[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 12 สาวน้อยแห่งกองอัศวินสาวผู้บริสุทธิ์ใสซื่อ
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 12 สาวน้อยแห่งกองอัศวินสาวผู้บริสุทธิ์ใสซื่อ
ตอนที่ 12 สาวน้อยแห่งกองอัศวินสาวผู้บริสุทธิ์ใสซื่อ
“อัก!”
“เอวอ่อนไป รักษาจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำกว่านี้!”
หยดเหงื่อไหลอาบแก้ม
“ย้าก!”
“มั่วเกินไปแล้ว โจมตีทะลวงให้ตรงจุดกว่านี้!”
ลมหายใจถูกรบกวนอย่างหนักหน่วง ผิวเปล่งประกายด้วยหยาดเหงื่อภายใต้แสงอาทิตย์ที่อบอ้าว
ที่นี่คือกองอัศวินลิลลี่ขาว กองทหารรักษาการณ์แห่งมาเรียนา
“เอาละ…..หยุดพักได้ ――― ไปรับน้ำของตัวเองซะ!”
“ค่ะ”
คำว่าหยุดพักได้มันเป็นสวรรค์สำหรับข้าเลย
“…..มิแรนดา กล้ามเนื้อของเจ้าดูดีเช่นเคย ข้าคาดหวังในตัวเจ้า”
“ขะ ขอบพระคุณมากค่ะ….. !”
ข้าขอบคุณคำชื่นชมของครูฝึก ก่อนลดกริชดั๊ก*ที่ถือไว้แน่นด้วยมือเดียวลง และปรับลมหายใจอย่างรวดเร็ว
*https://th.performancegunworks.com/698-european-dagus-or-left-hand-dagger-weapon-history-an.html
ฟู่ ข้าถอนหายใจอย่างแรงด้วยความพอใจและอิดโรย
และทันทีที่ข้าเก็บดาบเข้าฝัก ข้าก็ทรุดตัวลงตรงนั้นทันที ข้าเฝ้ามองแผ่นหลังของเหล่าสหายร่วมกองทั้งสองที่กำลังเดินกลับไปที่ค่ายทหาร
……สมาชิกของกองอัศวินลิลลี่ขาว เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ข้าได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดจนแทบยืนไม่ไหว แต่ข้าก็ลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้งเมื่อตระหนักถึงน้ำหนักของสิ่งต่างๆที่ต้องแบกเอาไว้
ใช่แล้ว ในวันที่ข้าได้ตัดสินใจเข้าร่วมกองอัศวิน
“มิแรนดา・คูเรีย อายุ 14 ปี เพศหญิง ปริมาณพลังเวทมนตร์ที่มี คลาส B คุณสมบัติพิเศษ คือ เสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย สินะ”
“…..ค่ะ”
ชายวัยกลางคนที่มีผมสั้นสีแดงเข้มตรงหน้าอ่านออกเสียงโปรไฟล์ของข้าโดยไม่แยแสสิ่งใด ทำให้ข้าอึดอัดจนต้องหาสิ่งอื่นมาหลอกตัวเองให้หลุดพ้น
ข้าเตรียมแผนสำหรับการปรากฏตัวเอาไว้อย่างดี เมื่อเขามองมาที่ข้าก็จะเห็นข้าซึ่งยืนตัวตรงอย่างสวยงามมากพอจะคุยโม้ได้ เขาวางมือบนคางเพื่อครุ่นคิดบางอย่าง แก๊ก เสียงดังขึ้นจากเก้าอี้
“…..มีอะไร เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นรึ”
เขาถามออกมาเสียงเข้มพร้อมขมวดคิ้วโดยข้าไม่ทันตั้งตัว
อย่างไรก็ตามหลังเห็นข้าแกล้งงงงวยปิดปากเงียบ เขาก็เลิกสนใจก่อนกลับไปอ่านเอกสารอีกครั้ง
“…..จริงอยู่ที่ว่าอัศวินหญิงมีจำนวนน้อย แต่ว่าก็มีการกำหนดจำนวนแน่นอนเอาไว้อยู่แล้ว หากมีผู้หญิงที่สามารถจัดการใช้พลังเวทมนตร์ได้ดีกว่าผู้ชายได้รับการฝึกเป็นอัศวิน ผู้หญิงคนนั้นก็จะสามารถเติบโตเป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยมได้ แต่อัศวินหญิงพวกนั้นก็ไม่มีทางได้เลือกหน้าที่ของตนเองหรอกนะ …..เรื่องพวกนั้น เจ้าเข้าใจดีใช่ไหม?”
