[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 1 กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างไม่มีเหตุผล
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 1 กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างไม่มีเหตุผล
เล่มที่ 1 เหตุใดบุตรตรีฮิคิโคโมริขุนนางผู้ทรงเกียรติถึงถูกเรียกว่านักบุญ
บทที่ 1 เหตุใดแรงงานทาสเช่นเขาจึงกลายเป็นบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติ
ตอนที่ 1 กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างไม่มีเหตุผล
ปีคริสต์ศักราช 2122 โลกได้เสื่อมโทรมจนถึงขีดสุด
ประชากรมีมากเกินไป ความเหลื่อมล้ำทางสังคมพุ่งสูง ประชาชนทั่วไปถูกบังคับให้ต้องทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะนอนดุจดังแรงงานทาส ค่าแรงที่ต่ำจนแทบไม่พอกิน และจุดจบที่รออยู่ ณ บั้นปลายนั้น ก็คือ การทำงานหนักจนตาย หรือการอดตาย แต่ผู้คนก็แกล้งทำเป็นตาบอดมองไม่เห็น
ทรัพยากรถูกสูบจนแห้งเหือดด้วยระบบทุนนิยมที่มากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้ที่ได้ครอบครองสินทรัพย์มากมายมหาศาล―――จากโลกเก่าแห่งศตวรรษที่ 21 ก็ยังคงเป็นเหล่าผู้ร่ำรวยที่ควบคุมรัฐบาลและเหล่าผู้บริหารแห่งองค์กร(ทาส)ต่างๆ พวกเขาใช้เงินทองและอำนาจในการกดขี่ให้เหล่าผู้คนที่ไร้ทรัพย์สินต้องทำงานดุจดังทาส พวกเราต้องทนอยู่เช่นนี้เสมอมา หรือไม่บางทีพวกเราก็แค่แกล้งไม่สนใจเรื่องที่พูดมาแล้วใช้ชีวิตไปแต่ละวันอย่างเงียบ ๆ สงบปากสงบคำ
นานมาแล้วได้มีความพยายามปฏิวัติแรงงานและสิทธิมนุษยชน แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าเหล่าผู้มีอำนาจก็ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเงินของพวกเขา นั่นหมายถึงแม้แต่การใช้กำลังเข้าจัดการ การจลาจลของเหล่าแรงงานจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ในบางพื้นที่มีแม้แต่การนำอาวุธเคมีเข้ามาใช้กวาดล้างผู้คน
ในท้ายที่สุดเหล่าผู้คนก็หมดเรี่ยวแรงและพลังที่จะต่อต้าน พลเมืองกลายเป็นแรงงานทาสที่เชื่อฟังที่ถูกแบ่งแยกจัดสรรให้แต่ละสถานที่ทำงานในแต่ละแอเรียที่ถูกเรียกว่า “โคโลนี่” และได้รับเงินเดือนเพียงน้อยนิดให้แค่พอมีชีวิตรอดต่อไปถึงวันพรุ่งนี้ โลกทั้งใบก็เน่าเฟะเช่นนี้เอง
ความจริงของเรื่องคือ … ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น
“ฟู่..ฮา….ฮี……”
“อาริสุซ๊าง…คุ..ฟู่…เป็น….อะไร…ไหม?”
