[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 8
บทที่ 8 หนทางแห่งจอมมาร
บนโลกใบนี้มีสภาพแวดล้อมชนิดต่างๆ มากมาย และก็ยังมีภูมิภาคที่มีลักษณะพิเศษที่เพิกเฉยต่อสามัญสำนึกรวมอยู่ด้วย
สถานที่อันมีมอนสเตอร์เกิดขึ้นมา เรียกอาณาเขตนี้ว่า ต่างโลก
ด้วยวันคืนอันยาวนานที่ถูกเหล่ามนุษย์ขับไล่ไปอยู่ในอาณาเขตเล็กๆ เหล่านี้ มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ จึงเกิดคุณสมบัติพิเศษขึ้นมา
คือความสามารถในการสอดพ้องเข้ากับสภาพแวดล้อม
พลังเวทย์ที่แผ่ออกจากร่างของมอนสเตอร์นั้นส่งผลอย่างมากต่อสภาพแวดล้อม และสภาพแวดล้อมเองก็ส่งผลอย่างมากต่อมอนสเตอร์
โดยพื้นที่ที่มอนสเตอร์อยู่นั้นจะเปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมนั้นเหมาะสมกับมอนสเตอร์ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ตามธรรมชาติแล้วเป็นไปไม่ได้นั้น เกิดขึ้นมาได้
จึงทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรอันล้ำค่าอยู่ภายใน
อย่างเช่นทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าที่แค่เอามาแตะแผลก็ทำให้หายได้เหมือนกับเวทมนตร์ฟื้นฟู
ภูเขาที่มีแร่ที่มีเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ สามารถสร้างปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างไฟหรือสายฟ้าได้
ป่าที่มีผลไม้ที่หวานอย่างไม่น่าเชื่อออกดอกออกผล
หรือแม่น้ำอันมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ที่แค่หยดลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถคืนชีพให้กับผืนดินอันไร้ชีวิต
เหล่านี้ก็เพียงตัวอย่างหนึ่ง
นั้นคือสาเหตุที่มนุษย์เข้าโจมตีมอนสเตอร์แต่ไม่ล้างบาง…เพื่อสร้างและปล้นชิงทรัพยากรมันมีค่าจากแหล่งอยู่อาศัย…ก็เป็นเหตุผลส่วนมาก
แต่ทว่าเขตต่างโลกที่เหล่ามอนสเตอร์สร้างขึ้นก็ไม่ได้สะดวกสบายสำหรับมนุษย์เสมอไป
อีกทั้งยังมีสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายที่สิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ธรรมดามากๆ นั่นก็คือทะเลสาบขนาดใหญ่ เป็นทะเลสาบที่มีก้นที่ลึกอย่างมาก เหมือนกับว่าถูกขุดลงไปโดยใครบางคน…
“…ที่นี่หรือ?”
“อ อืม การไม่เข้าใกล้ทะเลสาบนี้คือสามัญสำนึกครับ”
“จะถูกลากลงไป”
“อันตราย”
พวกอูลได้เดินทางมาถึงทะเลสาบขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของป่าซิลก์
การห้ามเข้าใกล้ทะเลสาบนี้ เป็นจิตสำนึกที่มีอยู่ร่วมกันภายในป่าซิลก์นี้ แม้กระทั้งมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาต่ำก็ยังเข้าใจ
เหตุผลก็คือมีมอนสเตอร์อันตรายอาศัยอยู่ ก็คือมนุษย์มารสายพันธ์ปลาที่ชื่อปิราน่า ได้อาศัยและเปลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัย แล้วเปลี่ยนทะเลสาบนี้เป็นอาณาเขต