แน่นอนมันเป็นความรู้พื้นฐาน ผู้หญิงมีพลังเวทย์มนตร์น้อยกว่าผู้ชาย แต่พวกเธอก็จัดการพลังเวทย์มนตร์ได้ดีกว่า มันไม่ได้มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนจากการวิจัย แต่ในความเป็นจริงมันมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น และเป็นสามัญสำนึกที่แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็รู้
และกองทัพราชอาณาจักรพิจารณาวิธีการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะดังกล่าว
เพราะเช่นนั้น จึงมีการจัดตั้งกองอัศวินใหม่ขึ้นมา นั้นก็คือ “กองอัศวินลิลลี่ขาว”
ส่วนใหญ่รับผิดชอบในการลาดตระเวนและการก่อกวน มันเป็นกองกำลังพิเศษที่ประกอบด้วยแค่อัศวินหญิง
แม้จะตั้งขึ้นมาใหม่จนดูขาดแคลนบุคลากร แต่ก็มีอัศวินหญิงสองสามคนอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งพวกเธอเป็นอัศวินหญิงที่ดูเหมือนจะได้รับมอบหมายหน้าที่เอาไว้แล้ว
กล่าวอีกนัยคือ ภารกิจพิเศษ มันจะเป็นงานที่ต้องทำอะไรๆมากมายที่บางสิ่งบางอย่างโดยทั่วไปจะถือว่าเป็นงานสกปรก คำพูดของเขามันได้ยืนยันเรื่องนั้น
“ค่ะ ข้าทราบเรื่องนั้นเป็นอย่างดี”
“….ถ้าเช่นนั้น ดี มิแรนดา・คูเรีย ข้าขอรับรองให้เจ้ากลายเป็นอัศวินอย่างเป็นทางการ”
ปัง เสียงประทับตราอนุญาตลงบนเอกสาร
“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้จักข้าอยู่แล้ว แต่ข้าขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าคือแม่ทัพแห่งราชอาณาจักรรูเนเรีย ลาบริกซ์・โฮวาร์ดรีด ผู้บังคับบัญชาของอัศวินทั้งหมด หลังจากนี้ข้าก็ขอคาดหวังในกำลังของเจ้า”
“ค่ะ!”
ข้าแสดงความเคารพกลับด้วยการเลียนแบบได้ไม่ดีนัก และจากนั้นก็ออกจากห้องไป
ข้า กลายเป็นอัศวินแล้ว
“ถึงตอนนี้ แต่….”
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ลอยออกมา ข้ามีความทรงจำอันแสนไร้เดียงสา หากตัวข้าในอดีตมองมาที่ตัวข้าในตอนนี้จะคิดว่ายังไงกันนะ
จะมองมาอย่างดูถูกไหมนะ จะผิดหวังหรือประหลาดใจไหม
ข้ารักในเรื่องราวของอัศวินมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเหตุผลบางอย่างสิ่งที่ข้าชื่นชอบไม่ใช่เจ้าหญิง แต่เป็นอัศวินผู้ช่วยชีวิต ข้าอยากเป็นอัศวินของเจ้าหญิงที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ความฝันของข้าคือการได้อุทิศความจงรักภักดีให้เจ้าหญิง
แม้จะคิดแบบนั้น ไม่สิ คิดให้ดีนับตั้งแต่ตอนนั้นมันเคยมีสัญญาณอะไรบ้างไหมนะ
ข้ากำลังบิดเบี้ยว
ข้าคิดมาตลอด ข้ามักจะคิดถึงเสมอๆ ยามที่เฝ้ามองสหายร่วมกองที่ฝึกอย่างหนักด้วยกัน
ข้าอยากปลดปล่อยแรงกระตุ้นที่อาละวาดอยู่ในอกมาตั้งแต่ฝึกซ้อม หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดว่าไม่มีใครเหลืออยู่ในพื้นที่ฝึกซ้อมแล้ว
“――― อ๊ากกกกกกกกกกกก!! ต้นขา! ขาอ่อน! ก้น! ผิวเรียบเนียนอ่อนนุ่มชุ่มเหงื่อของสาวน้อยยยยยยยย!”