เหงื่อไหลย้อยเข้าตาจนไม่สามารถมองเห็นข้างหน้าได้ ผมทำได้แค่เช็ดออกด้วยแขนเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งเหมือนผ้าขี้ริ้ว
โคโลนี่ที่ผมได้รับการจัดสรรให้มาทำงานคือ โรงไฟฟ้า แต่แม้ว่าจะถูกเรียกว่าโรงไฟฟ้า เครื่องจักรที่นี่ก็ไม่ได้ทำงานอย่างอัตโนมัติเหมือนของโลกยุคเก่า ภายในอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ผู้คนจำนวนมากในนั้นกำลังปั่นบางสิ่งที่คล้ายกับจักรยานที่ไม่มีล้อ
มันคือการผลิตพลังงานด้วยมนุษย์ ในยุคนี้ไม่มีเชื้อเพลิงเหลือมากพอที่จะสามารถใช้สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกแล้ว ทรัพยากรหลักที่เหลืออยู่ทั้งหมดถูกผูกขาดไว้สำหรับโครงการการย้ายถิ่นฐานไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นของชนชั้นปกครอง มีคนงานจำนวนมากประท้วงเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถทำงานไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่คำตอบที่พวกเขาได้รับก็คือ
พลังงานสำหรับการมีชีวิตของตนเอง ก็ต้องผลิตด้วยตนเอง
“มะ…ไม่เป็นไร… อินาบะซัง อีกประมาณ30นาที ผมก็จะได้พัก…แล้ว”
ด้วยลมหายใจที่อ่อนแรง ทำให้มีเพียงรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจมอบให้กับชายวัยกลางคนที่กำลังถีบแป้นเหยียบอย่างสิ้นหวังอยู่ข้างเขา ชายคนนี้เองก็ได้รับมอบหมายให้มาอยู่ที่โคโลนี่แห่งนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราคือการได้มาถีบแป้นเหยียบปั่นพลังงานอยู่ข้างกันทุกวัน แต่เขาก็มักจะใช้คำพูดที่ดูกังวลในลักษณะนี้อยู่ตลอด ผมดีใจที่ยังสามารถตอบกลับได้อย่างมีความสุข แต่ในบางครั้งเพื่อตอบกลับอย่างจริงใจ ก็ต้องใช้แรงกายทั้งหมดที่มีเพื่อตอบกลับไปแม้จะอยากเก็บเอาไว้
แม้ว่าผมจะบอกไปว่าหลังจากนี้จะได้หยุดพัก แต่ความจริงแล้วร่างกายของผมก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว เห็นได้ชัดว่าผมทำผิดพลาดในการจัดสรรจังหวะการปั่น ยังไงก็ตามสิ่งที่แย่ยิ่งกว่า คือ การได้หยุดพักเที่ยงแค่ 30 นาที จากการทำงานต่อเนื่องนานถึง 6 ชั่วโมง แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่สามารถหนีกลับไปก่อนได้ เพราะจำนวนเงินเดือนที่ได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้
จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกชนชั้นปกครองก็ไม่เคยคิดจะหยุดลงมาดูแก้ไขปัญหาคนงานเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไปเลยสักครั้ง
“คุโซ คุโซ ไปตายซะ….ไอ้พวกระบบทุนนิยมไปตายซ้า…… !”
ฮ๊า ฮ๊า เมื่อจ้องขึ้นข้างบนก็เห็นเพียงท้องฟ้าเหล็กกล้า การพูดคำที่ไร้ประโยชน์ออกไปยิ่งทำให้หายใจลำบากขึ้นไปอีก ถึงอย่างงั้นผมก็ยังสามารถสาปแช่งสังคมนี้ได้
ทุนนิยมและเสรีภาพที่เคยเท่าเทียบกันได้ตายไปแล้ว ระบบการปกครองแบบเผด็จการที่ควรล่มสลายหายไปกลับได้โอกาสพลิกกลับมาปกครองโลกใบนี้ ไม่สิ มันอาจจะแย่กว่านั้น
――― อ้า หน้าอกของผมมันเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง การที่ต้องอยู่ที่นี่มาตลอด มันทำให้เครียดจนอวัยวะภายในของผมปั่นป่วน
แค่ก ๆ น้ำลายของผมกระจายไปทั่วแฮนด์ที่ผมจับไว้แน่นจากอาการไอ น้ำลายที่สาดมาให้ความรู้สึกอุ่นๆแบบแปลก ๆ
“อะ อาริซุซัง!? เลือด เลือด…. !”
“เฮ๊ะ… ?”
