จากผู้สมัครเรียน แต่แบบนั้นก็จะทำให้การเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ เพราะนักเรียนจะไม่สามารถมีสมาธิได้หากมีผู้มาเยี่ยมชมในเวลาที่ไม่แน่นอน
แล้วทำไม ฉันถึงได้มา“เยี่ยมชม”แบบนี้ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ทำกันโดยทั่วไปได้กัน ในที่สุดฉันก็เข้าใจเหตุผล
“ผู้อัมนวยการ……”
“อ้า ผู้อำนวยการโรงเรียน”
“เอ๊ะ”
ฉันพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ฉันพยายามที่สุดแล้วแต่เพราะเซอร์ไพรส์มากไปจนรู้สึกช็อก
ฉันสงสัยว่าการเยี่ยมชมครั้งนี้เป็นการดึงดันยัดเยียดให้เกิดขึ้นรึเปล่า
เป็นเรื่องปลอดภัยที่จะบอกว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นญาติ แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างอายและน่ากังวลว่าจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกต่อต้าน หากโดนบอกว่าการเยี่ยมชมครั้งนี้เกิดจากความลำเอียงก็เถียงไม่ออกเลย
หรือบางทีอาจเป็นข้อยกเว้นที่เบลล์ซังกับมิร่าซังมาด้วย
“ดีแล้วเหรอก่ะ? นั่น……”
“…..อ้า ก็มีการใช้อำนาจอยู่นิดหน่อย แต่บางครั้งที่เด็กชนชั้นสูงสมัครเข้าก็มีการเยี่ยมชมและแนะนำเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่การที่ข้าลงมาเองแทบไม่มีเลย”
“ไม่ดีจ๊า”
ไม่ดีจ๊า
ว่าแล้ว ดูเหมือนจะมีความลำเอียงอยู่ครึ่งๆ ฉันก็รู้สึกเสียใจด้วยมากๆ
ทันใดนั้นคุณตาก็หัวเราะในแบบที่แตกต่างจากที่เคยเห็น
“แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอริซเป็นหลานของจี่จังหรอกนะ แบบนั้นจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อนักเรียนคนอื่นๆ”
“งั้น จะทำยังไงกะ?”
“อริซมีพรสวรรค์เพียงพอสำหรับการลงทะเบียนเรียนแล้ว”
“พรสาวรรค…….?”
บางที“เวทมนตร์ที่แท้จริง”ของฉันอาจจะถูกรู้แล้ว
แต่ว่า เรื่องนั้นถูกเก็บไว้เป็นความลับแม้แต่กับคุณพ่อ
“จี่จังได้ยินมาว่าหลานสามารถเข้าใจเรื่องภาษีได้ตอนอายุสี่ขวบ ไม่เพียงแค่นั้นข้ายังได้ยินเรื่องอื่นๆมาอีกว่าอริซเข้าใจในเรื่องที่เกินกว่าวัยของตัวเอง และข้ายิ่งเชื่อมั่นหลังได้คุยกับอริซจริงๆในวันนั้น”
“เชื่อมั่น?”
“อ้า จี่จังแน่ใจ ว่าหลานสามารถเข้าโรงเรียนได้โดยไม่ต้องรอให้โตก่อนเพื่อที่พรสวรรค์จะได้ไม่สูญเปล่า”
……..ว่ายังไงดี ดูเหมือนคุณตาจะคิดว่าค้นพบ“พรสวรรค์”ของฉันให้แล้ว
แน่นอน เพราะฉันมีความทรงจำที่เคยทำด้วยตัวเองมาทั้งหมดแล้ว ฉันตระหนักได้แล้วว่าการพูดเรื่องภาษีออกไปคงจะเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือธรรมดา
“แต่”
แต่ยังไงก็ตามทั้งหมดนั้นเป็นเพราะประสบการณ์ที่ติดตัวมาจากชาติก่อน
ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเรียกว่าพรสวรรค์ของฉันได้เลย
――――คุณตาลูบหัวของฉันเบาๆ
“ใจเย็นเอาไว้ ไม่เป็นไรหรอก จี่จังไม่รู้หรอกนะว่าหลานกำลังกังวลใจเรื่องอะไร ……จากาโน่”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณตาตามเสียงนั้น เขามีใบหน้าที่เศร้ามากๆ
เหมือนกับตอนเบลล์ซังที่กำลังร้องไห้ขอไม่ให้ฉันหายไป
“ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อริซก็คืออริซ”
เพล้ง ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งแตกลง
“ตัวอย่างเช่น หากมีผลแมเรียนที่สีแตกต่างจากผลอื่นๆเพราะ ยังโตไม่เต็มที่ …….และอริซยังกินไม่ได้ หลานจะทิ้งผลนั้นไปเลยไหม?”