――― ใช่แล้ว ข้าบิดเบี้ยดไปเรียบร้อยแล้ว
มะ มันช่วยไม่ได้หรอกนะที่ข้าจะมีอารมณ์หื่นกับเด็กสาวรุ่นเดียวกันกับตัวเองไปจนถึงเด็กสาวที่อายุน้อยกว่า มันเป็นรสนิยมตามธรรมชาติที่แก้ไขไม่ได้ต่างหาก
มันเป็นรสนิยมที่ฝังรากลึกเข้ากระดูกดำไปแล้ว
“ฮ๊า แฮ่กๆๆ…… ข้าเกลียดตัวเองจริงๆ”
หลังจากข้าได้ปลดปล่อยความปรารถนาอันแรงกล้าออกมา จนเมื่อมันเริ่มจางหายไป ข้าก็รู้สึกผิดต่อสหายร่วมฝึกที่พยายามอย่างหนักในการฝึกแต่กลับถูกข้ามองด้วยสายตาเช่นนี้
แต่มันก็ยากที่ข้าจะห้ามตาตัวเองเช่นกัน
“สักที่หนึ่งในโลก ข้าสงสัยจริงๆว่าจะมีเจ้าหญิงที่อ่อนโยนราวนางฟ้าที่สามารถยอมรับตัวข้าทั้งหมดได้อยู่ไหมนะ”
หลังจากรำพึงรำพันถึงเรื่องราวชวนเพ้อฝันออกมา ข้าก็หัวเราะเยาะให้ความคิดโง่ๆของตนเอง
“เอาล่ะ”
ซ้า อีกไม่นานก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ข้ารอคอยโอกาศมานาน ข้าต้องรีบเรียนรู้ความรู้เทคนิคขั้นสูงจากครูฝึก――― จากแม่ทัพลาบริกซ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพราะมันเป็นไปได้ยากที่จะได้เรียนรู้เทคนิคและยุทธวิธีที่”ลาบริกซ์”ใช้สร้างชื่อเสียงในสงครามกับจักรวรรดิโดยตรงกับเจ้าตัว
ดูเหมือนว่าหลังเสร็จสิ้นการฝึกฝนของกองอัศวินลิลลี่ขาว เขาก็ต้องกลับเมืองหลวงเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของแม่ทัพตามปกติทันที
ในขณะที่เขาฝึกอบรมพิเศษให้ ไม่มีการอนุญาตให้เสียเวลาหนึ่งเดือนอันมีค่าไปอย่างไร้ประโยชน์
“แต่ก่อนอื่นเลย น้ำ….”
โชคดีที่ดูเหมือนว่าเวลาพักจะยังไม่สิ้นสุดลง และไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกลับมายังพื้นที่ฝึกซ้อม
เพื่อหล่อเลี้ยงคอที่กำลังจะแห้งตายเนื่องจากการกรีดร้อง ข้ายื่นขึ้นมาด้วยร่างกายที่หนักอึ้ง
สายลมที่พัดผ่านภายใต้ท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์ทำให้สนามฝึกที่ยังอบอ้าวไปด้วยความร้อนเย็นลง
ถ้ายืนอยู่คนเดียวภายใต้ท้องฟ้าเช่นนี้ ก็ทำให้ดูเหมือนปัญหาของข้าเล็กเอามากๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้น ท่วงท่าการเดินก็ช้าตามไป
“……ช่างสงบสุขจังน๊า”
ช่างเป็นชีวิตประจำวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของข้าอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อข้ามุ่งหน้าเข้าไปใกล้ค่ายทหาร ข้าก็เห็นเงาร่างคนเดินออกมาจากที่นั้น
“หืม…..?”