อินาบะซังบอกผมแบบนั้น ผมที่กำลังเพ่งมองหาสสารอนินทรีย์บนเพดาน ก็มองกลับลงมาที่ตรงหน้า ที่ด้านหลังมือที่มีเหงื่อออกอย่างหนักมีจุดสีแดงสาดทั่วเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่ผมไอออกไป
ไอเป็นเลือด ในที่สุดก็ถึงคิวของตัวผมเอง
ความสิ้นหวังกลืนกินจิตใจของผม ผมเคยเห็นเพื่อนร่วมโคโลนี่ที่แสดงอาการเช่นนี้มาแล้ว และพวกเขาไม่เคยมีใครได้กลับมา
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเสมอ พวกเราไม่มีเงินมากพอที่จะได้รับการรักษา สภาพแวดล้อมที่แม้แต่การเป็นหวัดก็ถึงตายได้ การหายใจและไอออกมาเป็นเลือดนั้นกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มีความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ บางทีอาจเป็นวัณโรค
และแม้จะสามารถหายจากอาการเหล่านี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ ในกรณีนั้นคุณก็จะยังมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ คุณจะอดอยากทันที เพราะคุณจะไม่สามารถซื้อเจลลี่โภชนาการรสชาติสุดห่วยแตกที่ขายในราคาสุดโหดได้ด้วยเงินเดือนที่โดนหักจนเหลือเพียงน้อยนิด เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณจะขาดสารอาหารและต้องทำงานหนักเกินไปจนตาย
พูดอีกอย่างคือ ผมได้ตายไปแล้ว เมื่อร่างกายทรุดโทรมจนถึงขั้นไอเป็นเลือด ก็เท่ากับชีวิตของผมสิ้นสุดลงแล้ว
――― อ้า ทำไม ทำไมมันเร็วเกินไปแล้ว
การมองเห็นเริ่มสั่นมัว ราวกับว่าจะตอบสนองต่อความมืดมิดที่ใกล้เข้ามา ทิวทัศน์เริ่มถูกย้อมไปด้วยแสงสีขาว เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าผมจะไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตอีกแล้ว เท้าของผมที่เหยียบแป้นเริ่มหยุดลง
“กุ…อุ… !”
“อาริซุซ๊างงงง! ไม่เป็นไรใช่ไหม!ใครก็ได้.. ใครก็ได้ช่ว……. !”
อินาบะซังกระโดดออกจากเครื่องปั่นไฟมาเขย่าร่างกายของผมจนสั่น แต่มันไร้ประโยชน์แล้ว เค้าโครงของโลกเริ่มสลัวว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของผมไร้เรี่ยวแรง ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
ตุบ หัวของผมกระแทกพื้น ดูเหมือนว่าผมคงตกลงมาจากเครื่องปั่นไฟ แต่เสียงที่ได้ยินจากสภาพแวดล้อมรอบ ๆ กลับฟังดูแปลก ๆ
ใช่แล้ว มันจบลงแล้ว ชีวิตที่แสนน่าเบื่อนั้นจบลงแล้ว
การพิพากษาได้มาถึงแล้ว การทำงานเพื่อบางอย่างได้สิ้นสุดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตประจำวันที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบันก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่แน่นอนว่ามีแค่พวกผมเท่านั้นที่ต้องทำงาน และตายไป พวกชนชั้นปกครองจะมองมาและหัวเราะเยาะให้กับผมในฐานะ”ทาสผู้ซื่อสัตย์” ขณะที่ดื่มสาเกไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย
“ผมขอโทษ อาจารย์….ตลอดมา ผมนะ……”
