[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว - ตอนที่ 013:กิลด์นักผจญภัย⑦(คุยกันระหว่างทาง)
- Home
- [นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
- ตอนที่ 013:กิลด์นักผจญภัย⑦(คุยกันระหว่างทาง)
013:กิลด์นักผจญภัย⑦(คุยกันระหว่างทาง)
พวกเราโดนสอบปากคำกันสั้นๆ
ลูน่าบอกพวกเขาแบบนั้น และมัวก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเรามาถึงป้อมยาม
สมาชิกขององค์กรถูกคุมขังไว้ใต้ดิน และหลังจากสอบปากคำพวกนักโทษเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาจะถูกพาไปยังเมืองหลวง ซี่งจะถูกพิพากษาที่นั่น
นอกจากนี้แล้วสำหรับ โอไก เขาพ้นผิดเพราะปรากฏว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ลูน่าสนใจเป็นการส่วนตัว และเขาได้รับการว่าจ้างให้เป็นมือขวาขององค์กร แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม
สำหรับอลิซ่าที่อยู่กับเธอ เธอถูกส่งไปยังบ้านเคาน์เตสที่เธอพักอาศัย พ่อแม่และคนรับใช้มารับเธอ
เคาน์เตส มิน่า・วินเบล แม่ของอลิซ่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งเหมือนกับลูกสาวของเธอ แต่ทันทีที่เห็นหน้าของลูน่าเธอก็หน้าซีดและรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเพราะคุณมิน่าเป็นเพื่อนดื่มน้ำชาของท่านแม่ และเธอก็มาที่คฤหาสน์ปีละหลายครั้งและจากไปพร้อมกับสามีของเธอ
ฉันคุ้นเคยกับเธอเพราะพวกเราได้เจอกันบ่อยๆ ลองคิดดูสิ ครั้งสุดท้าย ที่เธอมา「คราวนี้ฉันจะพาลูกสาวของดิฉันมาด้วยค่ะ」เธอพูดอะไรทำนองนั้น และอลิซ่าเป็นลูกสาวของเธอรึเปล่า
ลูน่าคิดจะอยู่เงียบๆเพราะเธอไม่ค่อยสนใจและฉันก็เป็นลูกสาวของมาร์ควิส คิดว่าคืนนี้คงโดนเทศนายกใหญ่แน่นอนเลย
เพราะแบบนั้น ลูน่าและโอไกจึงได้รับการปล่อยตัว
ทั้งสองคนที่กำลังประสบปัญหาเพราะดวงอาทิตย์กำลังตกดิน ดังนั้นวันนี้พวกเธอเลยจะไปเดินเล่นที่ถนนสายหลักและไปที่กิลด์เพื่อลงทะเบียน
ระหว่างทางเธอถมคำถามกับโอไกซึ่งได้มาเป็นลูกน้องของเธอ
「ใช่แล้วครับ ท่านลูน่า มีสิ่งหนึ่งที่ข้าน้อยอยากจะถาม」
「หืม มีอะไรงั้นเหรอ? ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันรู้ฉันจะตอบให้」
「ครับ ก่อนหน้านี้กระผมได้ยินท่านบอกว่า ท่านเป็นคนประดิษฐ์วิชาสำนักมังกรซากุระเพื่อโค่นล้มเทพเจ้าสินะครับ」
「ใช่ แล้วมีอะไรงั้นเหรอ?」
「ในตอนแรกทำไมถึงเป็นพลังปราณครับ?」
คำถามของเขาถามว่าทำไมถึงต้องใช้พลังปราณซึ่งปกติแล้ว “วิธีการควบคุมพลังปราณ”แทนที่จะใช้พลังเวทย์หรือวิชาดาบเพื่อเอาชนะเทพเจ้า
ลูน่าคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ
「เพื่อที่จะอธิบายอย่างละเอียดฉันจะเล่าแบบเจาะลึกเลยแล้วกัน
――ประการแรก พลังงานมีสองประเภทที่มนุษย์สามารถหยิบมาใช้ได้
一อย่างแรกเลยก็คือ “เวทมนตร์” พลังที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิด คำอธิษฐาน และอารมณ์ อีกอย่างคือ “พลังปราณ (คิ หรือ ฉี่ ก็คืออันเดียวกันแล้วแต่เรียก)” เป็นพลังงานที่สามารถสร้างขึ้นได้จากร่างกาย ในแง่พลังของหยินและหยาง พลังเวทย์คือหยินและฉี่คือหยาง
