[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 23 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 3 Happy・Birthday
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 23 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 3 Happy・Birthday
ตอนที่ 3 Happy・Birthday
การทักทายอวยพรบนเตียงเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันเกิดของฉัน
ซิสเตอร์ผมม่วง คลอริน่าซังมาเยี่ยมฉันถึงที่ห้องหลังจากที่ฉันอ่านหนังสือภาพเสร็จ
“อ้า คุณหนู……ช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกิน”
ถึงแม้ว่าฉันจะได้สติกลับมา แต่ฉันก็ยังทำได้แค่นอนนิ่งๆและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก เธอที่เห็นฉันเป็นแบบนี้จึงพูดออกมาด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
เมื่อเธอหลับตาลงคิ้วของเธอก็ขมวดปมเศร้าๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลืมตามองมาที่ฉันทั้งๆที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยอยู่ในดวงตาสีม่วงของเธอ
“ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆค่ะ หากตอนนั้นข้าไม่ฟุ้งซ่านจนทำให้สับสน อาจจะไม่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้…….”
ระหว่างที่เบลล์ซังเตรียมอาหารเย็นก่อนหน้านี้ ฉันก็ได้ยินว่าเธอมาเยี่ยมฉันที่ห้องทุกวันในระหว่างที่ฉันกำลังหลับอยู่
ฉันเดาว่าเธอคงกำลังรู้สึกรับผิดชอบเรื่องก่อนหน้านั้นที่ฉันอยู่ที่นั้น แต่ว่าฉันก็ไม่เคยคิดว่าเธอจะต้องรับผิดชอบเลย
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอแม้สักนิด ฉันเลยย้ำเจตคติของตัวเองที่เคยพูดไปแล้วในตอนที่ได้คุยกันครั้งแรก
“ม่ายเป็นรัย หรอก คลอริน่าซัง ม่ายด้าย ทำอาร๊ายผิด”
“อะไรกัน……….”
ทั้งใดนั้นคลอริน่าซังก็น้ำตาไหล หากแต่คำที่ออกมาจากริมฝีปากเล็กๆแดงก่ำก็ทำให้ฉันนิ่งงันเล็กน้อย
“อ้า ทวยเทพแห่งเมกรีนีย์ผู้ปกปักรักษาเนยูมุร์ขอให้เด็กคนนี้ได้รับพรแห่งหิมะแรกด้วยเถิด……”
“เมะกุริ……นี?”
เธอคุกเข่าผสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ร้องเพลงที่เบากว่าเสียงพูด ดูเหมือนจะเป็นพิธีกรรมบางอย่าง ได้ยินคำว่า พร หิมะ พระเจ้า บางทีเธออาจจะกำลังอธิษฐานให้กับฉัน
นอกเหนือไปจากนั้นก็เป็นคำที่ไม่รู้จัก แต่ก่อนอื่นเลยคงต้องขอบคุณเธอก่อน
“ขอบคุณ มากๆ”
“ไม่ค่ะ…..คนที่ควรขอบคุณควรเป็นข้ามากกว่า”
คลอริน่าซังที่ยังคงประสานมืออยู่เงยหน้าขึ้นมองฉันก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ
“ตัวข้านั้นได้หลงทาง ได้เห็นการปฏิบัติที่แสนโหดร้ายกับเหล่าเด็ก ข้าได้แต่สิ้นหวังโดยไม่รู้ตัว”
“…….อืม”
ฉันรู้สึกได้ว่าไม่ควรถามว่าความสิ้นหวังนั้นหมายถึงอะไร
เธอเป็นซิสเตอร์ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแค่คนๆหนึ่ง
ผู้คนจะเชื่อแค่ในสิ่งที่ตนเข้าใจเท่านั้น
“แต่ในที่สุด ข้าก็ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ถึงความรักอันแท้จริงจากหัวใจของหญิงสาวที่แข็งแกร่งที่สามารถเอาชนะความเจ็บปวด และอุทิศตนเพื่อเยียวยารักษาผู้เป็นที่รักยิ่ง”
“อะ อืม…….”
