[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 17 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดกัน
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 17 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดกัน
ตอนที่ 17 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดกัน
“….เหนื่อยเกินไปแล้ว”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ วันของฉันเริ่มต้นด้วยการสำนึกผิด
ใช่ ความเสียใจในวันนั้น วันที่มิร่ากลายเป็นอัศวินของฉัน
――――『ปาติวัด!』
ในตอนที่ฉันพูดแบบนั้นพร้อมปลดปล่อยราชินีทั้งสี่ออกไปอย่างภูมิใจ บรรยากาศในเวลานั้นก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที ร่างกายของฉันสั่นทุกครั้งที่นึกถึง
มันรุนแรงจนฉันฝันเห็นทุกคืน
“ฮ้า…..”
ฉันประกาศปฏิวัติออกไปอย่างอารมณ์ดีด้วยความเซ่อซ่า แต่หลังจากนั้น ลาบริกซ์ซังพึมพำคำว่า “Noblesse oblige” และอีกหนึ่งคำที่ฉันรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยอ่านมาจากหนังสือภาพ
จากตรงนั้นฉันได้รับความสนใจอย่างมากพร้อมๆกับความเงียบ
หลังจากที่เบลล์ซังประกาศชัยชนะของฉันอย่างมีความสุข ฉันก็ตระหนักแล้วว่าวิธีการเพื่อจบเกมส์ให้ได้เร็วที่สุดมันทำให้เด่นเป็นพิเศษจนแทบทนอยู่ไม่ได้
ฉันนึกออกแล้วว่าเป็นแบบเดียวกับเรื่องภาษีในวันนั้น หลังจากทั้งหมดฉันก็เผลอทำในแบบเดียวกันลงไปอีกครั้งแล้ว
ใช่ นั่นก็คือ
“แปลกเกินไป”
หากคิดตามปกติก็จะสามารถเข้าใจได้ทันที
เก่งกาจตั้งแต่การเล่นครั้งแรก และใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่น่าจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเอาชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไรเลยก็ได้ตั้งแต่ต้น?
แปลกเกินไป ต่อให้เป็นฉันเองก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีเด็กที่มีความสามารถมากขนาดนี้ หลายคนอาจคิดว่าสุดยอดเลย แต่สิ่งที่ฉันต้องการจริงๆคือการได้พูดคุยอย่างกระตือรือร้น
เช่นนั้นแล้วทำไมฉันถึงทำแบบนั้น
“ฮ้าาาา………”
ฉันยังจำหน้าของทุกคนในเวลานั้นได้ ทั้งลาบริกซ์ซัง、 มิร่าซัง、 คุณพ่อ หรือแม้แต่เบลล์ซังที่พอใจในชัยชนะของฉัน ทุกคนเบิกตากว้าง ตัวแข็ง มองมาที่ฉัน
――――และในท้ายที่สุด ก็กลายเป็นบรรยากาศอึดอัด
จากนั้นก็มีการครุ่นคิดอย่างจริงจัง ฉันพนันได้เลยว่ามันเกี่ยวกับอนาคตของฉันอย่างแน่นอน
“โม้ววว”
ปุก ฉันล้มหน้าลงซุกคู่หูแล้วกลิ้งไปมาทางหัวเตียง และแกว่งเท้าตีแขนทั้งๆแบบนั้น หลังจากเสียพลังงานโดยไม่จำเป็นในยามเช้า ฉันก็หยุดเคลื่อนไหวทันที
“งี่เง่า”
ฉันพึมพำด่าตัวเอง มองจากอีกมุมหนึ่งก็พูดได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่จะลงเอยแบบนี้
แน่นอน ฉันกล้าพูดได้เลยว่าฉันเข้าใจมันได้ด้วยการคิดเพียงน้อยนิด
“……อริซซามะ? ขออนุญาตเข้าไปได้ไหมคะ”
เสียงของเบลล์ซังดังขึ้นหลังประตู และอีกวี่แววน่าจะเป็นมิร่าซัง
ตั้งแต่วันนั้นเธอก็กลายเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่สามารถย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ได้ในทันที แต่ทันทีที่การฝึกพิเศษจากลาบริกซ์ซังสิ้นสุดลง เธอจะย้ายจากหอพักอัศวินมาที่นี่ทันที
เธอจะมาปรากฏตัวในวันจบการฝึกฝน หรือทุกวันหยุดจนกว่าจะถึงวันนั้น
“…….อืม”
“…….เช่นนั้น ขออนุญาตนะคะ”
ฉันตอบคำถามอย่างแผ่วเบาไม่เต็มใจ ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าใครซักคนที่เกี่ยวข้องมันก็ทำให้ฉันนึกถึงบรรยากาศอึดอัดนั้นทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ฉันจึงมีเก็บตัวมากกว่าเดิมเล็กน้อย มันคือการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ”
“….อารูณสาหวัด เบลล์”
นี่คือการตอบกลับสีฟ้าแห่งความสิ้นหวัง ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ลูบหัวฉันด้วยความเป็นห่วง
“ยัง คิดมากอยู่อย่างงั้นรึคะ?”