ดวงตาของคุณตาที่กล่าวสั่งสอนนิ่งๆเต็มไปด้วยความเมตตาและความรัก คำพูดนั้นฝังลึกลงไปในตัวฉันจนสตั้น
“จี่ซามะ……”
…….ใช่แล้ว เพียงเพราะมีบางอย่างที่อาจจะแตกกันเล็กน้อย แล้วยังไงล่ะ
แน่นอนว่าทุกอย่างจนถึงตอนนี้อาจมาจากความทรงจำและประสบการณ์
แต่ใครเป็นเจ้าของความทรงจำและประสบการณ์นั้นกัน
เป็นของฉัน
ถ้าเช่นนั้นแล้ว นั้นก็คือฉัน
“ไม่ทิ้ง”
“ถูกต้องแล้ว แมเรียนที่ดูน่าขันนั้น อาจเป็นผลที่อร่อยที่สุดก็ได้ การนึกภาพสิ่งที่เลวร้ายที่สุดและเตรียมพร้อมไว้ แตกต่างจากการมองโลกในแง่ร้ายแล้วยอมแพ้ทุกอย่าง”
――――『ดิฉันรักอริซซามะ ไม่ว่าคุณจะเป็นขุนนางหรือสามัญชน? 』
เบลล์ซังพูดในวันหนึ่ง
เธอบอกว่าเธอชอบ “ ฉัน ”
ดังนั้นการที่ฉันคิดในแง่ลบเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนหน้านี้ซึ่งแน่นอนว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน นั้นก็คือการปฏิเสธความรู้สึกนั้นเช่นกัน
“นอกจากนี้ พรสวรรค์ที่พูดถึงก็ไม่ได้มีแค่ความฉลาดของหลานเท่านั้น”
คุณตายิ้มให้ฉันแล้วพูดต่อ
ทุกคนจับจ้องมาจากด้านหลัง
“หลานรู้ไหม เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวลือที่แพร่กระจายไปในหมู่ประชาชนทั่วไปในเมืองหลวง?”
“ข่าวลือ……?”
“อ้า ข่าวลือ……..ที่ว่ามีเด็กสาวสูงศักดิ์ที่ดูราวกับนักบุญได้ช่วยเหลือประชาชนทั่วไป ปกป้องเขาจากหมาป่าสีทองที่หิวโหยและน่ากลัว นอกจากนี้ยังพยายามแม้แต่ที่จะช่วยหมาป่าสีทองด้วย”
“เอ๊ะ……….”
……นั่น ใช่เลย
ฉันรู้สึกถึงสายตาอันอบอุ่นของคุณพ่อกับเบลล์ซังจากด้านหลังของฉัน
หลังจากนั้นมิร่าก็เบิกตากว้าง
“เด็กสาวผมสีเงินที่ดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์เพื่อรักษาผู้คน”
“นั่น……….”
คุณตาลูบหัวฉันที่ประหลาดใจจนตัวแข็งทื่อ
ฉันแน่ใจว่าฉันเห็นเขายิ้มเหมือนชายชราคนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนหรือคุณตาของฉัน
“การยืนหยัดเพื่อใครสักคนเป็นความสามารถอันยอดเยี่ยมที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด”
ในที่สุด ฉันก็รู้สึกเหมือนฉันได้เป็น “ฉัน”
ความทรงจำจากชาติก่อนได้ทำให้ฉันรู้สึกเหินห่างจากโลกนี่โดยไม่รู้ตัว
……บางทีเบลล์ซังอาจจะรู้สึกได้ และพยายามบอกอย่างรอบคอบ
ความอบอุ่นของมือที่ยังคงเชื่อมต่อกันทำให้ความกังวลที่เด่นชัดของฉันเกี่ยวกับอนาคตอันใกล้ในเรื่องของการเข้าเรียนในโรงเรียนได้มลายหายไปแล้ว
“ขอบกุณก่ะ จี่ซามะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะข้าเป็นตาของอริซยังไงล่ะ!”
“เอ๊ะเฮะ”
“กุฮ๊า!?”
“ท่านพ่อตา”
“ครับ”
ศักดิ์ศรีพังพินาศ
ฉันหัวเราะออกมาโดยไม่สนใคร ให้กับมุมใหม่ๆของคุณตา
“ซ้า อริซยะ มาเลย จี่จังจะนำทางหลานเอง!”
“………――――อืม!”
หลังจากนั้นฉันก็เดินชมรอบโรงเรียนพร้อมรับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับชั้นเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งใช้เวลาถึงสองวันกว่าที่ฉันจะได้กลับคฤหาสร์ที่มาเรียน่า
ฉันคิดถึงชีวิตในรั้วโรงเรียนที่สองตลอดเวลา