ฉันเดาว่าเธอกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่ฉันรักษาบาดแผลของเบลล์ซัง แต่การที่เธอพูดแบบนี้มันก็ทำให้น่าอายเหมือนกันน่ะ
ฉันแค่กำลังสิ้นหวัง ความรู้สึกที่อยากจะช่วยคนที่รักอย่างเบลล์ซังอยู่เหนือทุกสิ่ง ฉันไม่ได้คิดอะไรสูงส่งอย่างการเสียสละ หรือความเมตตาเลย
“……นั้นคือความจริงที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างแน่นอน ทำให้ข้าสามารถจดจำได้ถึงแสงสว่างอันอบอุ่นของผู้คนได้อีกครั้งจากในตัวตนของคุณหนู”
คลาริน่าซังยิ้มบางๆขณะที่กอดสิ่งสำคัญเอาไว้ ความมุ่งมั้นของเธอทำให้ฉันรู้สึกได้ถึง〝แสงสว่างอบอุ่น〟ที่ว่านั้น
“……..งั้นเหรอ”
“ข้าดีใจจริงๆที่ท่านตื่นขึ้นมา ข้าไม่ต้องการเสียแสงสว่างดวงใหม่นี้ไปอย่างรวดเร็ว”
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่รวดเร็วในแบบที่ฉันไม่เคยเจอในตอนนี้ ก็ทำให้การพูดคุยกับคลอริน่าซังแค่สอง สามประโยค ก็ทำให้ฉันค่อนข้างอึดอัด
ฉัน ไม่ได้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น
“ฉัน ก็เป็นแค่ตัวฉัน เท่านั้นเอง”
“…….ข้าต้องขออภัยด้วยค่ะ เช่นนั้น ให้ข้าได้รู้จักคุณหนูเพิ่มมากกว่านี้จะได้หรือไม่คะ?”
คลอริน่าซังโค้งคำนับให้กับฉันที่เผลอเปล่งเสียงเบาๆโดยไม่ได้ตั้งใจ
สีทองและสีม่วงประสานกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง คราวนี้เป็นเผชิญหน้าด้วยตรง
“………อืม”
ฉันถอดหายใจด้วยความโล่งอกหลังจ้องหน้ากับเธอ
“ข้าคลอริน่า・ฟีอาน่าค่ะ”
“อริซ,ฟอน,แฟมี่ ก่ะ”
ฉัน ในตอนนี้ได้รู้จักคลอริน่าซังอย่างเป็นทางการแล้ว
“……อริซซามะ รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?”
ระหว่างที่พวกเราทั้งสองคนกำลังทำความรู้จักกันอีกครั้ง การสนทนาก็ถูกขัดจังหวะ จากเสียงของเบลล์ซังที่ดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตู ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เสียงฝีเท้าของเบลล์ซัง
“อืม ม๊ายเป็นรัยแล้ว”
“ขออนุญาตนะคะ”
ประตูเปิดออกพร้อมผมทรงไซด์เทลสีออบซิเดียนแกร่งไปมาเบาๆ และเสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากด้านหลังของเธอ
“ฮิเมะ!! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมค่ะ……… !?”