ฉันเงียบไปสักครู่โดยปล่อยให้เบลล์ซังลูบไปเรื่อยๆ ก่อนที่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะถามเบลล์ซังเพื่อทำลายความเงียบ
แต่ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ก้าวนำฉันหนึ่งจังหวะ
“…..ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ดิฉันแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจถึงความกล้าหาญของอริซซามะที่เรียกร้องการปฏิวัติอย่างแรงกล้าแน่นอนค่ะ”
“เกฟู๊!?”
“กล้าหาญแรงกล้า” …..มันคือการประชดใช่ไหม กรุณาหยุดเถอะเบลล์ซัง ฉันสัมผัสได้ถึงโทนเสียงที่ดูมีความสุขขึ้นด้วยเล็กน้อย ไม่นะ เหมือนโดนตำหนิทางอ้อมที่รุนแรงเป็นพิเศษ
“…..อูอึก”
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหวโดยไม่ตั้งใจ เบลล์ซังตื่นตระหนกจนรีบเข้ามากอดฉันทันทีก่อนจะพูดต่อ
“ดะ ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะคะ อริซซามะ…..! ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะคะ”
“จริงเหรอ?”
ไม่มีบรรยากาศอึดอัดนั้นแล้วใช่ไหม? ได้ยินเสียงสั่นๆในคำพูด
แล้วพอฉันเริ่มกลับมายิ้ม เบลล์ซังก็พูดต่อ
“…..แต่ว่า ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอริซซามะเข้าใจได้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของราชอาณาจักรมากขนาดนี้ อริซซามะต้องเคยได้ยินจากที่เหล่าเมดคนอื่นๆพูดคุยกันสินะคะ หลังจากอริซซามะเข้านอนในวันนั้น ดิฉันก็ได้ฟีงเรื่องราวของลาบริกซ์ซามะ ก็ยิ่งมั่นใจค่ะ”
“เอ๊ะ”
กิ๊ว และหัวของฉันก็ถูกกอดจมลงสู่หน้าอกฟูนุ่ม ในขณะที่โดนลูบหลังพร้อมฟังเสียงพูดเบาๆของเบลล์ซัง มันทำให้ฉันรู้สึกสงบมากๆ
…..แต่ว่าเบลล์ซัง ช่วยบอกฉันอีกทีสิ
ว่าที่พูดอยู่นั้น มันเรื่องอะไรกัน
“แต่ว่าไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะคะ ดิฉันรู้มาว่า คำว่าการปฏิวัตินั้น หาได้หมายถึงแค่การต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นคำที่มีเจตนาในแง่ของการกลับสู่หนทาง Noblesse obligeอันน่ายกย่องอีกด้วยค่ะ และดิฉันจะขอสนับสนุนอริซซามะเสมอไปค่ะ”
“…..เฮ๊ะ?”
ฉัน ได้แต่เอียงคอ ไม่เข้าใจ!
……..ไม่สิ ในกรณีนี้น่าจะไม่ได้พูดกันเล่นๆ แต่ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอยากให้ฉันทำอะไรกันแน่ ฉันต้องการถูกเติมเต็มก่อนที่จะไปเติมเต็มให้ใครได้ ฉันไม่สามารถกลืนเรื่องราวทั้งหมดได้ในทีเดียว
ไม่ใช่ว่าทุกคนกำลังเข้าใจผิดอะไรแปลกๆอีกแล้วหรอกนะ
หลังจากคอยสักพักฉันก็มองขึ้นไปที่เบลล์ซังโดยไม่ตั้งใจ ฉันเห็นรอยยิ้มกว้างไร้กังวล
ฉันค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับรอยยิ้มนั้น
“เบลล์ รอก่อน หมายถึงอะไร”
” ―――― ฮิเมะ!อรุณสวัสดิ์ค่ะ! กรุณาอย่าโศกเศร้าไปเลย ดิฉันได้ฟังเรื่องราวจากน็อกซ์เบลแล้ว ดิฉันเองก็เข้าใจในความตั้งใจที่แท้จริงของฮิเมะเช่นกัน การที่ฮิเมะนึกถึงเหล่าประชาชนทั่วไปในวัยเช่นนี้ ช่างฉลาดหลักแหลม และอ่อนโยนเสียเหลือเกิน!”