เหล่ามอนสเตอร์อ่อนแอฝูงหนึ่ง ได้เหยียบย่างเข้าใกล้เขตอันตรายเพื่อหวังหาแหล่งน้ำที่มั่นคง
ผู้ที่ขนานนามตัวเองเป็นจอมมาร อูล โอม่า ที่ถือบางสิ่งที่เป็นเส้นอยู่ในมือ โคลต์ โคโบลด์หนุ่มน้อยที่เป็นเป้าหมายในความคุ้มครอง และก๊อบลินที่เป็นบริวารอีกทั้งหมดเจ็ดตัว
“ปิราน่า…เผ่าพันธ์มนุษย์ปลาผี เป็นมนุษย์มารสายมอนสเตอร์ปลาตามชื่อเรียกของมัน แม้จะมีส่วนที่เป็นมนุษย์มาร คือเป็นพวกที่มีสองเท้า แต่ขอบเขตการเคลื่อนไหวกลับอยู่แต่ในน้ำเหมือนกับปลา”
“อืม ก็เลยได้ยินมาว่า ถ้าอยู่ออกห่างจากทะเลสาบแล้วก็จะไม่เป็นอะไรครับ”
“ถ้าเข้าใกล้ จะหล่นไป”
“นั่นสินะ แม้จะสามารถเคลื่อนไหวบนบกได้ แต่เมื่อเทียบกับในน้ำแล้วความสามารถก็จะลดลงอย่างมาก เพื่อชดเชยความเสียเปรียบทางเผ่าพันธ์ที่มี จึงจำกัดเหยื่อที่ล่าลงเป็นเฉพาะพวกที่มาตามหาแหล่งน้ำที่ตนอาศัยเท่านั้น…นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้มา มีอะไรที่ผิดแปลกไปหรือไม่?”
อูลได้แบ่งปันข้อมูลในระหว่างที่กำลังเดินทางไปยังทะเลสาบ แม้อูลจะภูมิใจในความรอบรู้ของตนเอง แต่ก็ยังคงพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงจากห้วงเวลาที่ได้ถูกผนึกมาอย่างยาวนาน
แต่ในครั้งนี้โคลต์ได้ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าสิ่งที่อูลกล่าวเอาไว้นั้นไม่ได้มีอะไรผิดไป
“แต่ดั้งเดิมแล้วพวกปิราน่าก็เป็นอันตรายในจุดที่ใกล้แหล่งน้ำ…จนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรือ?”
แทนที่อูลจะดีใจที่สามัญสำนึกของตนเองนั้นใช้ได้ แต่กลับรู้สึกผิดหวังไปเล็กน้อย
ในช่วงเวลาที่อูลถูกผนึกไปนั้น อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต่ำกว่าพันปี สำหรับราชาผู้ครั้งหนึ่งเคยปกครองเหล่าอสูรแล้ว มอนสเตอร์ที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ เลยแม้เวลาจะล่วงเลยไปเท่านั้น ไม่เหมาะสมที่จะรับเข้ามาแม้แต่น้อย เจ้าพวกที่เอาแต่คิดว่าหากตนเองนั้นไม่พ่ายแพ้แล้ว อนาคตที่ดีกว่าเดิมจะเฝ้ารออยู่
แต่ทว่า ที่ผ่านๆ มานั้นก็พบเห็นแต่เผ่าพันธ์ที่เสื่อมถอยลงเพียงอย่างเดียว เมื่อเทียบกับปิราน่าที่ยังย่ำอยู่กับที่ก็อาจจะดีกว่าก็เป็นได้
“เอาล่ะ เป้าหมายในครั้งนี้มีอยู่สองประการ หนึ่งก็คือการยึดครองอาณาเขตของปีราน่าและใช้เป็นฐาน รวมไปถึงการครอบครองแหล่งน้ำ อีกหนึ่งก็คือการสาธิตเวทมนตร์ให้พวกแกดูในระหว่างที่กำราบพวกมัน”
จุดประสงค์ของการมายังทะเลสาบของพวกปีราน่าก็คือการครอบครองทะเลสาบ เพื่อรับเอาทะเลสาบที่เหล่ามอนสเตอร์หวาดกลัวปีราน่าจนไม่กล้าเข้าใกล้ และเพื่อเป็นการศึกษาแก่เหล่าบริวารของตน
เพื่อการนั้น อูลได้รวบรวมพลังเอาไว้แล้ว พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ อูลได้กลืนกินทุกสิ่งที่จับได้ระหว่างมาที่นี่
“…ถึงจะว่าแบบนั้น แต่ทำยังไงถึงจับได้ง่ายแบบนั้นครับ?”
