ตอนที่ 15
เจ้าหญิงแห่งวัลเบิร์ต
สองวันให้หลัง นับตั้งแต่ตัดสินใจไปวัลเบิร์ต เซเลนติดตามมิลานออกจากอาณาเขตเฮลิฟาเต้ ครั้งนี้ผู้ติดตามมีเพียงทหารเกราะเบาจำนวนเล็กน้อยและสาวใช้ไม่กี่คนที่ตามมาเพื่อดูแลเซเลน จำนวนผู้ร่วมเดินทางน้อยกว่าคราวที่แล้วพอสมควร นั่นก็เพราะว่า เจ้าหญิงของประเทศข้างๆนั้นเป็นคนที่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องคัดเลือกผู้ติดตามที่มารยาทและรูปร่างหน้าตาดีในระดับหนึ่ง
รถม้าที่ใช้ก็ไม่ใช่แบบที่เน้นความทนทานในการใช้งานกับความสะดวกสบายอย่างครั้งที่แล้ว แต่เป็นรถม้าที่มีการแกะสลักสวยงามและตกแต่งหรูหราจนดูเหมือนงานศิลปะ แล้วยังมีอีกอย่างที่แตกต่างจากครั้งก่อน เป็นสาเหตุที่ทำให้เซเลนไม่พอใจ
ภายในรถม้า เซเลนนั่งอยู่ข้างๆมิลานอย่างไม่มีทางเลือก ก็ได้บ่นออกมา
“ทำไม หมี ไม่อยู่?”
“ครั้งนี้คือวัลเบิร์ต คุมะฮาจิไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ครับ”
มิลานตอบสั้นๆ ในแง่ของอำนาจของราชวงศ์เมื่อเทียบกับเฮลิฟาเต้แล้ว วัลเบิร์ตจะมีมากกว่าสองเท่าหรืออาจจะถึงสามเท่าได้ นี่คือประเทศอันดับสองของทวีปอย่างไม่มีข้อกังขา
คุมะฮาจินั้นแข็งแกร่งและไว้ใจได้ ถึงจะไม่ได้หยาบคายแต่เขาก็เป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย และเขาก็ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่เป็นทางการ หากใช้อำนาจของเฮลิฟาเต้กดดันมันก็จะเป็นปัญหาหรืออาจเกิดเรื่องยุ่งยากในภายหลังได้ เหมือนที่เคยเกิดมาในอดีต
นอกจากนั้น การเดินทางระหว่างเฮลิฟาแต้กับวัลเบิร์ตใช่เวลาเพียงแค่สามวันโดยรถม้า ระหว่างทางก็มีโรงแรม มีการเฝ้ายามอย่างทั่วถึง จึงแทบจะไม่มีโจรผู้ร้ายโผล่ออกมาระหว่างทาง ในเมื่อทหารทั่วไปก็สามารถจัดการได้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นถึงขั้นที่ต้องเรียกหาคุมะฮาจิ
แต่เซเลนที่ไม่รู้ถึงเรื่องนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมตอนไปประเทศเล็กๆอันห่างไกลเดินทางลำบาก ถึงพาไปด้วย แต่พอเป็นประเทศใหญ่ๆที่หรูหราและสะดวกสบายกลับทิ้งไว้ เธอจึงคิดว่าเขาถูกกีดกันอีกแล้ว เซเลนรู้สึกเห็นใจเขา ไม่ใช่ช้างที่น่าสงสาร* แต่เป็นหมีที่น่าสงสาร
เพราะไม่อยากมองไปที่เจ้าชายผู้ชั่วร้าย เซเลนสะบัดหน้าออกไปมองข้องนอกรถม้า เมื่อมองไปยังท้องฟ้าสีครามก็พบกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีแดงสดกำลังบินอยู่บนนั้น มันคือมังกรที่เธอเคยเห็นมาก่อนตอนที่เดินทางจากอาร์คุยล่ามา
“มังกร บินอยู่ อีกแล้ว”
‘อีกแล้วเหรอ’ เซเลนบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ถึงตอนที่เห็นครั้งแรกจะตื่นเต้น แต่ว่า ตั้งแต่ออกจากเฮลิฟาเต้มาก็ได้เห็นมังกรบินลงใต้ในช่วงเช้าและบินขึ้นเหนือในตอนเย็นอยู่ทุกวันจนเริ่มจะเบื่อแล้ว ก็เหมือนกับแพนด้าหรือโคอาล่าที่เป็นที่นิยมและหาดูได้ยาก แต่ถ้าได้เห็นทุกวัน วันละหลายรอบ มันก็ไม่รู้สึกว่าน่าดูแล้ว
“สีเงิน สีทอง มีไหม?”
