[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 13 การปลดปล่อยและการกดขี่
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 13 การปลดปล่อยและการกดขี่
ตอนที่ 13 การปลดปล่อยและการกดขี่
ฉันมองขึ้นไปที่เพดานของห้องโถงกว้างครู่หนึ่ง ก่อนมองกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง
ป๋อม ฉันพยายามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพื่อทำให้ตุ๊กตายัดนุ่นล้มลง
“เอ๊ เอ๊”
“….เป็นยังไงบ้างคะ อริซซามะ?”
ฉันได้รับการแสดงออกที่ดูคลุมเครือกลับมาจากหญิงสาวผมแดงที่เฝ้ามองฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างๆ――― คาลเมียร์ซัง
ว่าแล้วว่าฉันยังไม่สามารถทำได้
ตั้งแต่วันนั้น ฉันพยายามฝึกทุกวันซ้ำๆเพื่อทำความคุ้นเคยกับพลังเวทมนตร์ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร มีแต่ความคลุมเครือแสดงออกมาให้เห็น
“อื~~ม…..”
“คุณหนูยังไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะคะ!”
ไม่ว่าจะลองสักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งฉันก็ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จ ฉันทบทวนเรื่องราวทั้งหมดจนถึงตอนนี้ในหัว
ใช่ เพื่อที่จะสอนฉันเกี่ยวกับเทคนิคการใช้เวทมนตร์จึงได้มีการตัดสินใจว่าใครจะได้เป็นคนสอน แต่เบลล์ซังไม่มีพลังเวทมนตร์ แล้วหลังจากการพิจารณาลูกศรสีขาวก็พุ่งตรงไปยังคาลเมียร์ เมดสาวผมแดงผู้ที่มีพลังเวทมนตร์เพียงหนึ่งเดียวในหมู่เมดสาว
ตอนแรกฉันคิดว่าคุณพ่อไม่สามารถหาเวลาว่างจากการทำงานมาสอนให้ได้ แต่พอพูดไปแบบนั้น เบลล์ซังก็บอกว่าแต่เดิมคุณพ่อก็ไม่ใช่ขุนนางหรืออัศวินแต่กำเนิด จึงทำให้บางทีคุณพ่ออาจไม่มีพลังเวทมนตร์อยู่ก็ได้
ซ๊า ถึงจะบอกว่าฉันได้สกิลเวทมนตร์มาแล้วก็เถอะ แต่สิ่งที่ได้มาก็ยังเป็นแค่พื้นฐานของพื้นฐานของทั้งหมดอยู่ดี มันยังห่างไกลจากการใช้พลังเวทมนตร์ประกอบกันให้เกิดปรากฏการณ์เวทมนตร์อยู่ดี ก่อนอื่นฉันต้องสามารถควบคุมพลังเวทมนตร์ให้ได้อย่างอิสระซะก่อน
ในขั้นแรก คาลเมียร์แนะนำว่าก่อนอื่นต้องจดจำพลังเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายให้อย่างถูกต้องให้ได้ก่อน นั้นคือการใช้จิตสำนึกสัมผัสให้ได้ถึงกระแสและความเร็วของการไหลเวียนของพลังเวทมนตร์ โดยปกติจะใช้เวลาไม่นานเพื่อเรียนรู้เรื่องนี้
ยังไงก็ตาม การได้รับรู้สภาพการทำงานภายในร่างกายของตัวเอง อย่างการไหลเวียนของเลือด ฯลฯ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆสำหรับฉันที่มีความทรงจำในชาติก่อน
แต่มันก็ทำให้ฉันเข้าใจการไหลของเวทย์มนตร์ได้อย่างรวดเร็ว ฉันตั้งสมาธิมุ่งเน้นไปที่เส้นผมจนสามารถทำให้ปลายผมตั้งขึ้นมาได้ คาลเมียร์ซังรู้สึกประหลาดใจมากๆ แต่เธอก็ให้ผ่านทันที
สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือการปล่อยพลังเวทย์มนตร์ออกจากร่างกาย แต่มีคำกล่าวที่ว่า การเปิดตัวนั้นง่ายเสมอ เมื่อได้รู้แล้วว่าพลังเวทมนตร์ทำงานอย่างไรในร่างกายของตัวเอง หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการผลักพลังออกจากร่างกายผ่านส่วนปลายของร่างกาย เช่น ปลายนิ้ว
สิ่งที่ยากที่สุดคือการปรับปริมาณพลังที่จะปล่อยออกไป กล่าวโดยสรุปคือ การคำนวณว่าต้องรวบรวมพลังเวทมนตร์มากน้อยเท่าไร และต้องใช้พลังเท่าไรเพื่อที่จะผลักพลังเวทมนตร์นั้นออกจากร่างกาย แต่ฉันใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะได้ความรู้สึกนี้มา
ถึงแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าฉันจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กที่มีอายุเท่ากัน มันทำให้คาลเมียร์ซังรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
ปัญหาคือขั้นตอนที่สาม ที่ไม่ว่าจะลองกี่ครั้งฉันก็ทำไม่ได้สักที
“อุโก๊ อุโก๊เคะ~~~……..”