“ก็แค่จับงูรอบๆ มีอะไรน่าตกใจอย่างนั้นรึ”
“น่าตกใจที่จับและกินทุกสิ่งที่เจอนั่นแหละครับ”
อูลที่ตอบด้วยรอยยิ้มกำลังถือบางสิ่งที่ยาวๆ ในมือ…คืองูที่ถูกกัดหัวจนสิ้นลมไปแล้ว
ตามที่โคลต์พูดออกมา อูลฆ่าและกินทุกสิ่งที่ตามองเห็น ไม่มีสิ่งใดที่หลงเหลืออยู่ในทางเดิน เหมือนกับการฆ่าล้างอย่างไม่แบ่งแยกกำลังกระจายไปเรื่อยๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ไม่แตะกระต่ายป่าที่กลุ่มก๊อบลินล่ามาได้นั้น เพราะว่าตนนั้นสามารถที่จะหาเหยื่อระดับนี้มาเท่าไหร่ก็ได้
อูลสามารถที่จะจับสัตว์ที๋โคโบลด์ปกติไม่สามารถจับได้ รวมถึงสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายถึงชีวิตมากินอย่างหน้าตาเฉย ทำให้โคลต์รู้ประหลาดใจอย่างรุนแรง
ว่าทำไมเป็นโคโบลด์เหมือนกันแท้ๆ แต่ความแข็งแกร่งนั้นช่างแตกต่าง
“ฮึม”
อูลพ่นลมออกทางจมูกต่อคำถามที่โง่เขลาและเหมือนกับไม่เคารพตนเอง แล้วกลืนงูส่วนที่เหลืออยู่ลงท้อง แม้จะเป็นงูมีพิษ แต่พิษเท่านั้นก็เป็นได้แค่เครื่องปรุงรสเท่านั้น
เพียงเท่านี้ยังไม่อิ่ม…ระหว่างที่ทำหน้าแบบนั้น ทิวทัศน์ของทะเลสาบก็เข้ามาสู่สายตา
“คุณภาพดีใช้ได้ เป็นน้ำที่มีพลังเวทย์ละลายอยู่ เป็นน้ำเจือพลังเวทย์ที่ดี”
อูลที่พึงพอใจในผลการสังเกตการณ์ทะเลสาบ ก็พยักหน้า
ก่อนที่อูลที่ตั้งใจจะครอบครองทะเลสาบนี้จะเริ่มเคลื่อนไหล ก็ได้ส่งเสียงเรียกเหล่าผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง
“เอาล่ะ…ก่อนอื่นจะสอนความรู้พื้นฐานของเวทมนตร์ให้ก่อน จำให้ได้ไปครั้งเดียวซะ…ถึงจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็พยายามเท่าที่จะทำได้ซะ”
“อ อื้ม”
“อย่างแรก เวทมนตร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่รูปแบบ วิถีแห่งปฐพี วิถีแห่งสุญญตา วิถีแห่งชีวิต และวิถีแห่งฟ้า”
“ปฐพี?”
“สุญญตา?”
“ชีวิต?”
“ฟ้า?”