เซเลนบ่นกับมังกรแดงที่บินฝ่าไปโดยไม่มองลงมาเบื้องล่างเลย
บินมาแต่สีแดงทุกวันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย สีเงินกับสีทองไม่มีบินผ่านมาแถวนี้บ้างเหรอ หรือเป็นสายพันธุ์หายาก ถึงอย่างั้นก็น่าจะคิดถึงผู้ชมหน่อยสิ เซเลนบ่นอย่างเอาแต่ใจกับมังกรที่บินผ่านไป ทั้งที่จริงแล้วมังกรไม่ได้มีหน้าที่ให้ความบันเทิงสักหน่อย
หลังจากเดินทางด้วยรถม้าสามวัน ในที่สุดเซเลนและคนอื่นๆก็ได้มาถึงอาณาจักรวัลเบิร์ต หากเป็นประเทศอื่นพวกเขาจะหยุดการเดินทางประมาณ2-3สัปดาห์เพื่อเรียนรู้การเป็นอยู่และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ แต่พอเป็นวัลเบิร์ต มิลานอยากจะเดินทางออกไปให้เร็วที่สุด
ที่เมืองหลวงของอาณาจักรวัลเบิร์ตแม้เป็นรองเฮลิฟาเต้แต่ก็เป็นเมืองที่งดงามและทันสมัยสมเป็นศูนย์กลางของประเทศ หากดูที่ความคับคั่งของผู้คนในตัวเมืองแล้วก็เรียกได้ว่าคึกคักกว่าที่เมืองหลวงของเฮลิฟาเต้ได้เลยทีเดียว ถึงอย่างงั้น—
“ผิดปรกติ ไม่เข้ากัน”
“เซเลนก็คิดเหมือนกันสินะครับ?”
อย่างที่เซเลนบอก ใจกลางของเมืองมีความเจริญสูงก็จริง แต่ดูเหมือนเป็นการพัฒนาที่บิดเบี้ยว ถนนสายหลักเรียงรายไปด้วยอาคารที่รูปทรงราวกับถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมของเฮลิฟาเต้ที่ตกแต่งภายนอกให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น ถัดจากอาคารที่ดูประณีตเกินความจำเป็นเหล่านั้น หากหันไปมองยังถนนอีกสาย ก็จะเห็นแต่อาคารเก่าที่ทรุดโทรม จึงทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเมืองจำลอง
“ดูเหมือนว่าวัลเบิร์ตจะบังคับปรับตัวเมืองให้เข้ากับรูปแบบของเฮลิฟาเต้ แต่กลับละเลยรายระเอียดอีกมากมาย ผู้คนที่อาศัยอยู่ใจกลางเมืองคงรู้สึกยินดีกับความหรูหรา แต่เบื้องหลังก็อย่างที่เห็นแหละครับ”
“ไม่ดีเลย”
“อือ เห็นด้วยครับ”
เซเลนมองไปยังเมืองที่แทบจะเปล่งประกายเป็นสีทองด้วยความโมโห มิลานที่ดูอยู่ก็เห็นด้วยกับเซเลน รูปแบบนี้จะทำให้คนที่มีฐานะร่ำรวยได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา และคนทั่วไปในส่วนที่เหลือก็จะถูกทอดทิ้ง การปกครองแบบนี้จะทำให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้ยาก การที่คิดวิธีให้มีแต่ตัวเองได้รับผลประโยชน์เท่านั้น เป็นความคิดที่ไม่ดีเลยจริงๆ
แต่สิ่งที่เซเลนไม่ชอบนั้นไม่ใช่รูปแบบชนชั้นของวัลเบิร์ต แต่กำลังคิดว่าทำไมเฮลิฟาเต้ไม่เป็นแบบนี้บ้าง กษัตริย์ปรกครองแบบเผด็จการและประชาชนต่างก็ชั่วร้าย ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้ทั้งประเทศล่มสลายไปก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร ต่างกับการที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตัดเฉพาะเนื้อร้ายที่ชื่อว่ามิลานออกไปเท่านั้น เซเลนคิดแล้วก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
ทั้งเซเลนและมิลานไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งผ่านถนนหลักมาถึงพระราชวังวัลเบิร์ต แตกต่างจากของเฮลิฟาเต้ที่ดูหนักแน่นและมั่งคง ของที่นี่จะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่ประดับด้วยทองจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายในการสร้างของแบบนี้ต้องมากมายมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับออกมาดูเหมือนตัวตลกอ้วนๆฉาบด้วยสีทองเท่านั้น
มิลานพูดกับทหารยามที่อยู่หน้าซุ้มประตู และมิลานกับเซเลนก็ถูกเชิญให้ลงจากรถม้า จากนั้นรถม้าก็ได้ถูกนำไปไว้ที่อื่น ดูเหมือนว่าจะมีสถานที่สำหรับดูแลตัวรถและม้าโดยเฉพาะ
“อุ๊ยตาย! องค์ชายมิลาน! ในที่สุดก็มาสักทีสินะคะ!”