โดยไม่ต้องเพ่งสายตา ระยะทางที่ใกล้เข้ามา ตัวตนของเงาก็ถูกเปิดเผย
“คะ ครูฝึก!?”
แย่แล้ว แย่มากๆ หรือว่าบางที ราชินีลักเซเรียผู้มีชื่อเสียงด้านเสือผู้หญิงจะได้ยินเสียงกรีดร้องน่าอายเมื่อกี้นี้กันน่ะ
ระยะห่างจากค่ายทหารถึงที่นี่ไม่ควรจะมีใครได้ยินสิ……ไม่สิ เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงคนที่ถูกเรียกว่าเป็นวีรบุรุษในสงคราม
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะหูนรก ไม่พลาดเสียงพูดหรือเสียงรบกวนแบบไหนๆ
ข้าทำได้แค่กำกำปั้นในมือขวาขึ้นประทับที่อกเพื่อแสดงความเคารพอย่างไร้แรงต่อต้าน
“…อ้า มิแรนดา เจ้ายังอยู่ที่นี่งั้นรึ”
“ค่ะ ข้านั่งพักเล็กน้อย เนื่องจากรู้สึกขาดกำลังค่ะ”
“เข้าใจล่ะ การประเมินความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาสูงเกินไปนับเป็นข้อห้ามร้ายแรง หวังว่าข้าจะไม่ได้เข้มงวดกับพวกเจ้ามากไปหน่อยหรอกนะ”
“จากนี้ไปข้าจะพยายามให้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความคาดหวังของท่านค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหาข้า ระดับแม่ทัพจะต้องการอะไรจากอัศวินธรรมดาๆอย่างข้ากัน
แน่นอนในช่วงระยะเวลาการฝึกนี้ เขามักจะให้คำชมเกี่ยวกับกล้ามเนื้อของข้าเสมอ ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ดีกว่าคนรุ่นเดียวกันเล็กน้อย แต่หากเปรียบเทียบกับเขาก็ไม่ต่างจากลูกโอ๊ก
เมื่อได้รับคำอนุญาต ข้าก็ลดกำปั้นลงพร้อมกล่าวขอบคุณ แน่นอนว่ายืนหลังตั้งตรงทันที
“งั้นรึ ดีแล้ว สำหรับตอนนี้ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้านิดหน่อย”
“คุย งั้นเหรอคะ…..?”
“อา”
ข้าได้แต่ปิดปากรอเงียบๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดเหมือนไม่มีอะไรทันที
“ถ้าจำไม่ผิด เจ้ารู้จักกับคาลเมียร์สินะ”
“…..เอ๊ะ อะ คะ ใช่ค่ะ ตอนนี้เธอกับข้ายังมีความสัมพันธ์แบบอธิบายไม่ได้อยู่ค่ะ พวกเรามีการปฏิสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ตอนเข้าโดนเข้าร่วมกองทัพแล้วค่ะ แต่…..”
ข้าไม่ได้คาดคิดว่าชื่อของเธอจะโดดออกมาจากท่านแม่ทัพแบบนี้
ถูกแล้ว คาลเมียร์เป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีแดงน่าเบื่อเล็กน้อย พวกเราเข้าร่วมกองทัพของราชอาณาจักรในเวลาเดียวกัน จึงได้เป็นสหายกัน
แต่ยังไงก็ตามหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกหลักสูตรขั้นพื้นฐานของอัศวิน เธอก็ถูกส่งเข้ากองกำลังสำรองที่มีไว้เตรียมรับคำสั่งแทนที่จะเป็นกองอัศวินตั้งแต่แรก ในตอนนั้นข้าก็ได้พบเธอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ตั้งแต่ข้าได้เข้าสู่การฝึกพิเศษนี่ ข้าก็ไม่ได้เห็นนางอีกเลย ได้ยินมาว่าเธอถูกจ้างไปเป็นข้ารับใช้ตระกูลของลอร์ดแห่งมาเรียนา
“คิดว่ายังไง หากเจ้าได้ไปเจอกันหลังจากที่ไม่ได้พบกันมานาน?”