“ใช่แล้ว ที่จะทำให้ดูคือวิถีแห่งดิน พูดให้เข้าใจง่ายก็คือทักษะในการควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติล่ะนะ”
เมื่อกล่าวไปเช่นนั้น อูลก็ยกแขนขึ้นไปทางทะเลสาบ
อูลได้บังคับพลังเวทย์ในร่างกาย ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โดยมีเป้าหมายคือ…การช๊อตไฟฟ้า
“วิถีแห่งปฐพีขั้นที่หนึ่ง ค้อนสายฟ้าแห่งลูกมนุษย์(子人の雷槌)”
เกิดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กส่งเสียงลั่นเปรี้ยะๆ ขึ้นที่มือขวาของอูล ก่อรูปเป็นเหมือนค้อนอันเล็กๆ ค้อนไฟฟ้าอันนั้นพุ่งตรงไปยังทะเลสาบ เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วทะเลสาบ
“…ส สุดยอด…สร้างสายฟ้าได้ด้วย…”
โคลต์แสดงความชื่อชมอย่างจริงใจ ต่อภาพฉากที่ของพลังที่ปกครองผืนฟ้าที่มือไม่อาจเอื้อมถึง
นี่คือครั้งที่สองที่ได้เป็นปรากฏการณ์นี้ นั่นก็คือทักษะที่ใช้โดยมนุษย์ผู้หญิงที่เข้ามาทำลายล้างพวกตนเมื่อวาน และอูลที่สามารถใช้งานได้ดั่งใจ
“พ พวกปิราน่าถูกกำจัดแล้วเหรอครับ?”
หากเป็นมิตรแล้วก็จะเป็นผู้ที่พึ่งพาได้ แต่หากเป็นศัตรูแล้วก็ช่างน่ากลัว
โคลต์ถามว่าชนะหรือยังอย่างตื่นเต้น แต่อูลก็ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่
“ไม่ไหวหรอก ด้วยความรุนแรงเมื่อครู่ ไม่สามารถที่จะฆ่าหรือทำให้หมดสติได้ ถ้าให้พูด ก็คงทำให้ชาหรือรู้สึกโมโหเท่านั้น”
“เอ๋?”
ความตื่นเต้นของโคลต์ลอยหายไปในพริบตา เมื่อได้ยินจากเจ้าตัวว่าวิชาที่สุดยอดขนาดนี้ทำได้แค่ “ยั่วให้ศัตรูโมโห” เท่านั้น
“งั้น จะทำไปเพื่ออะไรล่ะ…?”
“หืม การจะฆ่าให้หมดทั้งทะเลสาบด้วยพลังเพียงเท่านี้ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่แรกก็เพียงเพื่อยั่วโทสะแล้วให้มารวมตัวกันเท่านั้น”
เป้าหมายของอูลก็คือการรวมศัตรูให้เข้ามาอยู่ภายในระยะการโจมตี
ต่อให้การโจมตีจะเบาหวิวขนาดไหน แต่ภายในน้ำนั้นกระแสไฟฟ้าจะแล่นไปทั่ว ทำให้รู้ตัวว่าศัตรูเข้าใกล้มาแล้ว
“หากเป็นนิสัยของปีราน่าที่ข้ารู้จัก จะแสดงพฤติกรรมเมื่อศัตรูปรากฎตัวขึ้นคือการพยายามลากศัตรูลงไปในน้ำ สรุปแล้วมันก็จะขึ้นมาบนพื้นดินแล้วทำอะไรสักอย่างให้ศัตรูตกลงไปในน้ำ”
“เอ…”
“ชาบ้าบะ!?(シャババッ!?)”
“อะ”
ก่อนที่โคลต์จะได้บ่นอะไรกับอูล ก็ต้องตกใจก่อนเมื่อมีบางสิ่งกระโจนขึ้นมาจากน้ำ
เงาร่างที่ปรากฎขึ้นเหมือนกับปลาตัวใหญ่ มีเกล็ดสีน้ำเงินเข้มติดอยู่ทั่วลำตัว แต่ว่าสิ่งนั้นมีส่วนที่ปลาธรรมดาไม่มีติดอยู่ เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่านั่นคือมอนสเตอร์
มีบางสิ่งยื่นออกมาจากส่วนลำตัวอย่างน่าประหลาด นั่นคือมือและเท้านั่นเอง แต่ทั้งสองมือและสองเท้านั้นกลับมีกรงเล็บที่ดูอันตรายติดอยู่ด้วย
เจ้าสัตว์ประหลาดที่ฝืนยัดเอาส่วนที่เป็นมนุษย์เข้าไปก็คือ…มนุษย์ปลาผี นี่คือปิราน่า
“ออกมาแล้วรึ”
“ฮี!”