“มิแรนด้า อย่าส่งเสียงดังสิ ถ้าบาดแผดของหนูอริซได้รับการกระทบกระเทือนจะทำยังไง”
ที่เข้ามาพร้อมกันกับมิร่าซังคือลาบริกซ์ซัง ทั้งคู่ต่างพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวา
ผมสีแดงและสีน้ำเงินที่ดูตรงข้ามกัน แต่พวกเขาทั้งสองคนกับมีภาพลักษณ์ที่ตรงกันข้ามกับสีผมอย่างมาก
“คนผู้นี้…ท่านแม่ทัพ………ข้าเป็นซิสเตอร์นามว่าคลอริน่า・ฟีอาน่าเจ้าค่ะ”
“อ้า สำหรับที่นี่ไม่ต้องสุภาพมากก็ได้ ข้าคือ ลาบริกซ์・โฮวาร์ดรีด”
“ข้าทราบค่ะ ชื่อของท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีในหมู่ประชาชนทั่วไปค่ะ”
คลอริน่าซังคุกเข่าลงประสานมือพยายามที่จะสรรเสริญขอบคุณ ลาบริกซ์ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น
มิร่าซังที่ดูรู้จักเธออยู่แล้วทักทายกลับด้วยการผงกหัวเล็กน้อย เสร็จแล้วก็วิ่งเข้ามาหาฉัน จับจ้องร่างกายของฉันด้วยสายตาที่เป็นห่วง
“ฮิเมะ………”
“มิร่า”
พวกเราแลกเปลี่ยนความคิดบางอย่างกันในสายตา ฉันแน่ใจได้ว่ามิร่าซังคงกังวลมากเกินไป ซึ่งฉันก็เข้าใจดี
“ขอโทษนะ”
“พูดอะไรแบบนั้นกันคะ ฮิเมะ มันเป็นเพราะความไร้ความสามารถของดิฉันเองต่างหาก”
โชคยังดีที่เธอไม่ได้ร้องขอให้ลงโทษ แต่การแสดงออกของเธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจ หากมีการลงโทษเธอจริงๆ ฉันคิดว่าฉันคงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน
เมื่อฉันหันหาคนช่วย ลาบริกซ์ซังก็พยักหน้าให้เล็กน้อย เข้าใจแล้ว เขากำลังพยายามแนะนำบางอย่างให้ฉันอยู่สินะ
“ม๊ายเป็นรัย เพราะ ตอนนี้ ฉันยังอยู่กับทุกคน”
“อ้า ฮิเมะ……..
ดิฉันเข้าใจในความเมตตาของท่าน แต่ดิฉันคิดว่าได้โปรดลงโทษดิฉันอย่างน้อยก็สักครั้งด้วยเถอะค่ะ ได้โปรดยกโทษให้ดิฉันด้วยที่ไม่อาจรับความเมตตาของท่านได้”
“มิร่า ไม่ผิด”
คนไม่ดีคือ ใครบางคนในชุดฮูดที่ยิงธนูเพื่อฆ่าคนต่างหาก
เด็กชายที่มีดาบอยู่ในมือดูเหมือนว่าจะกลัวอะไรบางอย่าง ถึงจะพิจารณาจากลักษณะของเขาแล้ว ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเขาเป็น ทาส หรือ โดนชักจูงด้วยเงิน หรือว่า โดนข่มขู่มา
แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ดูเหมือนว่าเขาจะโดนบังคับให้ทำตามคำสั่ง อย่างน้อยก็ดูไม่เหมือนว่าเขาอยากทำมันด้วยตัวเอง
“…..อริซซามะ มันเป็นความจริงที่ว่าเขาคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรได้โปรดอย่าคิดสิ่งใดที่จะทำร้ายจิตใจของท่านเองเลยค่ะ……”
และสุดท้ายที่เข้ามาคือ เบลล์ซังที่ปิดประตูเบาๆ พร้อมเอ่ยปากพูดขัดจังหวะความคิดของฉัน
ฉันทำสีหน้าที่ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
“อืม”
มิร่าซัง คลอริน่าซัง ลาบริกซ์ซัง มีสีหน้าสงสัยอยากถามไล่ตามกันมา แต่ดูเหมือนว่าไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะสามารถเข้าใจการสื่อสารผ่านเทเลพาธีทู-คา(Tu-Kahttps://en.wikipedia.org/wiki/KDDI) ระหว่างฉันกับเบลล์ซังได้ ว่าแล้วเชียว เบลล์ซังเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าใจฉันได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับเธอมีเวทมนตร์ที่สามารถไล่ตามความคิดของฉันได้
“ฮิเมะ…..?”