“คะ ค่ะ…….ไม่สิ หากได้รับอนุญาต ข้าก็รู้สึกอยากจะสนทนาด้วยเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ข้าอยากตั้งสมาธิทั้งหมดให้กับการฝึกพิเศษเป็นหลักค่ะ”
“….เจ้ารู้ใหมว่าทำไมเธอถึงได้รับมอบหมายให้ไปทำงานอยู่กับกองกำลังสำรอง?”
แม้ใบหน้าของเขาจะดูเป็นมิตร แต่ดวงตาของเขาจริงจังอย่างมากจนดูเหมือนเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ข้าได้ยินมาว่าเธอได้รับการยอมรับให้เข้าทำงานเป็นเมดของตระกูลแฟร์มิล แต่….”
“อืม นั้นสินะ ใช่แล้ว เธอถูกจ้างจาก……ฮัททีเรีย แต่ก็ใช่ มันเป็นเหตุผลอย่างเป็นทางการล่ะนะ”
“ทางการ งั้นรึค่ะ”
“อ้า”
ข้าขมวดคิ้วของตัวเองหลังได้ยินเกี่ยวกับความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมาในทันทีทันใด และยังมีกลิ่นที่น่าสงสัยลอยโชยมา ข้าคิดว่ามันคงเป็นเรื่องล้อกันเล่น แต่จากท่าทางแล้วเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้บอกข้า ความไม่เข้าใจของข้าส่งผ่านออกไปทางสายตา
“…..กลุ่มต่อต้านไงละ แม้ที่นั้นจะเป็นดินแดนเป็นกลาง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีกิจกรรมที่ต้องเฝ้าระวังเพิ่มมากขึ้น”
กลุ่มต่อต้าน เรื่องราวมีกลิ่นของภารกิจพิเศษมากขึ้นเรื่อย ๆ
การปกครองในรัชสมัยของอดีตกษัตริย์ถูกยกย่องว่าเป็นยุคแห่งปัญญา ตรงกันข้ามกับรัชสมัยของกษัตริย์และราชินีองค์ใหม่ที่ถูกเรียกว่าเป็นทรราช
“แคปปิตาเลีย・โร้ด・รูเนเรีย” การปกครองของกษัตริย์ต่อประชาชนทั่วไปเต็มไปด้วยการดูถูกดูหมิ่น แน่นอนว่าความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปแพร่กระจายไปเป็นวงกล้าง ร่วมไปถึงชนชั้นขุนนางชั้นสูงหลายคน
และนอกจากนี้องค์ราชินี ราชินี”ลักเซเรีย・โร้ด・รูเนเรีย” หากกษัตริย์สนใจแต่การกอบโกยทรัพย์สินเข้าปากตัวเองจนอ้วนฉุเหมือนหมู เธอก็เป็นลิงที่สนใจแต่การเริงรักกับเหล่าเพศตรงข้ามเท่านั้น สำหรับความงามที่ซ่อนอยู่ก็บอกได้เลยว่าด้อยยิ่งกว่าลำคลองที่ล้นไปด้วยอุจจาระและขยะซะอีก
เป็นธรรมดาที่จะมีประชาชนทั่วไปจำนวนมาต่อต้านพวกเขา และยังมีพวกหัวรุนแรงร่วมกลุ่มกันเที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มต่อต้านอยู่ด้วย มีข่าวลือว่ากำลังตั้งเป้าที่จะก่อการปฏิวัติ
“นั่นหมายความว่า … “
“อ้า จุดมุ่งหมายคือวางแผนยั่วยุเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ เป็นข้อมูลชิ้นหนึ่งที่มีเพียงกรมข่าวกรองของราชอาณาจักรเท่านั้นที่รู้ และดูเหมือนพวกเขาจะพยายามเริ่มแผนการปฏิวัติที่นั้น แต่อิทธิพลของตระกูลแฟร์มิลกำลังขวางทางอยู่”
เมื่อพูดถึงลอร์ดของมาเรียนา ฮัททีเรีย・แฟร์มิล คือหนึ่งในสองแม่ทัพที่ถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รู้จักอย่างโด่งดังในนาม”แมด・แฮตเตอร์”(ช่างทำหมวกบ้าคลั่ง)จากสงคราม อย่างไรก็ตามหลังได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองดินแดนที่นั้นแล้ว การปกครองของเขาก็เป็นมิตรกับประชาชนทั่วไปมากๆ