ฉันชี้ปลายนิ้วมือไปที่ตุ๊กตายัดนุ่นตัวที่ฉันกอดไว้ที่หน้าอกเสมอๆ ที่ถูกเอาไปตั้งไว้เป็นเป้า ฉันพยายามเคลื่อนไหวมันด้วยพลังเวทมนตร์
กล่าวคือ “การควบคุมพลังเวทมนตร์ที่ปลดปล่อยออกนอกร่างกาย” นั่นคือขั้นที่สามที่อาจารย์คาลเมียร์สอน
“อุอู ทำไม่ได้”
“คุณหนูต้องอย่าแยกจากพลังเวทย์มนตร์ที่ปล่อยออกมา ต้องเชื่อมต่อกับตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็ทำเหมือนแบบเดียวกันกับการเคลื่อนใหวร่างกาย”
และเธอจะคอยเปลี่ยนคำเพื่ออธิบายให้ฉันเข้าใจง่ายขึ้นหลายต่อหลายครั้งทุกวัน แต่แม้ฉันจะเข้าใจทฤษฎี แต่ฉันก็ยังไม่รู้สึกได้สักที
ถ้าหากฉันพยายามบีบพลังออกมาทีละเล็กทีละน้อยแทนที่จะออกแรงผลักออกไปเลย ฉันก็จะสามารถรักษาสภาพเชื่อมต่อพลังเวทมนตร์ที่ปล่อยออกไปได้ แต่ก็อย่างที่เห็น เนื่องจากใช้วิธีบีบปริมาณพลังเวทมนตร์ ทำให้พลังที่ปล่อยออกไปนั้นไม่เพียงพอ และในที่สุดก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“คุมะซัง คุมะซังงง……. !”
ฉันลองเรียกอย่างขอร้อง แต่ตุ๊กตาหมีก็ไม่ตอบสนองต่อเสียงของฉัน สิ่งที่ทำมีเพียงการส่งกำลังใจมาให้ฉันผ่านดวงตาเล็กของมันเท่านั้น
เนื่องจากความเหนื่อยล้าทำให้ความอ่อนเพลียเข้าจู่โจมร่างกาย เพราะพลังเวทมนตร์ก็เป็นพลังชีวิต ชนิดหนึ่ง หากต้องปล่อย หรือใช้เป็นเวลานานๆ ร่างกายก็จะได้รับผลกระทบเป็นเรื่องปกติ
คาลเมียร์ซังเสนอให้พักหลายต่อหลายครั้ง แต่ฉันก็ตัดสินใจปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าฉันจะมาถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ เลยเกิดอาการเดินโซเซเล็กน้อย
“…..อริซซามะ วันนี้เลิกกันแค่นี้ดีไหมคะ? ตอนนี้ แม….เบลล์ซังน่าจะรอแย่แล้วนะคะ”
“แม…..?”
“มะ ไม่ ไม่มีอะไรคะ ซะ โฮระ กลับไปที่ห้องกันเถอะค่ะ ไปเช็ดตัวแล้วพักผ่อนได้แล้วนะคะ”
“อะ อืม…..”
กุ ฉันโดนยกขึ้นจากด้านหลัง แต่ฉันก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรเป็นพิเศษ ยังไงก็ตาม แม้ร่างกายจะยังเป็นเด็ก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนักเกินไปรึเปล่า หรือบางทีเธออาจจะใช้การเสริมพละกำลังตัวเองด้วยเวทมนตร์ก็ได้ ถึงฉันไม่รู้ว่าเธอสามารถทำได้ไหม
“ยกโฮ ยกโฮ”
“กู่…..”