“เฮ๊ะ……”
เสียงแหลมจนหูอื้อ มิร่าซังปรากฏกายพร้อมเสียงที่มีพลังทำลายล้างที่เกือบจะทำลายแก้วหูของฉัน ดูเหมือนเธอจะรออยู่นอกห้องให้ฉันกับเบลล์ซังคุยกันจนจบก่อน แต่พอได้ยินเสียงกึ่งร้องไห้ของฉันที่ตามไม่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะทนรออยู่นั้นไม่ได้อีกต่อไป
ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่มีคนยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันคงต้องหาทางตอบแทนเธอในสักวันหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงฉันก็ยังไม่เข้าใจในคำพูดของมิร่าซังอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
” ―――― อริซซามะ ในอนาคตอริซซามะจะต้องได้เป็นลอร์ดแห่งมาเรียนาอย่างแน่นอนค่ะ เพราะอย่างนั้นแล้ว ในตอนนี้อย่าพึ่งกังวลต่อสิ่งใดเลยนะคะ ได้โปรดปล่อยให้เรื่องราวของตอนนี้เป็นของผู้คนในตอนนี้เถอะค่ะ ได้โปรดอย่าลังเลต่อสิ่งใด และทำในสิ่งที่อริซซามะปรารถนาเถอะนะคะ?”
เบลล์ซังพูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้วฮิเมะ โดยมีมิร่าซังเห็นด้วยอยู่ข้างๆ ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป แต่ดูเหมือนว่าฉันจะสามารถพูดและเล่นเอาแต่ใจได้เหมือนเด็ก ๆในระยะสั้นๆ
“…..อะ อืม”
พูดได้ว่าฉันถูกพลักด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นจากทั้งสองคน หรือไม่ฉันก็คิดมากไปเอง แต่สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะทิ้งความคิดที่เหลือไปซะ
“อริซซามะ มาทานอาหารเช้ากันเถอะค่ะ ให้นำมาที่ห้องไหมคะ?”
เบลล์ซังถามฉันแบบกลางๆ
หลังจากฉันเริ่มออกจากห้อง ฉันก็มักจะทานอาหารในห้องโถงเป็นครั้งคราว แต่ฉันที่อยู่ในห้องมาตลอด การทานอาหารกับทุกคนในที่เปิดอย่างห้องโถงมันค่อนข้างยุ่งยากสำหรับฉัน ด้วยเหตุนี้ เบลล์ซังเลยต้องถามให้ฉันตัดสินทุกครั้งที่จะทานอาหารกัน
“อืม~……”
มันเป็นสถานการณ์ที่น่ารำคาญ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดเรื่องนี้ระหว่างที่ฉันทานอาหารร่วมกับคุณพ่อที่ห้องโถง มันก็มีเรื่องน่าเป็นห่วงนิดหน่อย
นั้นก็เพราะมิร่าซังไม่สามารถรออยู่คนเดียวในห้องได้จึงต้องตามไปด้วย แล้วมิร่าซังก็จะรอจนกว่าฉันจะทานอาหารเสร็จ คงคิดว่ามันอาจจะดูไม่ดีเล็กน้อยที่จะเข้าไปขัดบรรยากาศการนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าของพ่อและลูกสาว
จากท่าทางที่ทำมาจนถึงตอนนี้ และไม่มีการเตรียมอาหารที่มากเกินไป บางทีคงจะทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
แต่จะสรุปเอาเองก็คงไม่ดี มันอาจจะใช่ หรือตรงข้ามกัน เพื่อที่จะแน่ใจ ฉันเลยยืนยันกับมิร่าซัง
“มิร่าซะ…..มิร่าละ กินแล้ว?”