“อือึอ ไม่มีอาร๊าย”
“……..เข้าใจแล้ว หนูอริซ เรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนป่วยจะต้องไปใส่ใจหรอกนะ ข้าไม่ปฏิเสธความใจกว้างของเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้อย่าคิดมากเกินไปจะดีกว่า”
“อืม”
ดูเหมือนลาบริกซ์ซังจะเข้าใจในที่สุดจึงพูดแบบนั้น ฉันจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เด็กคนนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังจะทำอะไรอย่างแน่นอน ถึงฉันจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำได้ และเป็นความจริงที่ว่าเขาเป็นคนที่เหวี่ยงดาบคิดฆ่าฉัน
“…..ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ก็ไม่มีที่สำหรับเรื่องเศร้าหรอกนะ”
“――――แย่จริงๆ ขอโทษด้วย อริซ พ่อต้องใช้เวลาทำงานมากกว่าที่คิด”
ประตูเปิดออกพร้อมเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ เจ้าของเสียงคือคุณพ่อ ดูเหมือนว่าคุณพ่อจะรีบมากไปหน่อย เพราะบนแก้มของคุณพ่อมีรอยหมึกที่เกิดจากการใช้มือเกาแก้มติดอยู่ ในตอนที่เดินเข้ามาในห้อง คุณพ่อก็บอกกับเบลล์ซังว่าคาลเมียร์ซังจะนำอาหารเย็นมาในไม่ช้า
พอได้ยินแบบนั้น โทนเสียงบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป เบลล์ซังถืออะไรบางอย่างไว้ในมือ เสื้อผ้า…..กางชุดเดรสออก เธอเดินเข้ามาใกล้ๆเตียงแล้วมอบให้กับฉัน
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ อริซซามะ!”
“――――っ”
ฉันจำได้ว่ามีการแสดงความยินดีกับฉันตอนที่หมดสติไปแล้วรอบหนึ่ง ฉันรับชุดเดรสน่ารักๆที่มีสีพีชอ่อนและสีขาวที่เต็มไปด้วยจีบ
“ยินดีด้วยนะคะ ฮิเมะ!”
“วันเกิดนี้ขอให้พรแห่งเหล่าทวยเทพช่วยปกปักษ์คุณหนูด้วยเถิด”
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หนูอริซ วันนี้ข้าอยู่นานไม่ได้ แต่ข้าก็ดีใจที่สามารถมาแสดงความยินดีกับหนูอริซได้”
คุณพ่อที่เห็นฉันตัวแข็งค้าง ก็หัวเราะออกมา
“สุขสันต์วันเกิดปีที่ห้านะ…..อริซ”
ทุกคนมอบรอยยิ้มมาให้ฉัน
เป็นรอยยิ้มอันเป็นมิตรที่ไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่ด้านหลัง
“อะ อุ”
ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่รู้จักกำลังกระจายไปทั่วหน้าอกอย่างช้าๆ
มันอบอุ่นมากๆ จนฉันรู้สึกว่าบางส่วนในร่างกายที่ถูกแช่แข็งไว้เริ่มละลายลงโดยไม่รู้ตัว
“อึก อ…….ฮื”
มันแผ่ขยายขึ้นไปเหนืออก ผ่านลำคอ ล้นออกจากตาไหลลงแก้มช้าๆ
“――――ฟุอึก……..”
ฉันหยุดน้ำตาที่ไหลอย่างมากมายไม่ได้ ฉันไม่สารมถรับมืออารมณ์ในตอนนี้ได้เลย ราวกับฉันกลับกลายเป็นเด็กอย่างแท้จริง
“อะ อริซซามะ……..?”