ในขณะที่ถูกอุ้ม แขนของคาลเมียร์ซังกดลงมาที่ท้องของฉันทุกครั้งที่เธอก้าวขึ้นบันไดและมันทำให้เจ็บปวดเล็กน้อย ฉันปล่อยเสียงครวญครางออกในระดับที่ไม่ให้ได้ยิน หลังผ่านห้องทำงานของคุณพ่อที่ชั้นสอง ทนอาการเจ็บแบบเดียวกันที่บันไดขึ้นชั้นสาม ในที่สุดฉันก็กลับมาถึงห้องของฉัน
“โย๊คโชะ มาถึงแล้วค๊า!”
“ฮ๊า”
ฉันถูกปล่อยลงหลังมาถึงหน้าห้อง ในที่สุดฉันก็ได้ยืนด้วยเท้าของตัวเอง
คาลเมียร์เคาะประตู ก่อนที่จะเปิดประตูออก
“อ้า คาลเมียร์ ทำงานได้ดีมาก….. อริซซามะ ยินดีต้อนรับกลับนะคะ ฟุๆๆ”
เสียงของเบลล์ซังดังขึ้นมาจากด้านหน้าของเส้นผมสีแดงปานกลางของคาลเมียร์ซัง จากมุมมองของฉัน ฉันเห็นแค่ใบหน้าของเธอที่หันกลับมา เบลล์ซังที่รับรู้ถึงสายตาของฉันก็ประสานมือโค้งให้ฉัน
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะคะ อริซซามะ ถ้าเช่นนั้นดิฉันขอตัวก่อนค่ะ ไว้มาฝึกกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ!”
“อืม”
แล้วคาลเมียร์ก็ขยับหลบออกไปด้านข้างเพื่อเปิดทางงให้ฉันเดินผ่านได้ง่ายๆ เธอเปิดประตูค้างเอาไว้จนกระทั่งฉันเข้ามาในห้อง ฉันขอโทษเธอในใจ เมื่อมองจนประตูปิดลง ฉันก็หันกลับไปหาเบลล์ซัง
เธอต้องทำความสะอาดห้องแล้วแน่ๆ หนังสือภาพที่ควรกระจัดกระจายอยู่รอบๆเตียงนั้นได้รับการจัดเก็บอย่างประณีต
“อริซซามะ?”
“ก่ะ”
ฉันเอียงคอเล็กๆแล้วเดินกอดตุ๊กตาด้วยมือเดียวเข้าไปหาเบลล์ซังที่อ้าแขนรออยู่
“ค๊า เหนื่อยหน่อยนะคะ กิ้ว”
“อือ”
เมื่อไม่นานมานี้การกอดกันหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกเวทมนตร์ได้กลายเป็นธรรมเนียมปกติไปแล้ว แต่ก็นะ ไม่ใช่อะไรที่ต้องไม่พอใจสักหน่อย หอมมากๆด้วย ดังนั้นฉันเลยยอมให้ทำ มือของเบลล์ซังลูบหัวลูบหลังฉันจนรู้สึกดีสุดๆ
ฟุเนี๊ยว หัวของฉันรู้สึกดีจนแทบละลาย ฉันต้องรีบพูดก่อนที่จะรู้สึกดีจนพูดไม่ออก
“บะ เบลล์…….”