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ชัดกว่านั้น ที่นั้นมีสามัญสำนึกการปกครองอาณาเขตเป็นมิตรกับประชาชนทั่วไปอย่างมาก และแน่นอนที่สุดคือไม่มีการบีบบังคับให้ต้องทำงานเหมือนกับที่กษัตริย์บีบบังคับให้ทำอย่างแน่นอน
ดังนั้นชื่อเสียงของตระกูลแฟร์มิลจึงสูงขึ้นมากเช่นเดียวกับความเกลียดชังต่ออำนาจของกษัตริย์ที่เพิ่มขึ้นโดยรอบเช่นกัน ที่นั้นจึงเป็นแสงแห่งความหวังเล็ก ๆสำหรับประชาชนทั่วไป และเหล่าขุนนางชั้นสูงรุ่นใหม่ที่พึ่งได้รับอำนาจ ในหมู่ประชาชนทั่วไปดูเหมือนจะมีหลายคนที่เรียกมาเรียนาว่าสวรรค์อย่างกึ่งจริงกึ่งล้อเล่น
แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าอิทธิพลของตระกูลแฟร์มิลนั้นยิ่งใหญ่
“…..ถ้าหากเกิดการลอบสังหารขึ้น มันจะถูกโยนให้เป็นผลงานของกษัตริย์”
“เรื่องต่อไปก็ง่ายต่อการคาดเดา ความเกลียดชังของประชาชนทั่วไปจะไปถึงจุดสูงสุด ราชอาณาจักรจะตกอยู่ในวิกฤตของการแบ่งแยก การปฏิวัติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น”
นั่นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มต่อต้าน ป่าวประกาศว่าการลอบสังหารเป็นผลงานของกษัตริย์ ปลุกระดมผู้คน และก่อให้เกิดการจลาจลทั่วราชอาณาจักร
ข้าหัวเราะไม่ออก มันเป็นไปได้สูงที่อาจจะการลอบสังหารขึ้นจริง
“คาลเมียร์เป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยม และเหนือสิ่งอื่นใดคือคุณลักษณะของเวทมนตร์”
“――― “เตือนภัย”….เข้าใจแล้ว เธอถูกส่งเข้าไปเพื่อทำหน้าที่เป็นคนส่งข่าวเวลาที่วิกฤตกำลังเข้าใกล้ตระกูลแฟร์มิล หมายความว่าเช่นนั้นสินะคะ”
คาลเมียร์สามารถควบคุมเปลวไฟได้อย่างยอดเยี่ยมดังเช่นผู้มีพลังผมแดงคนอื่นๆ แต่สีแดงนั้นน่าเบื่อ แม้จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่สีแดงก็แตกต่างกันน้อยมากลักษณะของเปลวไฟที่เห็นทั่วไปแทบไม่แตกต่าง
แต่ในระหว่างการฝึกคุณสมบัติพิเศษในหลักสูตรขั้นพื้นฐานของอัศวิน ก็มีคนสังเกตเห็นถึงลักษณะเฉพาะอันหายากโดยบังเอิญ มันเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์สำหรับการลาดตระเวน ครูฝึกในเวลานั้นต่างคาดหวังในอนาคตของเธอ
โดยทั่วไปพลังเวทย์มนตร์มักไม่มีสีและโปร่งใส แต่คุณสมบัติ “เตือนภัย” ของเธอคือ เมื่อเธอรู้สึกถึงวิกฤติรอบตัวเธอ พลังเวทมนตร์ที่ปล่อยออกมาจะเปลี่ยนเป็นสีแดง นั้นคือคำเตือน
คนส่วนใหญ่สามารถปลดปล่อยพลังเวทย์มนตร์ได้เท่าที่ขอบเขตและปริมาณที่มี หากเธอถูกใช้งานในการปล่อยพลังเวทมนตร์เพื่อตรวจถึงอันตรายให้บุคคลสักคนโดยไม่มีความฉลาดใดๆ เธอก็จะถูกพลักดันไปถึงขีดจำกัดจนไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีก
แต่ด้วยหินเวทมนตร์ที่มีคุณสมบัติในการเก็บพลังเวทย์มนตร์ที่ได้รับจากภายนอกได้ ด้วยการใช้คุณสมบัตินี้กักเก็บรักษาพลังเวทย์ของเธอไว้ในหินเวทมนตร์ มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเตือนภัยทำงาน และจะเป็นการประหยัดพลังเวทย์มนตร์ของเธอ
โดยพื้นฐานแล้วข้อมูลนี้จะไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปเนื่องจากมีเพียงชนชั้นสูงที่เป็นผู้ผูกขาดเอาไว้ แต่ข้ารู้ได้ก็เพราะข้าได้ฟังกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติพิเศษของเธอในระหว่างปฏิบัติจริง
“….กะแล้วว่าเจ้าต้องเข้าใจ คุณสมบัติของหินเวทมนตร์จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งของประชาชนทั่วไป นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าสั่งพวกเจ้าว่าอย่าไปพูดเรื่องพวกนี้ให้คนอื่นรู้……”
ถ้ามีโอกาสข้าก็อยากกล่าวคำเสียใจให้กับคาลเมียร์ที่ถูกใช้งานเบื้องหลังหนักขนาดนั้น
ม๊า แต่ยังไงเธอก็ไม่ได้เป็นพวกปากเบาอะไรแบบนั้น ข้าแน่ใจว่าตัวเองไม่พลาด เพราะข้ากับเธอเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพ
ข้าไม่ได้ปกป้องเธอเพราะถูกล่อลวงด้วยรูปลักษณ์แสนสวยของเธอหรอกนะ แต่ข้าแค่สนับสนุนเธอในฐานะเพื่อนเท่านั้น
“เหนือสิ่งอื่นใด ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้มาคุยกับข้ากันคะ”
เขาจ้องกลับมาที่อย่างแน่วแน่เหมือนตัดสินใจบางสิ่งได้ ก่อนพูดกับข้าเบาราวเสียงกระซิบ
“ข้าเอง ก็จะต้องมีส่วนร่วมในการปกป้องตระกูลแฟร์มิลด้วยงั้นรึคะ”
“ถูกต้องแล้ว แน่นอนว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถ แต่ว่าข้าไม่คิดที่จะทิ้งภาระทุกอย่างเอาไว้กับลูกเจี๊ยบอย่างเจ้าหรือคาลเมียร์หรอกนะ มันเป็นความต้องการของข้าที่อยากจะส่งพวกเจ้าเข้าไปก่อนที่จะสายเกิน และนี้เป็นการยับยั้งด้วย มันเป็นคำเตือนสำหรับกลุ่มต่อต้านว่าข้าเห็นแผนของพวกเจ้าชัดเจน”
เขาไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ว่านี่คือการทดสอบจริงสำหรับเหล่าสมาชิกของกองอัศวินลิลลี่ขาวรึเปล่าน่ะ
แต่ไม่ว่ากรณีใด ทั้งมีความสัมพันธ์กับคาลเมียร์ ทั้งรู้เรื่องสถานการณ์คำสั่งของเธอ และทั้งลักษณะ”คุณสมบัติ”ของข้า นี่อาจเป็นงานที่เหมาะสมกับข้าที่สุดแล้ว
“ข้าขอกล่าวด้วยด้วยความเคารพว่าการได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ข้านับเป็นเกียรติอย่างสูงค่ะ”
“ข้าขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดจังหวะการฝึกของเจ้า แต่ประสบการณ์ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในอนาคตต่อเจ้าอย่างแน่นอน”
“ค่ะ แม้ว่าจะต้องออกจากการฝึกกลางคัน แต่การได้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจคุ้มครองแมด・แฮตเตอร์ก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างแท้จริงค่ะ”
“อ้า ไม่…..”