――เวทมนตร์มีระบบการทำงานขนาดใหญ่ที่เปิดใช้งานด้วยอักขระเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นเป็นเชื้อเพลิงเรียกว่าพลังเวทย์ ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากกว่าสิ่งที่ละเลยสภาพแวดล้อมและทำให้เกิด “ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ”
ใช่ ไม่ว่าทักษะจะใหญ่และยากขนาดไหน แต่ก็เป็นเพียงส่วนขยายของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กล่าวอีกนัยหนึ่งมันคือพลังที่ไม่สามารถไปถึงพระเจ้าซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ธรรมชาติ
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเวทมนตร์ไม่สามารถเอาชนะพระเจ้าได้เพราะเป็นตัวตนที่เหนือกฏเกณฑ์ธรรมชาติ
――นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังเวทย์ที่พึ่งความศรัทธา ใช้รักษาอาการบาดเจ็บและโรคภัยด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า
ตามทฤษฏี นี่เป็นวิธีการใช้พลังแห่งการอธิษฐานเพื่อดึงดูดพลังงานอีเธอร์ที่ไหลเวียนไปทั่วทั้งจักรวาลโดยดึงส่วนที่อธิบายโครงสร้างของร่างกายจากการใช้ข้อมูลซึ่งแต่ละร่างกายมีต้นกำเนิดไม่เหมือนกัน พวกมันถูกใช้ในศาสนาและใช้รักษา แต่ว่านะประการแรก ความคิดของเหล่านักบวชที่ใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยืมมือจากพระเจ้าจะโค่นล้มพระเจ้าเหรอ ไม่มีทาง,หากไม่อธิษฐานและสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าก็ไม่สามารถใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นลืมเรื่องการที่จะฆ่าเทพไปได้เลย――ด้วยเหตุนี้จะอธิบายต้นกำเนิดของพลังปราณกัน」
เธอที่เดินผ่านผู้คนก็ยังคงเล่าเรื่องราวต่อไป
โอไกตั้งใจฟังและเฝ้าระวังสิ่งรอบข้าง
รู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่าทั้งหมดเป็นข้อมูลสำคัญ และไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ที่จะให้มนุษย์คนอื่นได้ยิน เขารู้สึกเสียใจกับความไม่รอบคอบที่ถามคำถามในที่คนพลุกพล่านเช่นนี้
「――พลังปราณนั้นมีกระบวนทั้งหมดสามขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือสภาวะที่เชื่อมโยงโดยตรงกับชีวิตของพวกเรา มันไหลเวียนไปทั่วร่างของพวกเรานี่แหละซึ่งมันจะช่วยเพิ่มความสามารถทางกายภาพและเปลี่ยนสภาวะทางอารมณ์เช่น พลังงานของคนเรา และ แรงจูงใจ
ยิ่งพวกเราหมั่นฝึกฝนจิตใจก็จะทำให้พลังปราณในร่างกายหนาแน่นมากยิ่งขึ้น และเมื่อมันมาถึงจุดหนึ่ง มันจะกลายเป็นรูปธรรม เหตุผลที่ฉันสามารถรับหมัดของนายด้วยมือเล็กๆได้เช่นนี้ เพราะฉันเคลือบกำปั้นด้วยพลังปราณ หากพัฒนาพลังปราณไปเรื่อยๆ นายก็จะสามารถทำได้เหมือนกับฉัน อย่าง “อาภรณ์สายฟ้า”ที่ฉันใช้ให้นายดูครั้งก่อน