“คะ”
“พะ พอแล้ว ม๊ายเป็นร๊ายแล้ว เพราะงั้น…”
“ฟุๆๆๆ รับทราบแล้วค่ะ”
หลังตบหลังเบาๆเป็นการส่งท้าย เธอก็ปล่อยมือออกให้ฉันเป็นอิสระ ฉันกับเบลล์ซังจ้องตากันเงียบๆแป็บหนึ่ง แล้วเบลล์ซังก็ยิ้มก่อนยืนขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น ได้เวลาให้ดิฉันเช็ดตัวให้แล้วนะคะ ดิฉันจะไปนำผ้าขนหนูเปียกเช็ดมา กรุณารอสักครู่นะคะ”
“อืม ขอบกุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ……เช่นนั้น ดิฉันจะรีบกลับมานะคะ”
หลังเห็นเบลล์ซังหายไปหลังประตู ฉันก็หันกลับไปที่เตียงก่อนนั่งลง
“อ…..เหนื่อยหน่อยนะ”
ฉันวางตุ๊กตานอนราบลงบนฟูก ก่อนพูดขอบคุณกับสหายร่วมงานในขณะที่หันครึ่งตัวไปทางตุ๊กตา
“…..ฮะแฮ่ม”
ยังไงก็ตามก็ตามหลังพูดออกไป ฉันก็รู้สึกว่าการทำแบบนี้ก็เหมือนกับบอกว่าตัวเองเป็นเด็กขี้เหงานะสิ และแม้จะรู้ว่าไม่มีใครมองอยู่ ฉันก็แกล้งกระแอมไปกลบเกลื่อน
“ค๊า ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซามะ ขออณุญาตนะคะ”
“อะ อืม”
ต๊อกแต๊กๆ เบลล์ซังกลับมาพร้อมเสียงฝีเท้า
ประตูเปิดออกหลังได้ยินฉันตอบกลับ
“ดิฉันมั่นใจว่าชุดของอริซซามะต้องเปียกชุ่มด้วยเหงื่อจนรู้สึกเหนียวไปหมดแล้ว เพราะงั้นรีบเปลี่ยนชุดกันเลยดีกว่านะคะ”
“อืม”
ในมือของเธอมีตะกร้าที่ใส่ชุดสำหรับเปลี่ยนและผ้าขนหนู เธอใช้มือข้างที่ว่างปิดประตูด้านหลัง พอเธอเดินเข้ามาใกล้ ฉันก็ลงจากเตียง
“ค๊า กรุณายกแขนขึ้นด้วยค่ะ”
“บันซ๊า~~ย”
“บัน ซะ…..?”
“ม๊ายมีอาร๊าย”
ฉันสงสัยว่าตัวเองคงจะชินแล้วรึเปล่านะ หรือว่าจะเพราะฉันเริ่มเป็นคนจริงจังได้แล้ว ความอายที่โดนจับถอดเสื้อผ้าถึงได้หายไปเงียบๆ ชายเสื้อกระพือมาถูหน้าของฉัน
ความรู้สึกจากปลายจมูกเสียววาบมาจนถึงหลังที่เปียกชุ่มให้ความรู้สึกลามกจนเผลอสูดหายใจแรงๆ
“ฮัดชิ้ว”
“….อาร๊า หนาวงั้นรึคะ? ดิฉันจะรีบทำเพื่อไม่ให้เป็นหวัดนะคะ”
ตรงกันข้ามเลยต่างหาก จริงอยู่ว่าผ้าขนหนูเปียกๆที่ถูลงบนร่างกายจะทำให้รู้สึกเย็น
แต่ว่าฉันกลับไม่รู้สึกเย็นเลยสักนิด เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังร้อนรุ่ม จากรักแร้ หน้าอก จนถึงหลัง ความเย็นของผ้าขนหนูที่ถูลงโดยตรงทำให้ผิวเย็นลง มันค่อนข้างรู้สึกสบายมากกว่า
“โยชชิ โยชชิ …..ช่วยอ้าขาหน่อยได้ไหมค่ะ?”
“……ก่ะ”
ถึงจะบอกว่าความอายหายไปแล้ว แต่โดนขอแบบนี้ก็ยังเหลือความลังเลเล็กน้อย ถ้าถามว่าเป็นเพราะอะไร ก็คงเป็นความรู้สึกอึดอัดบางอย่าง
แต่ไม่มีเหตุผลเลย ฉันคุ้นเคยจนเลยจุดที่ต้องบ่นได้หลายปีแล้วแท้ๆ
“อืออออ งื้อ……”
“ค่ะ สะอาดสวยเรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันขอนำน้ำออกไปทิ้งก่อนนะคะ”
ชุดกับผ้าเช็ดตัวเปียกๆของฉันถูกใส่ลงตะกร้า แล้วเช็ดตัวฉันด้วยผ้าขนหนูแห้งๆไล่ความชื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้แห้ง
ในที่สุดก็เสร็จ ฉันถูกห่อตัวด้วยผ้าขนหนู ก่อนที่จะได้รับการแต่งตัว
“ถ้าเช่นนั้น มาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเลยค่ะ”
และที่เบลล์ซังยกขึ้นมาโชว์ให้ดูก็มีแต่ชุดวันพีช…..เท่านั้น
ไม่มีทางน่า ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเบลล์ซังยิ้มกลับมาให้
“โม๊ ดิฉันคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องสวมอีกแล้วละค่ะ”
ในที่สุด ในที่สุดก็…….!