ทันใดนั้น ผมก็ระลึกได้ถึงอาจารย์ที่เคยสอนผมสมัยเป็นนักเรียน เขาเป็นผู้ที่อยู่หลังฉากเรียกร้องการปฏิวัติและปกปิดตัวเองเข้าไปมีอำนาจอิทธิพลด้วยความสามารถในระหว่างการเปลี่ยนแปลงจากโลกเก่าสู่ปัจจุบัน เขาเป็นครูที่แท้จริง น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผมไม่เคยใช้ประโยชน์จากคำสอนของเขา และยอมแพ้ จนต้องตกลงมาเป็นทาสแบบนี้
――― ใช่แล้ว ถ้า ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง เฮ้ พระเจ้า
ได้โปรด ส่งผมไปยังโลกที่ไม่ปล่อยให้มีแรงงานทาสแบบนี้ โลกที่ที่ไร้เรื่องกังวลใจ นั้นสินะ ขอเป็นโลกที่แค่ทำงานเล็กๆน้อยๆสักสิบนาทีการได้รับคำชมจากการประเมินงานแล้ว ขอให้เป็นโลกที่มีความสุขแบบนั้นที
“ฮ่าฮ่า … “
ผมหัวเราะในขณะที่อาจจะกำลังถูกล้อมรอบไปด้วยเพื่อนร่วมโคโลนี่ ในท้ายสุดของสุดท้าย ผมดันมาเพ้อเจ้อถึงเรื่องราวความฝันที่ไร้สาระแบบนี้ มันช่างน่าตลกสิ้นดี
แต่ผมก็ทั้งรักทั้งเสียดายภาพพวกนี้เหลือเกิน ผมพยายามเอื้อมมือออกไปอย่างไร้เดียงสา เหมือนครั้งแรกที่ได้เห็นท้องฟ้าหลังจากที่เกิดมา
หวังว่า จะได้ใช้ชีวิตในโลกที่เป็นดังฝันเช่นนั้น ――― ด้วยความคิดที่รู้ว่าไม่สามารถเป็นจริงได้
หลังจากนั้นไม่นานทุกสิ่งก็กลายเป็นสีขาว และสติของผมที่ดับวูบไป
” ――― ก่อนอื่น… แบน แต่……”
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงได้กลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เสียงเล็ก ๆ อยู่ที่นี่ได้กัน
แถมยังเป็นขุนนางชั้นสูง ที่ตรงกันข้ามกับทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาอีก
ในโลกนี้มีเวทมนตร์อยู่ การมีหรือไม่มีเวทมนตร์จะเป็นตัวกำหนดสถานะทางสังคม และดูเหมือนว่าผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์นั้นจะเรียกว่า “ประชาชนทั่วไป” อย่างไรก็ตามประชาชนทั่วไปมีอยู่ถึง 90% ของสังคม
ระดับของวัฒนธรรมน่าจะมาจากยุคกลางถึงยุคปัจจุบันในชีวิตก่อนหน้าหรือเปล่านะ? แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยเห็นเครื่องใช้ที่ทันสมัยแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย
……เอาละ ในที่สุดก็ได้เวลาเลิกหนีความเป็นจริงแล้วกลับมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
ซ้า ตอนนี้นะดีสุดๆไปเลย เพราะว่าฉันมีเมดส่วนตัวที่ดูเหมือนจะชื่อว่า”น๊อกซ์เบล”มาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นหัวหน้าเมดของคฤหาสน์หลังนี้ด้วย ฉันเรียกเธออย่างเป็นมิตรว่าเบลล์ซังด้วย ….ในใจ
เบลล์ซังเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เธอมีผมสีดำแวววาวยาวสลวยถึงเอวที่รวบมัดเป็นทรงไซต์เทล ดวงตาสีดำสวยพร้อมขนตายาว และหน้าอกนุ่มนิ่มที่ดึงดูดสายตามากกว่าสิ่งใด ใหญ่ คู~