ข้าพยายามแสดงความเคารพอีกครั้ง ในขณะที่กำลังเต็มไปด้วยความหวังและความวิตกกังวลจากภารกิจสำคัญที่กำลังจะมาถึง ก่อนที่คำพูดของเขาจะหยุดข้า
“เขาไม่ใช่คนที่เจ้าจะต้องไปคุ้มกันหรอกนะ ไม่มีทางที่พวกกลุ่มต่อต้านจะสามารถจู่โจมทำอันตรายเขาได้ หากไม่ใช่การซุ่มโจมตีขนานใหญ่”
“เช่นนั้น……?”
ข้าได้ยินว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตลงแล้ว
ไม่สิ เรื่องนั้น―――
“ข้าจะขอให้เจ้าไปทำหน้าที่ปกป้องลูกสาวของเขา…. ――― “อริซ・ฟอน・แฟร์มิล””
พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ข้าจำได้ว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้จากคาลเมียร์
ลูกสาวตัวน้อยที่มีผมสีเงิน ใบหน้าเรียบเฉย ถือของเล่นตุ๊กตาอยู่คนเดียวในห้องปิด
ข้ารู้สึกตัวเองกำลังหลงจากประเด็นที่ควรจะเป็น แต่ข้ารู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นตุบๆ
ความตื่นเต้น ทั้งจากความฝันและภารกิจ เติมเต็มไปทั่วร่างกาย
“ด้วยความยินดีอย่างสุดซึ้งเลยค่ะ องค์รักษ์ของเจ้าหญิง ความฝันสูงสุดของเหล่าอัศวิน”
ริมฝีปากของข้าสั่นสะท้านไปด้วยอารมณ์ที่ล้นออกมา
ด้วยเหตุผลบางอย่างน้ำตาของข้าก็ไหลไม่หยุด
“……ยังเร็วไปที่เจ้าจะดีใจ หลังการฝึกช่วงบ่ายจงมุ่งหน้าไปที่ปราสาท เจ้าจะได้เจอการฝึกที่แท้จริง เจ้าจะต้อง…..นั้นสินะ เพื่อไม่ให้เจ้าทำขายหน้า ข้าจะทำให้เจ้าเห็นนรกเอง”
หลังข้าเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มจนเสร็จ เมื่อมองไปที่ด้านหน้า ข้าก็ไม่เห็นแม่ทัพอยู่แล้ว เขาคงกลับไปที่ค่ายทหารแล้ว
“จะ เจ้าหญิง…..ท่านเจ้าหญิงของ…….. !”
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเขากลับไปในค่ายทหารแล้วแน่ๆ ข้าปลดปล่อยแรงกระตุ้นที่อาละวาดอยู่ในหน้าหน้าอกมาตลอดออกมาทันที
ข้าจับมือที่สั่นเทายวบยาบ ผลักความรู้สึกทั้งหมดขึ้นสู่สวรรค์
“――― ไชโยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”
ข้าไม่รู้ว่ามันจะไปถึงเหล่าเทพเจ้ารึเปล่า แต่หากท่านอยู่ที่นั้น ข้าก็อยากขอขอบคุณท่านมากๆ
ในท้ายที่สุดความฝันที่ข้าเคยเลิกไปกลางคันก็เป็นจริง
และนอกจากนั้น
“…..กุเฮะๆๆๆ”
เท่าที่ข้าได้ยินจากคาลเมียร์ เจ้าหญิงน้อยมีรูปลักษณ์ที่สวยและน่ารัก
นี่คือฤดูใบไม้ผลิของข้ามาถึงแล้วววววววว
หากเป็นไปได้ข้าอยากจะรีบไปดูสถานที่ดังกล่าวเร็วๆจริงๆ
ด้วยความคิดฟุ้งซ่านรุนแรงในอกแบบนี้ ต่อไปข้าก็เตรียมพร้อมสำหรับความขยะแขยงตนเองที่จะเกิดขึ้น
“อ้า…… ――― ข้าบิดเบี้ยวสุดๆไปเลย”
ข้ามองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหมุนตัวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มด้วยความสุขให้กับความฝันแปลกๆที่ข้าเคยทอดทิ้งไปแล้ว