เบลล์ซังรีบร้อนมาลูบหัวปลอบโยนฉันให้ใจเย็นๆเป็นสิ่งแรกอย่างร้อนล้น แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ไม่สามารถหยุดฉันได้อีกต่อไปแล้ว และในที่สุดฉันก็ร้องไห้ต่อไปอีกหลายนาที
“อือๆ….ขอโทษ”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“อืม…….ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันมีความสุข ฉันดีใจที่ร้องไห้”
“……เข้าใจแล้วค่ะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่างเบลล์ซังมีสีหน้าที่ดูค่อนข้างว้าเหว่ เธอยังคงลูบหลังฉันต่อสักพักจนมั่นใจว่าฉันสงบลงอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะพูดต่อด้วยที่มีสายตาของทุกคนจ้องมองมา
“ไม่เป็นไรแล้วนะคะ ทุกคนที่นี่รักอริซซามะมากๆเลยนะคะ”
“อืม ฉันก็เหมือนกัน”
เตียงถูกทุกคนล้อมเข้ามาใกล้ๆ คุณพ่อยื่นมือออกมาจับมือฉันถัดจากเบลล์ซัง
จากนั้นเมื่อฉันพยายามจะพูดบางสิ่งออกไป ฉันก็ได้ยินเสียงเดินจากทางเดินทันที
……ฉันรู้สึกว่าบางอย่างกำลังจะเกิดซ้ำรอย
“ขออนุญาต………”
กะแล้ว เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับผมสีแดงสดใสโผล่ออกมาจากหลังประตู ในสภาพที่อ้าปากค้างคำพูดหายไปเช่นนั้นทันที――――คาลเมียร์ซัง คุณพ่อยิ้มมุมปากทื่อๆทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนลงคอไป เบลล์ซังทำสีหน้าระอา ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วยิ้มเย็นยะเยือก
“เอ๊ะโตะ คือว่า อาหารเย็นเตรียม…….อะฮะๆๆๆ”
เบื้องหลังของคาลเมียร์ซังที่ถือถาดอยู่ในมือ คือเหล่าเมดที่ถือถาดไว้ด้วยใบหน้าลำบากใจ
มิร่าซังพุ่งด้วยความเร็วสูงจนเห็นเป็นเส้นแสงสีน้ำเงินเข้าไปพิพากษาคาลเมียร์ซังที่รออยู่ด้วยใบหน้าขาวซีด
“――――คาลเมียรรรรรรร์ หล่อนอีกแล้ววววว! ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ทำไมถึงชอบเป็นตัวทำลายบรรยากาศแบบนี้!”
“มะ มิแรนด้าถึงจะพูดแบบนั้น แต่มันได้เวลาแล้วไม่ใช่รึไง!? ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำสักหน่อยยยย!”
เสียงทะเลาะกรี๊ดกร๊าดดังก้องเต็มห้องอย่างมีความสุขเริ่มขึ้น ฉันประทับใจจริงๆที่เธอมักจะปรากฏตัวมาในเวลาพอเหมาะอย่างยอดเยี่ยมเสมอๆ
“คาลเมียร์ มิแรนด้าซัง ถ้าพวกคุณยังส่งเสียงเอาะอะต่อไป กรุณาออกไปจากห้องของอริซซามะด้วยค่ะ”
ทั้งสองคนมองย้อนกลับมาที่เบลล์ซังที่พูดเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือกอย่างพร้อมเพียงกัน ฉันรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เผลอยิ้มให้กับท่าทางไหล่ตกคิ้วตกของทั้งสองคน
“…..ม๊า นี่ก็เป็นเรื่องปกติของคาลเมียร์อยู่แล้ว ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเตรียมอาหารเย็นน่ะ”
“คะ ค่ะ ฮัททีเรียซามะ! เช่นนั้น……”
“อ้า อาจจะเร็วไปสักหน่อย แต่อริซ ลูกหิวแล้วรึยัง?”