ฉันมีผมสีเงินยาวสลวยถึงเอว ในขณะที่มองดูหน้าอกที่แบนราบของตัวเอง――― มันเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะร่างกายนี้เพิ่งอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น แต่ว่า――― ในตอนที่ได้จ้องมองที่ตรงนั้น แววตามันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ซะแล้ว รู้สึกว่าฉันจะสามารถคุ้นเคยกับการเปลี่ยนเพศอย่างกะทันหันได้อย่างรวดเร็วจังน้า ฉันคิดได้อย่างใจเย็นจากมุมหนึ่งของจิตใจ เหตุผลที่ฉันสามารถรู้สึกสบายใจได้โดยไม่รู้ตัวแบบนี้ อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากในชาติก่อนที่เหล่าคนงานไม่มีอิสระในความรัก และถูกใช้แรงงานอย่างเท่าเทียบด้วยไม่แบ่งแยกชายหญิงละมั้งนะ
และเพราะความทรงจำเก่า ๆ ที่ติดมาด้วยทำให้ฉันมองไปรอบๆด้วยสายตาที่ตกตะลึงกับขนาดของห้องที่ใหญ่มากๆเมื่อเทียบกับว่านี้คือห้องสำหรับเด็กที่ยังเล็ก หน้าต่างที่เปิดอยู่อยู่ในตำแหน่งสูงที่เกินกว่าเด็กจะปีนเข้าถึงได้ มีผ้าม่านบางสีอ่อนบังแสงแดดอบอุ่นสดใสที่ลอดเข้ามา โคมแสงที่ออกแบบอย่างมีรสนิยมแขวนไล่ระดับกันอยู่บนเพดาน แสงที่เปล่งประกายอยู่ต้องมาจากเวทมนตร์อย่างแน่นอน และตามความรู้ที่นึกได้จากชาติก่อน พวกนี้น่าจะเรียกว่าโคมระย้า
มันได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัยกับร่างเล็กๆนี้แล้วสินะ การตกแต่งที่เหลือดูเรียบง่าย มีตู้เสื้อผ้าทำจากไม้ และชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่ติดผนังฝั่งตรงข้ามของประตู แน่นอนว่าภายในตู้ทั้งสองอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าสำหรับเด็ก และหนังสือภาพ
เมื่อประมาณสองหรือสามปีที่แล้ว การรับรู้ของ “ฉัน” เริ่มชัดเจนขึ้น ในตอนแรกฉันประหลาดใจอย่างมากต่อโลกที่แปลกไปและต่อร่างกายของตนเอง แต่หลังจากผ่านไปนานนับปี ฉันก็ค่อย ๆ ชินกับมัน จริง ๆ แล้วการที่ฉันกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ต่างโลก มันทำให้ฉันไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย
ฉันพยายามเรียนภาษาใหม่อีกครั้งเพราะมันมีอะไรมากกว่าความแตกต่างระหว่างเพศในตอนนี้กับความทรงจำชาติก่อน เบลล์ซังสอนฉันก่อนนอนทุกคืนด้วยบางสิ่งที่คล้ายๆหนังสือภาพ ทำให้ฉันที่ตอนแรกไม่เข้าใจคำศัพท์ของที่นี่สามารถเข้าใจคำระดับพื้นฐานได้ ฉันพยายามพูด แต่ก็ยังคงต้องปรับปรุงอยู่ทุกวัน ๆ เพื่อที่จะสามารถพูดได้โดยไม่ลังเล ฉันเรียนรู้ได้เร็วกว่าการเจริญเติบโตจนตอนนี้สามารถพูดได้นิดหน่อยแล้ว――― โอะ อ้า ฉันเริ่มหนีความจริงอีกแล้ว
เป็นความจริงที่ว่าตั้งแต่เกิดใหม่มามีเรื่องมากมายที่ฉันยอมรับได้ไม่ได้ แต่เหนือไปกว่าทุกเรื่อง เหนือไปกว่าทุกเรื่องก็คือ
“โฮร่า อริซซามะ? ได้เวลาฉี่แล้วนะคะ พยายามเข้านะคะ”
――― นี่เป็นสถานการณ์ที่ฉันถูกบังคับให้ต้องนั่งลงและฉี่
เป็นเรื่องที่แย่พออยู่แล้วที่ผู้ใหญ่อย่างฉันต้องมานั่งฉี่ใส่โถฉี่เด็ก แต่การที่ต้องมาฉี่โดยที่มีสาวสวยจ้องมองอยู่มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงไปแล้วก็เถอะ