ในช่วงเวลาที่ศัตรูปรากฎตัวขึ้นอย่างชัดเจน โคลต์ก็ถอยไปสุดตัว เป็นพฤติกรรมที่น่าเวทนาจากการใช้ชีวิตอย่างผู้อ่อนแอตั้งแต่เกิด
ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าก๊อบลินแม้ว่าจะปลดปล่อยจิตสังหารออกมา แต่เอวกลับไม่ได้ขยับตาม หากต้องสู้อยู่ข้างเดียวกับผู้ปกครองที่เรียกว่าบอส ถ้าไม่มีคำสั่งให้ถอยก็ต้องอยู่สู้ต่อ แต่ผู้อ่อนแอก็ยังคงเป็นผู้อ่อนแอ จึงแสดงท่าทีอย่างกล้าๆ กลัวๆ อยู่แบบนี้
“ชาบ้า!”
“…ชารุบุ”
ปิราน่าตระโกนด้วยท่าทางตื่นเต้น แม้จะเป็นคำที่ไม่รู้ความหมาย
แต่ทว่า อูลกลับส่งเสียงพิศวงอันไร้ความหมายออกมาเหมือนให้เข้ากัน
“ชาลุชูบาบ้า!!”
“ชาบาลุ ชูลุชาบาบา”
“ชาบุชุชุชู!”
“…เอ่อ ทำอะไรอยู่ครับ?”
“หืม? มันถามว่าที่เมื่อกี้โดนช็อตนั้นคือพวกแกใช่มั้ย ใช่ แล้วก็ถามว่าต้องการอะไร นับตั้งแต่วันนี้ทะเลสาบเป็นของข้า ตอบไปแบบนั้น…เจ้าพวกนี้ไม่สามารถเข้าใจการพูดคุยแบบยากๆ ได้ เลยต้องคุยตอบโต้แบบง่ายๆ”
เป็นเรื่องที่น่าตกใจ ทั้งๆ ที่เป็นภาษาพูดที่มอนสเตอร์เผ่าพันธ์เดียวกันยังไม่น่าจะเข้าใจได้ แต่อูลกลับสามารถพูดได้ แต่เพราะว่าเป็นปลานี่เอง ภาษาพูดอาจจะไม่ได้มีคำศัพท์ให้ใช้มากสักเท่าไหร่
ทั้งที่ไม่สามารถเข้าใจเสียงร้องของก๊อบลินแท้ๆ…ในระหว่างที่คิดไปนี้ ก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่าอยู่
“ด เดี่ยวก่อน! นั่นมันตั้งใจหาเรื่องเต็มที่เลยหนิ!?”
“ก็ไม่ผิด แทนที่จะเรียกว่าหาเรื่อง เรียกว่ารุกรานอาจจะถูกต้องกว่า”
อูลส่งสายตาเหมือนจะถามว่ามาพูดอะไรเอาป่านนี้
นั่นจึงทำให้โคลต์เข้าใจได้ ส่งที่กำลังทำนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่ถูกทำอยู่บ่อยๆ…ก็คือผู้อ่อนแออย่างตนถูกรุกรานที่อยู่อาศัยนั่นเอง
“น นั่นมันไม่ดีนะครับ…?”
“อะไรไม่ดี?”