เวลาแห่งอิสระภาพได้มาถึงแล้ววววว
ในที่สุด ผ้าอ้อมก็
“ขอบคุณ”
“ค่ะ คะ……?”
“เวลาที่ดีที่สุดมาถึงแล้ว….”
“อริซามมะ……?”
――― ฉันจบการศึกษาแล้ว!
ขอบคุณผ้าอ้อม และ ลาก่อนผ้าอ้อม
นับตั้งแต่ที่ใส่คุณมา ขอบคุณมากสำหรับทั้งความอาย ทั้งความปลอดภัยที่มอบให้ แต่หมดเวลาแล้ว ฉันขออนุญาตยุติบทบาทของคุณเท่านี้
ฉันยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน แต่ฉันขอลบให้เร็วที่สุด
อ้า ฉันมีความสุขมากเกินไปจนเผลอฮัมเพลง
ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราจะเลิกกันแล้ว ลาก่อนผ้าอ้อม ―――!
“อุฟุๆๆ ฟู่~”
“―――อริซซามะ กำลังร้องเพลง……?”
“ฉันคือคาร่า”
“…..คะ?”
“อ้า~”
ฉันรู้สึกเดจาวูแปลกๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เหมือนเคยเกิดเมื่อนานมาแล้ว
ฉันปลดปล่อยภาษาญี่ปุ่นเป็นจังหวะเสียงเพลง คำเหล่านี้สำหรับทุกคนและเบลล์ซังต้องเป็นเรื่องลึกลับอย่างแน่นอน หรือไม่ ก็คงเข้าใจว่าเป็นเสียงหัวเราะที่ฮัมออกเป็นเพลง ฉันหวังว่าจะไม่มีเสียงหลงคีย์น่ะ
“มีเรื่องอะไรดีๆงั้นเหรอคะ?”
“ม๊ายมีอาร๊าย”
เช่นนั้นเหรอคะ เบลล์ซังพูดแบบนั้นพร้อมทิ้งเครื่องหมานคำถามเอาไว้บนใบหน้า ก่อนที่เธอจะยกชุดวันพีชสีขาวขึ้นมาโชว์ด้วยสองมือ แล้วการแสดงออกทางสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพร้อมเสียง ฟุๆๆ และยืดอวดหน้าอก”ที่มี”ที่แตกต่างกับของฉัน …..หมายถึงหน้าอกของชุดวันพีซต่างหาก
อืม? ในคราวนี้เป็นทีของฉันที่ต้องเอียงคอสงสัยในขณะที่มองชุดอย่างตั้งใจ มันดูสะอาดไร้รอยยับ ….ใช่ ไร้รอยยับ เข้าใจละ
“…..อะ นี่ ครั้งแรก”
“ค่ะ! สังเกตเห็นสินะคะ พวกดิฉันได้เตรียมชุดใหม่ๆที่น่ารักเหมาะกับอริซซามะเอาไว้หลายชุดเลยละค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดลำลองที่ตัดขึ้นมาใหม่ ไม่ผิดแน่ ชุดเก่าเองก็เหมือนจะดูโทรมๆไปเยอะแล้วเหมือนกัน แต่ถึงจะเริ่มเก่ามันก็ยังดีพอที่จะใส่ได้สบายๆ ถ้าเทียบกับชุดที่เหมือนกับเศษผ้าในชาติก่อน ถึงจะเก่ามันก็เหมือนชุดคลุมของเจ้าหญิงอยู่ดี
ฉันสงสัยในสิ่งที่ตัวเองควรจะพูด ฉันคิดทบทวนหลายครั้ง คำพูดที่ฟังดูไร้เดียงสาที่สุดก็อาจกลายเป็นความปรารถนาดีที่สร้างปัญหาได้
แต่ที่นี่ตอนนี้ ฉันก็เลือกที่จะขอบคุณ อย่างซื่อสัตย์
“ขอบกุณ เบลล์”
“ไม่หรอกค่ะ เรื่องแค่นี้เอง ดิฉันก็แค่อยากจะเห็นอริซซามะใส่ชุดใหม่ๆแค่นั้นเองค่ะ”
“….หรือว่า เบลล์ ซื้อ?”