ไม่สิ มันยังมีวันแห่งความอับอายซึ่งยากที่จะพูดถึงอยู่ นั้นก็คือการที่ต้อง”ถูก”เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เป็นครั้งแรก แต่ทว่าความอับอายในครั้งนี้กลับแตกต่าง มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ
ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลรินอย่างรุนแรง แต่ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย การได้รับความอับอายเช่นนี้ ชายที่ไร้ประสบการณ์และเหลือเพียงความรู้สึกอับอายเช่นฉัน รู้สึกได้เลยว่าความรู้สึกต่าง ๆ ได้ตายไปแล้ว เหลือแต่เพียงความรู้สึกที่ลามกเอามาก ๆ
ได้โปรดส่งใครสักคนมาช่วยด้วยเถอะ ความปรารถนาในตอนนี้มันอาจจะสิ้นหวังซะยิ่งกว่าในตอนที่กำลังจะตายจากการทำงานหนักนานหลายชั่วโมงก็ได้
“ไม่ … “
“มู่ ไม่ฉี่งั้นเหรอคะ?”
กระซิกๆๆ ในขณะที่ฉันร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ตอนนั้นเธอก็พูดว่า อืม และเดินมานั่งยอง ๆ ข้าง ๆ แล้วสบตากับฉัน เธอมองลึกเข้ามาในดวงตา
ฉันสามารถเห็นดวงตาสีทองของฉันที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาสะท้อนในดวงตาของเธอ ฉันอุทธรณ์ออกไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าเพื่อให้เธอยกโทษให้ฉัน โปรดยกโทษให้ฉันด้วย
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะวางเก็บเอาไว้ที่มุมห้องนะคะ ในเมื่อคุณหนูไม่ต้องการใช้ห้องน้ำ ก็มาทำสิ่งนี้กันเถอะค่ะ”
“… อ้าย”
ใส่ผ้าอ้อม… การต้องทนรับความอับอายที่หวนกลับมาทำให้ฉันร้องไม่เป็นภาษาเหมือนทุกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับความอับอายที่มากกว่าเวลาที่จะต้องโดนมอง… ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำใจยอมแพ้
ฉันทำได้แค่ต้องอดทนกับการต้องใช้ผ้าอ้อมต่อไป การเจริญเติบโตของฉันมันน้อยเอามาก ๆ ถึงฉันเองจะไม่รู้ว่าค่าการเจริญเติบโตมาตรฐานของโลกนี้มันอยู่ที่เท่าไร แต่มันไม่ช้าเกินไปรึเปล่า ร่างกายที่ยังโตไม่เต็มที่นี่มันควมคุมยากจริง ๆ เลย
เมื่อฉันใส่ผ้าอ้อมและกระโปรงเสร็จด้วยสีหน้าขมขื่น ฉันก็ย้ายตัวเองไปที่นั่งบนเตียงขนาดใหญ่ของตัวเอง และเริ่มคิดพิจารณาการเติบโตในอนาคต ขณะที่เฝ้ามองเบลล์ซังถือโถไปเก็บ เตียงของฉันมีม่านคลุมอยู่อย่างหรูหรา มันเป็นสีชมพูละ มันน่าอายทุกครั้งที่เข้านอนที่นี่ เพราะมันเหมือนว่ามีไว้ให้เจ้าหญิงใช้นอนมากกว่า
ทั้งโลกใบนี้และโลกในชาติก่อนต่างก็มีสัตว์ใหญ่เหมือนๆกัน หรือบางทีอาจจะเป็นบางสิ่งที่คล้ายๆกัน มีของเล่นอย่างตุ๊กตาน่ารักๆอยู่บนเตียง ฉันไม่สนใจพวกมันเท่าไร แต่ฉันชอบตุ๊กตาหมีสีขาวที่เบลล์ซังทำให้ด้วยมือเท่านั้น สำหรับฉันที่ทำงานมาตั้งแต่วัยเด็ก นี่เป็นของขวัญชิ้นแรก ตอนที่ฉันได้รับมา ฉันก็ยืนนิ่งร้องไห้ไม่หยุด
ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงวิญญาณออกไปบางส่วน แต่นับตั้งแต่นั้นมาตุ๊กตาตัวนี้ก็ถูกฉันพาไปด้วยกันเสมอ ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันจะรู้สึกโล่งใจเสมอ ถ้าฉันถือมันไว้ โดยเฉพาะเวลาที่ฉันกังวลว่าชีวิตเหมือนฝันนี่จะจบสิ้นลง