“ก็ การรุกราน…”
ความผิดบาป…จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่โคลต์ที่กำลังจะกระทำการขโมยที่อยู่อาศัยของพวกปิราน่าก็เพิ่งจะมารู้สึกแย่เอาตอนนี้
การให้คุณค่าของโคลต์นั้นถูกปลูกฝังมาด้วยสังคมของโคโบลด์ โคโบลด์นั้นคือผู้อ่อนแอ แม้ว่าจะถูกผู้อื่นโจมตีอยู่เสมอ แต่การโจมตีผู้อื่นนั้นแทบไม่เคย
โดยธรรมชาติแล้ว ในสังคมโคโบลด์นั้นปลูกฝังเอาไว้ว่าไม่ควรโจมตีผู้อื่น หากเป็นตามปกติ การสร้างสถานภาพนั้นจะกระทำโดยการกดขี่และโจมตีผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่เนื่องจากโคโบลด์นั้นแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะอ่อนแอกว่าเลย จึงได้แต่รวมตัวกันอยู่อย่างเหนียวแน่นเท่านั้น
เป็นผู้อ่อนแอที่รักสันติ…นั่นคือธรรมชาติของโคโบลด์
แต่ทว่า อูลนั้นพ่นลมหายใจออกทางจมูกให้กับคำพูดของโคโบลด์หนุ่มน้อยนี้
“ไอ้หนู จงใช้ตาคู่นั้นของแกดูให้ดี…เหยียบย่ำและปกครองต่างหากคือหนทางแห่งจอมมาร”
อูลคือจอมมาร และดำรงชีวิตด้วยการเหยียบย่ำและยึดครองผู้อ่อนแอ
ผู้ชั่วร้ายนั้นก็มีความเชื่อในแบบของตน สิ่งนี้ถูกเขียนอยู่ในเรื่องเล่าปรัมปรา อูลได้รวบรวมพลังเวทย์เอาไว้ในฝ่ามือ
“ส่วนต่อไปของชั้นเรียน ได้บอกไปว่าเวทมนตร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่รูปแบบใช่มั้ย ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญอยู่”
“ชาบาบะ!”
เหล่าปิราน่าเข้าโจมตีขัดขวางอูลในทันที
อาวุธของปิราน่าคือเขี้ยวและกรงเล็บ แม้จะเป็นมอนสเตอร์ปลาที่สู้ในน้ำได้ดี แต่ก็มีมือและเท้าพอจะขึ้นมาสู้บนบกได้
ต่อหน้าการโจมตีแบบซึ่งหน้าของเหล่าปิราน่าก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่ารวดเร็ว อูลก็เผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย…ต่อสู้เผชิญหน้าอย่างสนุกสนาน
“เวทมนตร์มีองค์ประกอบเป็นรูปแบบที่เรียกว่า วิถี และ ระดับชั้นสูงต่ำที่เรียกว่า ขั้น ในเวทมนตร์ชั้นสูงก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามมา…”
ความรุนแรงมันต่างกัน อูลยิ้มแล้วปลดปล่อยมานาที่รวมเอาไว้ในมือ
ในขณะเดียวกันโคโบลด์ก็กล่าวบทร่ายผ่านจากปากที่เหมือนกับสุนัขของโคโบลด์ประกอบโครงสร้างเวทมนต์ขึ้นมา
โดยสิ่งที่โคลต์ได้ยินผ่านหูก็คือ “วิถีแห่งปฐพีขั้นที่สอง ห่ากระสุนเพลิง (炎弾掃射)”
“ชาบ้า!?”
“การโจมตีหลายชั้นด้วยมวลของไฟ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่ข้ารู้ พวกแกอ่อนแอต่อความร้อนสินะ?”
ด้วยเกล็ดบนลำตัวของปิราน่านั้นทำให้ทนทานต่อการโจมตีจากการทุบตี แต่กลับกันแล้วอ่อนแอต่อความร้อน
นั่นก็คือความรู้ที่อูลมีอยู่ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้ผิดไปจากปัจจุบัน ปิราน่าถูกโอบกอดด้วยเปลวเพลิงที่ปรากฎขึ้นจากด้านหลังของอูลอย่างกระทันหัน พวกมันล้มตัวลงกลิ้งไปมาอย่างทรมาน กำลังรบทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา
“พ เพลิงมัน…”
“มากมาย”
“น่ากลัว”
“ตกใจอะไรกัน พวกแกเองอย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้แบบนี้ด้วยนะ?”