กลิ่นหอมลอยออกมาจากจาน มีกลิ่นของเนื้อย่างที่ฉันเพิ่งได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกเมื่อวานปะปนอยู่ด้วย
คิ้ว~ เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้ฉันอายจนต้องซ่อนหน้าตัวเอง ดูเหมือนวันนี้คู่หูของฉันจะสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
“ฟุๆๆๆ ดูเหมือนจะหิวแล้วสินะคะ”
“ถ้าอย่างงั้น ทุกคนมาทานอาหารเย็นกันเถอะ”
เหล่าเมดเริ่มทำการเสิร์ฟอาหารให้กับทุกคน ในขณะเดียวกันคาลเมียร์ก็ยกถาดอาหารมาให้ฉัน
นอกจากฉันแล้ว คลอริน่าซังดูเกรงอกเกรงใจ มิร่าซังดูตัวเกร็งๆอยู่ข้างๆ ลาบริกซ์ซังรับไปด้วยความขอบคุณ คุณพ่อกล่าวขอบคุณทุกคนในความเหนื่อยยากและตรากตรำ
ห้องซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณถูกบรรจุจนเต็มดูยุ่งวุ่นวาย แต่ฉันไม่รู้สึกว่ามันแคบลงเลยแม้แต่นิด
“อริซซามะ พวกเราเลือกเนื้อสัตว์ส่วนที่ดีที่สุดให้กับอริซซามะเลยค่ะ! ต้องอร่อยสุดๆแน่นอนค่ะ”
“ขอบกุณ คาลเมีย”
“ค่ะ! กรุณาทานเยอะๆแล้วดีขึ้นเร็วๆนะคะ”
“อืม”
คาลเมียร์ซังยิ้มด้วยความพึงพอใจในคำตอบของฉัน หลังจากนั้นเมื่อเสิร์ฟอาหารจนเสร็จ เธอก็นำเหล่าเมดออกจากห้องไป
“ดิฉันจะนำของหวานมาเสิร์ฟในภายหลังนะคะ”
เธอพูดบอกพร้อมโบกมือให้ฉันก่อนที่จะปิดประตู
เธอผ่านมาแล้วจากไปเร็วราวกับพายุ ถึงจะรู้สึกได้ว่ามีความอาลัยนิดหน่อยที่ต้องจากไป แล้วฉันเอามือยันเตียง
“อึ๊บ……”
“อริซซามะ!? อย่าพึ่งเคลื่อนไหวส…… !”
“ม๊ายเป็นรัย”
ฉันรู้สึกไม่สบายใจที่จะนอนอยู่แบบนี้ มันออกจะหยาบคายไปหน่อย ฉันเลยพยายามลุกขึ้นนั่ง
และแน่นอนอยู่แล้วว่าความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งออกมาจากหลังของฉันทันที แต่ก็รู้สึกว่าดีขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย
และก่อนที่ความเจ็บจะทำให้ลืม ฉันหันไปหาทุกคนที่มองมาอย่างสนใจ ก่อนที่จะเปิดริมฝีปากออก
“…..ทุกกน ขอบกุณก่ะ หนูมีความสุขมาก มาก”
ครั้งนี้ฉันไม่ได้ซ่อนหน้าตัวเองหลังคู่หู แต่กอดคู่หูใว้แน่นกลางอก ขณะที่พูดขอบคุณอย่างหนักแน่น
จากนั้นรอยยิ้มจำนวนมากก็ตอบกลับมา ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้รับการยอมรับอย่างบริสุทธิ์ใจ
ในความเงียบ ฝาที่ปิดถาดอาหารอยู่ก็เปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“…….ทานแล้ว นะกะ”
หลังจากที่ฉันพูดพร้อมผสานมือเข้าด้วยกัน คลอริน่าซังที่พึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกก็เลียนแบบตามทันที จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มทำท่าทาง「จะทานแล้ว」ตามกันทันที ความวุ่นวายที่เงียบสงบไปแล้วกลับมาสู่ห้องนี้ทันที
และจากนั้น ของหวานก็คือแมเรียนล่ะ
…….รู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็ม ฉันรู้ว่าว่านี่คือแมเรียนที่มิร่าซังซื้อจากตลาดในวันนั้นที่ฉันได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ดวงตาของฉันเริ่มชุ่มชื้นอีกครั้ง