“อาหารเช้าหรือค่ะ? แน่นอนค่ะ ฮิเมะ เพื่อที่จะไม่เป็นการเพิ่มงานให้พวกของน็อกซ์เบลซังมากเกินไป ดิฉันจึงทานอาหารในหอพักเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ”
เพราะใบหน้าของเธอดูเศร้าๆทำให้ฉันเกือบจะเรียกเธอว่ามิร่าซังจนต้องรีบร้อนเรียกชื่อเธออีกครั้งพร้อมถามคำถามทันที อย่างที่คิดไว้ดูเหมือนว่าเธอจะทานไปแล้ว
เช่นนั้น เช้านี้มากินในห้องกันเถอะ ในเมื่อไม่ว่ายังไงก็ต้องรอฉันทานอาหารไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าอย่างงั้นก็ให้สะดวกสบายที่สุดดีกว่า
“……..ทานในห้อง”
“รับทราบแล้วค่ะ อริซซามะ เช่นนั้นดิฉันจะไปนำมาให้นะคะ ได้โปรดกรุณารอสักครู่ค่ะ”
“อืม กอบคุณ”
ที่จริงแล้วทุกครั้งที่เลือกจะทานอาหารที่ห้อง ฉันก็อยากเป็นคนไปเอามาด้วยตัวเองโดยไม่ปล่อยให้เบลล์ซังเป็นคนทำด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะฉันไม่สามารถขึ้นบันไดได้หากไม่ใช้มือจับราวบันไดไว้ ถ้าหากก้าวพลาดจนล้มล่ะก็ อาหารทั้งหมดก็จะเสียไปด้วย และการขึ้นบันไดไปพร้อมกับระวังตัวไปด้วยก็ค่อนข้างเป็นภาระกับฉันมากๆ
ด้วยความคิดเช่นนี้ในใจ ทำให้ฉันมองด้วยความขอบคุณและขอโทษ และได้รับการลูบหัว พูดชมว่าอริซซามะอ่อนโยนจริงๆค่ะกลับมาทุกครั้ง คนที่อ่อนโยนจริงๆคือเบลล์ซังต่างหาก
“เช่นนั้น ขอตัวสักครู่นะคะ ดิฉันจะรีบกลับมาค่ะ”
หลังจากลูบหัวฉันสองสามครั้ง เบลล์ซังก็ยืนขึ้นก่อนออกจากห้องไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอสบตากับมิร่าซังก่อนปิดประตู เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังกับมิร่าซัง ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเรา เนื่องจากพวกเรายังไม่สามารถรู้สึกถึงระยะห่างของกันและกัน ในไม่ช้ามิร่าก็ทำลายมัน
“….ฮิเมะ”
“กะ”
มิร่าซังมานั่งยองๆที่ขอบเตียงและมองตรงมาที่ฉัน ร่างกายเล็กๆของฉันสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าสวยชัดเจน
“ฮิเมะ ต้องการที่จะเห็นโลกภายนอกหรือไม่คะ?”
“ข้างนอก?”
“ค่ะ โลกภายนอกคฤหาสน์หลังนี้ ดินแดนมาเรียนนา”
ข้างนอก ข้างนอกงั้นเหรอ ฉันเข้าใจความหมายที่เบลล์ซังสบตากับเธอแล้ว
สรุปแล้วนี่คือคำเชิญ คำเชิญที่ต้องการให้ฉันออกไปนอกคฤหาสน์สักครั้งหนึ่ง หรือก็คือการแก้ไขอาการฮิคิโคโมริของฉัน
“อื~ม”
ฉันก็ไม่ได้เกลียดการออกไปข้างนอกหรอกนะ ฉันเองก็มีความอยากรู้อยากเห็นที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ร่างกายที่อ่อนแอนี่ต่างหาก สมมติว่าฉันออกไปข้างนอกด้วยพละกำลังที่มีพอแค่ขึ้นและลงบันไดเท่านั้นแบบนี้ ฉันจะสามารถไปกลับได้โดยไม่รบกวนเบลล์ซัง และ มิร่าซังได้รึเปล่า มันเป็นคำถามที่จริงจัง
“น่าจะ ม๊ายเป็นรัยล่ะมั้ง”
“…..ฮิเมะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่างคำพูดที่ฉันเผลอหลุดปากออกมาขณะเอียงคอคิดก็ทำให้มิร่าซังดูเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฮิเมะ เฉพาะที่นี่ในมาเรียนาขุนนางไม่ได้ถูกเกลียดมากนัก และในกรณีฉุกเฉินที่มีอะไรเกิดขึ้นมา … ข้าจะปกป้องท่านเอง แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตาม! “
ฉันไม่เข้าใจความหมายของคำประกาศอย่างกะทันหันของมิร่าซังเลยทำได้แต่เอียงคอไป
“อ้า…..”