เวทมนตร์ที่ได้แสดงออกมา…คือขั้นที่สอง ก็คือสูงขั้นมาอีกขั้นจากเวทมนตร์ที่แสดงไปในครั้งแรก อูลพูดต่อทั้งโคลต์และก๊อบลินที่กำลังตกใจว่า จะให้พวกทำมันให้ได้ด้วยตัวเอง
และพวกเขาก็ต่างมองตากันแล้วคิดเป็นเสียงเดียวว่าเรื่องแบบนี้ทำไม่ได้หรอก แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลา แม้ว่าอูลที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจะทำท่าทีเป็นเล่นแบบนี้ได้เพราะว่าพลังอันเหลือเฟือ แต่พวกเขายังอยู่ในเขตของศัตรูอยู่
“…เอาล่ะ จากนี้จะเอาจริงแล้วนะ”
“เอ๋?”
“ถึงจะเป็นมอนสเตอร์เผ่าพันธ์เพียงหนึ่งเดียวที่ยึดครองอาณาเขตนี้อยู่…แต่ว่าต้องมีผู้นำอยู่แน่ ผู้ปกครองพื้นที่แห่งนี้ของพวกปิราน่า เมื่อข้าแสดงให้เห็นว่าเหล่าสมุนไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้ได้ หลังจากนี้ผู้ปกครองก็ต้องออกมากำจัดศัตรูด้วยตัวเองก็สมเหตุสมผลมิใช่หรือ?”
แค่ปิราน่า ก็เป็นศัตรูที่โคลต์ไม่สามารถเอาชนะได้แล้ว เมื่อประเมินสถานการณ์ผ่านคำพูดของอูลแล้วก็ยิ่งสิ้นหวัง
หากมีฝูงที่สามารถยึดครองอาณาเขตหนึ่งได้แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่จะแสดงพลังให้รอบๆ ยอมรับได้ และเมื่อมอนสเตอร์ยึดครองพื้นที่ใดอย่างยาวนานแล้ว จึงไม่แปลกที่จะมีเผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าปกติเกิดขึ้น
แน่นอนว่า โคลต์เองก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธ์ที่อ่อนแอ กับเผ่าปิราน่าที่ยึดครองทรัพยากรอันมีค่าอย่างน้ำไว้กับตัวด้วยแล้ว การที่จะไม่มีตัวตนพิเศษอันเป็นผู้ปกครองแล้วจึงแทบเป็นไปไม่ได้
โคลต์ที่สามารถเข้าใจได้ในที่สุดก็ได้แต่ยิ้มแข็ง แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้
ต่อหน้าอูลที่สามารถจัดการกองกำลังป้องกันลงได้อย่างง่ายดายนี้ ปิราน่าที่ยอมรับอูลเป็นศัตรูจึงเรียกผู้ปกครองของที่แห่งนี้ออกมา
“…พวกแก กล้าหาญมากที่ฆ่าผู้ติดตามของข้าได้!”
“โห พูดได้รึ ร่างกายที่ใหญ่โต กับพลังเวทย์และแรงกดดันที่เทียบไม่ได้กับปลาซิวปลาสร้อย…เป็นผู้ปกครองอาณาเขตนี้ไม่ผิดแน่ ดูเหมือนจะน่าสนุกขึ้นมาหน่อยแล้วนะ”
ตัวตนที่ปรากฎออกมาด้วยความโกรธหลังจากที่ผู้ติดตามของตนถูกฆ่านั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตรวมถึงความน่าเกรงขาม
เป็นรูปร่างที่ที่แม้จะเป็นปลาที่มีแขนขาเหมือนกัน แต่ขนาดกลับใหญ่โตจนใกล้เคียงกับสัตว์ประหลาด แทนที่จะเป็นเหมือนกับเอาร่างมนุษย์ยัดผสมกับปลา แต่ร่างกายกลับยืดยาวออกไปเหมือนกับงูที่มีแขนขางอกออกมาจากกลางลำตัว
เป็นเหมือนกับราชาของเหล่าปิราน่า ตัวใหญ่ถึงขนาดที่จะกลืนโคลต์ลงไปในคำเดียวได้ เป็นเผ่าพันธ์ที่พัฒนาขึ้นมาจนเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดงูตัวใหญ่ เป็นจุดศูนย์กลางของต่างโลก…ผู้ครองอาณาเขตปรากฎกายขึ้นมาพร้อมกับจิตสังหารอันเข้มข้น