“ค่ะ แต่ว่าดิฉันซื้อชุดใหม่เหล่านี้ได้ด้วยเงินที่ได้รับมอบมาจากฮัททีเรียซามะนะคะ เพราะอย่างงั้นกรุณาขอบคุณฮัททีเรียซามะแทนเถอะนะคะ”
“อืม แต่ เบลล์ ก็เป็นคนเลือก”
“…..ขอบพระคุณมากเลยค่ะ อริซซามะ”
หลังจากกังวลเล็กน้อย เบลล์ซังก็มีรอยยิ้มใหญ่อยู่บนใบหน้า
เพียงแต่ แค่มีชีวิตอยู่ก็ได้รับสิ่งต่างๆมากมายแล้ว นี่ฉันมีความสุขขนาดไหนกันนะ ฉันต้องไปสื่อความรู้สึกขอบคุณอันล้นทะลักกับคุณพ่อในภายหลัง
“เอาละค่ะ ก่อนที่อริซซามะจะเป็นหวัดไปจริงๆ รีบแต่งตัวกันเลยดีไหมคะ?”
“อืม บันซ๊า~~ย”
“ฟุๆๆๆ รอบก่อนก็กล่าวคำนี้ไปทีหนึ่งแล้ว เป็นคำใหม่ที่อริซซามะคิดขึ้นมางั้นเหรอคะ?”
ไม่ใช่หรอก มันเป็นภาษาแม่ชาติก่อนของฉันต่างหาก แต่เพราะพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ เลยได้แต่ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว ฉันยังคงใช้มันโดยไม่รู้ตัว แต่มันเป็นภาษาที่ฉันใช้มานานกว่ายี่สิบปี มันเลยง่ายที่จะพลาดหลุดออกมา มันช่วยไม่ได้ละนะ
“เอ๊ะโตะ บัน…..”
“บันซ๊า~~ย นะ”
“บันซ๊า~~ย สินะคะ”
“อืม เก่ง”
“รู้สึกแตกต่างจากคำที่ใช้อยู่ปกติเสมอๆเลยค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของการไชโยด้วยละค่ะ ไม่ผิดแน่ๆค่ะ”
“โดยะ”
เบลล์ซังพูดติดตลกซึ่งแตกต่างจาก”ไม่มี”หน้าอกให้ยืดของฉัน จุดยืนของพวกเรากลับด้านกันขนานใหญ่แล้ว
น่าเศร้าที่จะเป็นแบบนั้น”เสมอ”
“นั้นอริซซามะก็คิดขึ้นมาเหรอคะ?”
“อะ อืม”
“ถ้าเช่นนั้น อนาคตของเบลล์ผู้นี้ก็จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาอริซอย่างแน่นอนสินะคะ”
“ยะ อย่าพูด….แบบนั้นสิ”
ในขณะที่ฉันกำลังสร้างภาษาลึกลับขึ้นบนโลกนี้ ชุดก็ถูกสวมผ่านหัวของฉันลงไปที่ตัว
มันมีกลิ่นของแดด แสดงว่ามันถูกซักครั้งหนึ่งหลังจากที่ซื้อมา
“เช่นนั้น ท่านอาจารย์ตัวน้อย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ”
“ก่ะ”
“ก่อนอื่นก็…..”
และทั้งใดนั้น การแสดงออกของเบลล์ซังก็เย็นชาบิดเบี้ยวไปชั่วครู่ ก่อนที่จะกลับมานุ่มนวล ฉันไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน
“เบลล์……….?”
“…….อะ …….มะ ไม่มีอะไรค่ะ!ไม่ต้องห่วงนะคะ……”
ใบหน้าที่ฉันไม่เคยเห็น และไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรมันก็เผาไหม้ภายในใจของฉัน
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ ….อันที่จริงแล้วอาหารเย็นวันนี้ สหายของฮัททีเรียซามะที่พวกเราเคยคุยถึงก่อนหน้านี้ ――― ลาบริกซ์ซามะจะมาร่วมรับประทานด้วยค่ะ”
เบลล์ซังที่กลับมายิ้มอย่างรวดเร็วกำลังพูดอะไรบางอย่างที่เบาจนฉันแทบจะไม่ได้ยิน