“อุ…เนี๊ยว”
ไม่ดีๆ ทันทีที่เรื่องราวในชาติก่อนหน้าแล่นผ่านเข้ามาในหัว ฉันก็รู้สึกแย่ลง ไม่ดีแน่ถ้าจะทำให้เบลล์ซังต้องเป็นกังวล แสงที่ลอดเข้ามาทำให้รู้ว่านี่เป็นช่วงเวลากลางวัน แต่ในเวลาแบบนี้ฉันกลับถูกบังคับให้นอน
พูดถึงอีกเรื่องนึง ตั้งแต่จำความได้ ฉันยังไม่เคยเจอพ่อแม่ของตัวเองในโลกนี้เลยสักครั้ง ――― ในขณะที่วนเวียนอยู่กับคำถาม จิตใต้สำนึกของฉันก็บังคับให้ฉันหลับลงในที่สุด
“….อริซซามะ”
ฟี้~ ฟี้~ เสียงลมหายใจบ่งบอกว่าเธอหลับไปแล้ว ดิฉันยืนดูเด็กคนนี้ด้วยหางตาที่ตกลง
จากมุมมองของดิฉัน น๊อกซ์เบล เด็กคนนี้น่าสงสารมากๆ
เจ้าบ้านคนปัจจุบันของ”ตระกูลแฟร์มิล” ท่านพ่อของคุณหนู “ฮัททีเรีย”ซามะ ยังคงปิดกั้นเก็บตัวอยู่แต่ในห้องทำงานด้วยอาการเซื่องซึม เกือบจะสี่ปีแล้วสินะ
ดิฉันคิดว่ามันช่วยไม่ได้ มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถต่อว่าได้ใครได้ ภริยาของนายท่าน “อลิเซีย”ซามะ ผู้ไม่เหมือนใคร ได้เลียชีวิตลงหลังการให้กำเนิดบุตรี
อลิเซียซามะ เมื่อสี่ปีก่อน เธอ ได้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดในการคลอดอริซซามะ และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็เสียชีวิตลงเนื่องจากความอ่อนแอ
――― มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มักเกินขึ้น โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันของประเทศนี้
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียภริยารักที่อยู่ด้วยกันมานานก็ทิ้งบาดแผลลึกเอาไว้ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรัก รักมากๆกล่าวได้ว่าอลิเซียซามะเป็นที่รักของฮัททีเรียซามะมากๆ
ยังไงก็ตาม ก็มีหนึ่งเดียว ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
นั่นคือ การมอบหมายงานเลี้ยงดูอริซซามะไว้กับพวกเราเหล่าข้ารับใช้ แล้วทอดทิ้งคุณหนูไปอย่างไม่ใยดี
ดังนั้นคุณหนูจะเติบโตมาโดยที่ไม่ได้รู้จักความรักจากทั้งท่านพ่อท่านแม่ของเธอ และยังต้องดื่มนมที่สร้างจากเวทมนตร์ที่ไร้ความรักมาจนถึงตอนนี้อีกด้วย และแน่นอนคุณหนูเป็นเด็กที่ฉลาดมาก การอ่านหนังสือที่มีธีมเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว จะเป็นการประมาทเลินเล่อไปรึเปล่านะ
และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าว่าคุณหนูเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และเธอเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่า เธอไม่เคยเจอใครสักคนที่แสดงตัวว่าเป็นท่านพ่อท่านแม่เลย ก่อนที่เธอจะหลับไป ถึงจะแค่เล็กๆแต่ดิฉันก็สัมผัสได้ถึงเสียงเศร้าๆ อ้า ตายจริง ดิฉันกลับมาเรื่องโศกเศร้าอีกแล้ว
นั่นเป็นความเศร้าโศกอย่างแน่นอน พ่อแม่ของหนูอยู่ที่ไหน ฮือๆๆ คุณพ่อ คุณแม่
ดิฉันอดทนไม่ถามออกไปในตอนที่มอบตุ๊กตาหมีหิมะให้คุณหนู
“อ้า…..”