เข้าใจล่ะ รอบนี้ฉันปิดปากครุ่นคิดอย่างดี ดูเหมือนมิร่าซังอาจจะเข้าใจผิดว่าคำว่าไม่เป็นไรล่ะมั้งที่ฉันเผลอหลุดปากออกไปจะหมายถึงความปลอดภัยของฉัน ไม่ใช่ความแข็งแรงของร่างกาย ในระหว่างวันแล้ววันเล่าฉันมักจะลืมตัวเสมอว่าร่างกายนี้ เป็นลูกสาวของขุนนางชั้นสูง มันง่ายที่จะมีใครสักคนเกลียดชังผู้มีอำนาจซึ่งโลกนี้ก็ไม่แตกต่างกัน และมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าจะมีใครคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด
“อืม ขอบกุณ”
“หามิได้ค่ะ ฮิเมะ นี้เป็นหน้าที่ของฉันในฐานะอัศวินของฮิเมะอยู่แล้วค่ะ!”
ฟุๆๆๆ มิร่าซังยืดอกของเธออย่างภาคถูมิใจ ดวงตาที่มุ่งมั่นต่อภารกิจสั่นไหวจากรอยยิ้มของเธอได้เปล่งประโยค”โปรดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”ออกมาโดยไม่ต้องพูด
อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ว่ามิร่าซังอาจจะบาดเจ็บจาการปกป้องฉัน หากเป็นไปได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย หากมีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ฉันก็อยากกให้มิร่าซังให้ความสำคัญต่อตัวเองด้วย
ฉันเป็นคนที่ควรจะตายไปแล้ว สำหรับฉันแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะยอมรับได้เล็กน้อยหากการใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย
แน่นอนถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ฉันก็เข้าใจว่าผู้คนให้ความสำคัญกับฉันเป็นอย่างมาก และสำหรับฉันแล้ว ฉันก็ไม่คิดที่จะวิ่งเข้าหาอันตรายอย่างแน่นอน
“แต่ มิร่า ต้องดูแลเกี่ยวกับตัวมิร่าเองด้วย”
เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกเช่นนั้น ฉันจึงจ้องไปดวงตาใสนั้นอย่างมั่นคงพร้อมทำรอยยิ้มที่ดีที่สุด
จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างมิร่าซังก็ขมวดคิ้วของเธอแล้วทำหน้าเศร้าอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าทำไมในตอนที่มองเข้าไปในตาของเธอก็เหมือนกับฉันกำลังมองตาของตัวเองอยู่
“ฮิเมะ…….. ได้โปรดอย่ายิ้มด้วยรอยยิ้มเศร้าๆเช่นนั้นเลย”
“…หืม?”
ฉันสงสัยว่ารอยยิ้มของฉันแย่แค่ไหนกันนะ แม้ว่าฉันจะเข้าใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น ไม่สิ ฉันแค่คิดไปเองว่าเข้าใจ
“ได้โปรดให้ดิฉันได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังด้วยเถอะ ฮิเมะ”
“…..อืม”
เธอหลับตาลงเหมือนเพื่อตัดสินใจบางอย่างให้แน่วแน่ ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตั้งใจที่แข็งแกร่ง
“ดิฉัน เริ่มแรกในยามที่ได้กลายเป็นอัศวินรับใช้ฮิเมะ ดิฉันปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้อยู่เบื้องหน้าความฝันของท่าน ดิฉันก็รู้สึกละอายใจยิ่งนักที่มัวแต่หลงทะยานอยู่ในความสุขของตนเอง”
“อืม”
สิ่งที่เล่าออกมาคืออารมณ์ความรู้สึกของมิร่าซัง การได้เป็นอัศวินคือความฝันของเธอตลอดมา
“แต่ว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ดิฉันได้เห็นฮิเมะ…..อริซซามะ ดิฉันต้องการรับใช้ท่าน หากได้ปกป้องคนๆนี้แล้วล่ะก็ ดิฉันก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง”
ฉันจำได้ แม้การกล่าวคำสัตย์สาบานแห่งอัศวินจะถูกขัดจังหวะโดยคาลเมียร์ซัง มิร่าซังในเวลานั้นเป็น”อัศวิน”อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ใช่แล้ว ข้าต้องปกป้อง…..จากหมีชั่วร้ายมากมายที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลก ปกป้องจากพวกมือมารที่พยายามจะทำให้ผิวอันสวยเยาว์วัยและมีเสน่ห์นี้แปดเปื้อน!”