ถ้างั้นขั้นตอนที่สามคือสภาวะอีเธอร์พลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งฉันอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ถูกดึงเข้ามาในร่างกายด้วยพลังปราณแทนการอธิษฐานได้เช่นกัน
ในส่วนของพลังเวทย์มีการใช้ “ร่างทรงเทพเจ้า(神降ろし)” ซึ่งเป็นการนำตัวเทพเจ้ามาสถิตย์ร่าง นั่นแหละวิถีของเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพลังปราณเองก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะพลังเวทย์ใช้พระเจ้าเป็นสื่อกลาง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมีปีกงอกที่หลังและวงแหวนอยู่เหนือหัว และมันทำให้รูปลักษณ์เปล่งประกาย สามารถใช้พลังที่เกินความเข้าใจของมนุษย์
ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกล่าวได้ว่ารูปฑูตสวรรค์ที่แสดงอยู่ในวิหารไม่ใช่ผู้ส่งสารของเทพเจ้าอะไรทั้งนั้น แต่แสดงถึงว่ามนุษย์ได้ไปเยือนถึงสรวงสวรรค์แล้ว แต่ว่าก็ช่างมันเถอะนะเรื่องแบบนั้น」
「……」
「ว่าไงล่ะ พอจะเข้าใจบ้างไหม?」
โอไกแสดงสีหน้าปั้นยากออกมาและมีรอยย่นระหว่างคิ้ว
ลูน่าถามเช่นนั้น และเขายักไหล่ตอบ
「ไม่หรอก คิดว่าท่านลูน่ามีทฤษฏีมากเกินไป หรือท่านคิดมากเกินไปรึเปล่าครับ」
「อ่า ฉันเองก็ประหลาดใจนิดหน่อยที่ได้ใช้ตรรกะอันแสนซับซ้อนเช่นนี้ แต่โอไกคุง นายต้องเรียรู้เรื่องพวกนี้ใส่สมองเอาไว้ เพราะสมองพวกเราคิดและเคลื่อนไหวไปตามสิ่งที่คิด ผู้คนไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้ เว้นแต่พวกเขาจะคิดอยู่เสมอว่าต้องการอะไร กระทำมันซ้ำๆซากๆเป็นการฝึกปฏิบัติโดยไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง ทำไปเพราะเหล่าอาจารย์สั่งให้ทำ มันจะไปได้อะไรล่ะจริงไหม? นอกจากนี้หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่ใช้มันสมองในการเข้าสู้นายจะทำยังไง? เพราะงั้นเรื่องนี้ก็สอนให้นายได้รู้ว่าการคิดล่วงหน้าสองสามก้าว การอ่านความคิดให้เหนืออีกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ
โอไกคุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีคู่แข่ง ความพยายามอย่างหนักไม่ได้ตอบแทนพวกเราเสมอหรอกนะ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด นายก็สามารถเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เพราะงั้นนายควรจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจเชียวล่ะ」
「ครับ กระผมจะจดจำเอาไว้」
「ดีมาก เด็กดีๆ♪」
เด็กสาวอายุ 7 ขวบ ฮัมเพลงด้วยความอารมณ์ดี
ชายคนนั้นหรี่ตาและจ้องมองสาวน้อยผมสีเงินตรงหน้า
――ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงอาคารพร้อมกับติดป้ายของกิลด์นักผจญภัย
ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ เธอบ่นออกมา
ข้างหน้ามีประตูสวิงไม้(TN:ประตูแบบคาวบอยอะครับ) และประตูใช้วิธีผลักหรือดึง
ความสูงของลูน่านั้นมีไม่พอที่จะผลักหรือดึงมัน ดังนั้นเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโอไก
「เอ่อ……นี่คือกิลด์นักผจญภัยเหรอเนี่ย」
ลูน่าเดินเข้าไปในอาคารและมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ด้านในปกคลุมไปด้วยไม้อย่างสมบูรณ์ และด้านหน้าเรียงรายไปด้วยที่นั่งบนโต๊ะ เพื่อให้สามารถกินและดื่มได้เหมือนกับบาร์ และครึงหลังเป็นผนังที่มีคำขอแปะเอาไว้ และมีเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับอยู่ปลายสุด
กล่าวอีกหลัยหนึ่งหากมีปาร์ตี้หลายคนก็สามารถปล่อยให้เพื่อนๆรออยู่ที่โต๊ะ ไม่ให้เคาน์เตอร์แออัดและจะมีพนักงานกิลด์คอยสแตนด์บายเพื่อคอยรับคำขอต่างๆ เหล่าปาร์ตี้นักผจญภัยจะมาที่เคาน์เตอร์พร้อมกับคำขอ หลังจากพนักงานคอยกรอกเอกสารเสร็จแล้ว ก็สามารถไปนั่งหารือกับเพื่อนๆบนโต๊ะได้
นอกจากนี้ หลังจากสำเร็จคำขอ สามารถขึ้นเงินรางวัลที่เคาน์เตอร์ได้
อย่างน้อยที่สุด ฉันอดไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากวิธีที่นักผจญภัยหารายได้ในชาติก่อน
「โอ้ พอมาคิดดูแล้ว นายลงทะเบียนรึยัง?」
「ไม่ได้ลงครับ กรณีของกระผมไม่ได้อัปเดตข้อมูล ดังนั้นบัตรแสดงตัวตนของผมน่าจะหมดอายุไปแล้ว」
「แล้วพวกเราลงทะเบียนพร้อมกันได้ไหม」
「เอ่อ ไม่สิ…………มันคงเป็นไปไม่ได้ครับ」
ชายคนนั้นส่ายหัวรัวๆราวกับนึกอะไรบางอย่างได้
「กระผมจำได้ว่าการลงทะเบียนมีการจำกัดอายุขั้นต่ำไว้ที่ สิบสองปี ครับ」
「……เอ๊ะ」
「ในกรณีของท่านลูน่าด้านความสามารถนั้นไม่มีปัญหา แต่อาจจะถูกขับไล่ออกจากิลด์เนื่องจากอายุไม่ถึง」
「เอ่อ อืม ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ลองถามพนักงานต้อนรับเกี่ยวกับเรื่องนี้กันเถอะ」
จากนั้นก็ผลักเขาไปข้างหน้าเคาน์เตอร์ด้วยความหวังอันริบหรี่
หน้าเคาน์เตอร์มีคนน้อยเพราะเย็นแล้ว
สามารถเข้าไปที่เคาน์เตอร์ได้โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา
「ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดให้รับใช้คะ?」
พนักงานต้อนรับเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ผมสีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าที่ดูงดงาม
ลูน่าโผล่ออกไปที่เคาน์เตอร์ด้วยการเขย่งตัวเพราะความสูงของเธอไม่พอ แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่
ถ้าไม่ทำแบบนั้นทุกคนคงคิดว่าฉันเป็นลูกสาวของโอไกแน่
「เอ่อพี่สาวคะ พอดีฉันอยากจะลงทะเบียนนักผจญภัยสำหรับสองคนค่ะ」ลูน่ากล่าว
「คะ ……….ว่าไงนะคะ ลงทะเบียนให้กับคุณหนูเหรอคะ……」พนักงานต้อนรับพูด
「ใช่ ลงทะเบียนให้หนูค่ะ」ลูน่าตอบ
「เอโตะ……」
เธอมองฉันด้วยสีหน้ากังวลราวกับจะขอความช่วยเหลือ
「เอ่อ ก็อย่างได้ที่ยินแหละค่ะ พี่สาว ขอลงทะเบียนนักผจญภัยสองคนค่า ต้องให้ทวนอีกครั้งไหมคะ」
「เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ แต่ตามกฏของกิลด์นักผจญภัย การลงทะเบียนต้องอายุ สิบสองปี ค่ะ」
「――ใช่แล้วค่ะ」
「เอ่อ ขอโทษนะคะ」
ดูเหมือนว่าสาวน้อยผมสีเงินคนนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น