เสียงที่ละเมอออกมาโดยไม่ตั้งใจ ช่างเป็นอะไรที่ฟังแล้วเจ็บปวดใจเหลือเกิน
คุณหนูนั้นเป็นเด็กเงียบๆ เมื่อพูดถึงเด็กในวัยนี้มักจะกระโดดเข้าหาสิ่งที่สนใจทันที ควรจะวิ่งเล่นไปรอบ ๆ อย่างสนุกสนาน แล้วคุณหนูล่ะ บางครั้งดิฉันเห็นเธอเปิดหนังสือภาพวางไว้บนเตียงและมองดูเงียบ ๆ อยู่คนเดียว หลังจากนั้นก็นอนอยู่นิ่งๆท่ามกลางเหล่าตุ๊กตาบนเตียง ถ้าถูกถามเธอถึงจะตอบ แต่คำตอบที่ได้ล้วนแฝงไปด้วยความเกรงใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง เป็นเพียงคำตอบง่าย ๆ ที่กันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้
เมื่อดิฉันมองเข้าไปในดวงตาสีทอง ดิฉันก็เห็นสีที่หม่นหมอง ประกายแสงแห่งชีวิตได้ตายหายไป และหม่นหมองราวกับต้องทำงานโดยไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายวัน นี้คือดวงตาที่น่าเศร้าของเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่รู้จักความรักของพ่อแม่
อ้า อ๊า~ ช่างเป็นการนอนที่เปล่าเปลี่ยวเหงาหงอยอะไรเช่นนี้ อริซซามะ~~~~
ดิฉันนั่งลงบนเตียงและเริ่มหวีเส้นผมสีเงินที่เรียบลื่นราวกับด้ายอย่างเบามือ ช่างน่ารักราวกับภูติตัวน้อยๆ ใบหน้าน่ารักเปล่งประกายงดงามราวดวงจันทร์ ในที่สุดดิฉันก็หย่อนริมฝีปากลงจูบที่แก้ม
“ดิฉันจะปกป้องคุณหนูตลอดไป จะปกป้องให้ได้ เบลล์จะปกป้องท่านอย่างแน่นอน…….อริซซามะ~~~”
ถึงดิฉันจะไม่สามารถมอบความรักในแบบพ่อแม่ให้คุณหนูได้ แต่อย่างน้อยที่สุดดิฉันจะขอมอบความรักที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับคุณหนูอย่างสุดกำลังเลยค่ะ
และขอให้คุณหนูโชคดีในหนทางที่ได้เลือกนะคะ ดิฉันคนนี้จะเป็นผู้ขอปกป้องหัวใจของเจ้าหญิงตัวน้อยคนนี้ไม่ให้ถูกทำลายเองค่ะ
ด้วยความมุ่งมั่นที่ร้อนแรง แข็งแกร่ง แต่เงียบสงบ ดิฉันห่มฟูกให้กับร่างเล็กๆเพื่อไม่ให้ตัวเย็น ก่อนที่ในไม่ช้าจะออกจากห้องไปเงียบ ๆ