“หืม…?”
“ร่างกายของฮิเมะ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ต้องแปดเปื้อนมลทินเด็ดขาด! ดอกไม้ที่งดงามเช่นนี้สมควรทำเพียงแค่มอง หาใช่สิ่งที่ใครจะมาเด็ดไปเชยชมให้เกิดตำหนิได้”
“มิร่า?”
ดูเหมือนเรื่องราวจะบินไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด เรื่องที่คุยเริ่มร้อนแรงเกินไป แม้ในตาของเธอจะยังคงร้อนแรงไปด้วยความรู้สึกของภารกิจ แต่การแสดงออกของเธอเริ่มจะดูบิดเบี้ยวไปนิดหน่อย แต่ก็อาจเป็นแค่ในความคิดของฉันเองเท่านั้น
“อะ อา ฮิเมะ…….ข้าจะปกป้องท่านเอง ข้าขอสาบาน!”
“อะ อืม…..?”
ไม่นานมิร่าซังก็โน้มตัวขึ้นมาบนเตียง จับมือของฉันไว้อย่างมีพลัง แต่ก็นุ่มนวลระมัดระวัง เป็นการใช้ความชำนาญอย่างสูญเปล่า เธอหลับตาลงแล้วพยักหน้าอยู่คนเดียว
…….เรื่องราวมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ ความเชื่อบางอย่างเอ่อล้นออกมาอย่างเปล่งประกาย แล้วทั้งใดนั้นประตูก็เปิดออกมาพร้อมกับเสียงเคาะจากใครบางคนที่มิร่าซังลืมไป เบลล์ซังนั้นเอง
“ขออภัยด้วยนะคะ ขอโทษที่ทำให้รอนะคะอริซซา…..”
“ช่วยไว้เลย”
เบลล์ซังที่เห็นฉันกำลังมีปัญหาก็ยิ้มออกมาเงียบๆ
ฉันรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
“มิแรนด้าซามะ?”
มันเป็นเสียงที่ยังฟังดูนุ่มนวลแต่ให้บรรยากาศศูนย์สัมบูรณ์ และฉันรู้สึกได้ว่ามิร่าซังตัวแข็งค้างทันที
มิร่าซังปล่อยมือฉันอย่างระมัดระวังราวกับว่ากำลังสัมผัสสิ่งบอบบาง ก่อนเด้งกลับไปตั้งตัวตรงด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ”
เธอก้มหัวด้วยความสามรถทั้งหมดที่มี มันเป็นการขอโทษที่สวยงามมากจนน่าตะลึง
“……ได้โปรดอย่ารบกวนอริซซามะนะคะ”
“เยส แมม!”
เมื่อมองไปที่มิร่าซังที่พูดแบบนั้น ฉันก็นึกถึงคาลเมียร์ซัง ดูเหมือนทั้งสองคนจะคล้ายกันมากๆ พวกเขาเป็นคนที่อยู่ในสถานภาพเดียวกันงั้นเหรอ
“……แต่ดิฉันก็พอเข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ”
ยังไงก็ตามทั้งสองคนมองมาที่ฉัน ก่อนจะเริ่มพยักหน้าให้กันและกัน
ไอน้ำของซุปที่รั่วไหวออกมาจากช่องว่างของฝาถาดที่เบลล์ซังถือเข้ามาด้วยมือเดียวลอยมาแตะจมูกของฉัน วันนี้ก็ยังคงดูอร่อยเหมือนเดิม
จากนั้นเบลล์ซังก็สังเกตเห็นดวงตาที่เปียกชื้นของฉัน เธอก็รีบพูดว่า「ชะ เช่นนั้นมาทานอาหารกันเถอะค่ะ!」ก่อนเดินมาข้างฉันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทิ้งฉันเอาไว้ลำพัง
“แต่…..”
“อริซซามะ?”
ฉันหวังว่ากิจวัตรประจำวันเหล่านี้จะดำเนินต่อไป และได้กล่าวคำเช่นนี้ตลอดไป
ฉันยกคู่หูขึ้นมาซ่อนตัวอีกครั้ง