มิลานและเซเลนที่ลงจากรถม้าได้เข้าใกล้พระราชวังก็ได้ยินเสียงเหลมสูงและดังออกมาจากบริเวณทางเข้า ทันทีที่หันไปก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งฝ่ากลุ่มผู้ติดตามเข้ามาหามิลาน
ดูจากภายนอก อายุน่าจะเท่ากับอาลัว ผมพองหนาสีเกาลัด ดวงตาสีน้ำตาล ที่นิ้วมือแต่ละนิ้วสวมแหวนประดับอัญมณีหลากสีสัน ตามตัวมีประกายสีเงินและทองจำนวนมากประดับอยู่บนชุดสีม่วงที่เธอสวมอยู่
“อือ ไม่เปลี่ยนไปเลย”
มิลานเห็นเข้าก็เบือนหน้าหนี ทำหน้ารังเกียจอย่างเปิดเผย เป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับเขา แม้แต่เซเลนยังถึงกับขมวดคิ้ว แน่นอนว่าไม่ใช้เพราะฝ่ายหญิง แต่เพราะมิลาน ทั้งๆที่มีผู้หญิงแบบนี้มาคลอเคลียก็ยังทำเป็นนิ่งอยู่ได้
“ไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะครับ องค์หญิงเอนเต้”
“โธ่ เรียกองค์หญิงเอนเต้มันฟังดูเป็นทางการเกินไปนะคะ เรียกเอนเต้เฉยๆก็พอค่ะ องค์ชายมิลาน ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะเรียกท่านแค่ชื่อเหมือนกัน”
สิ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องประดับ ผู้มีหางตาตก ที่ถูกเรียกว่าเจ้าหญิงเอนเต้ กำลังกุมมือของมิลานเอาไว้แน่น มิลานตั้งสติและรีดเร้นพลังใจออกมาทั้งหมดเพื่อที่จะส่งยิ้มกลับไปให้ แต่ก็ยังเผลอถอยหลังไปครึ่งก้าว
“ผมแค่แวะมาทักทายระหว่าการเดินทางเพื่อการศึกษาครับ ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดี แต่ผมคงเรียกแบบนั้นไม่ได้ครับ”
“แหม! ยังเล่นตัวอยู่อีก”
มิลานฝืนยิ้มให้เป็นธรรมชาติอย่างยากลำบาก ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นความตึงเครียดบนใบหน้า มีแต่เอนเต้ที่ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น และเซเลนที่ดูเหมือนกำลังอิจฉาอยู่ มิลานรู้สึกถึงความโกรธเคืองจากดวงตาสีแดงที่กำลังจ้องมองเขาจากมุมต่ำ จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“เซเลน นี่คือองค์หญิงเอนเต้ เจ้าหญิงแห่งวัลเบิร์ต เป็นคนรู้จักกับผมมาตั้งแต่เด็กครับ”
มิลานพูดโดยเน้นคำว่า คนรู้จัก
จากการแนะนำนั้นทำให้เอนเต้เริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเซเลน เพราะในสายตาของเอนเต้ สถานที่นี้ไม่มีใครอื่นนอกจากมิลาน
“อะไรเนี่ย ยัยเปี๊ยกนี่ใคร?”
“เด็กคนนี้คือเซเลนครับ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ตอนนี้จึงอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของผมครับ”
“หลายอย่าง!? ทำอะไรไว้หลายอย่างจนต้องรับผิดชอบ!? ทำไมองค์ชายมิลานถึงมีชู้รักล่ะคะ!?”
“ไม่ใช่ชู้รักครับ ต่อหน้าเด็กในการดูแลของผม กรุณาอย่าพูดเรื่องไร้ยางอายด้วยครับ”
“หืม… องค์ชายมิลานกับผู้หญิงที่ไม่ใช่ฉัน… เห…”
เมื่อได้ฟังคำตอบของมิลาน เอนเต้ก็หันมาจ้องที่เซเลนพร้อมส่งสายตาแสดงความอาฆาตอย่างรุนแรง แม้แต่ชายกร้านโลกผู้ชื่นชอบสาวสวยทุกคนอย่างเซเลนยังต้องถอยหนี คนคนนี้น่ากลัว โชคดีที่เอนเต้มองมาไม่นานก็หันกลับไปจ้องมิลาน
“นี่ องค์ชายมิลาน ฉันขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ?”
“เชิญครับ”
“ทำไมถึงเรียกเด็กนี่ด้วยชื่อตรงๆแต่เรียกฉันว่า ‘องค์หญิงเอนเต้’ ล่ะคะ?”
“ก็เพราะว่าเป็นผู้ติดตามของผมไงครับ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอครับ?”
“ฉันก็ขอไปตั้งหลายครั้งแล้วนะคะว่าให้เรียกฉันด้วยชื่อ!”
“เด็กคนนี้ที่เป็นผู้ติดตาม กับเอนเต้ที่เป็นเจ้าหญิง สถานะมันต่างกันอยู่นะครับ”
มิลานหาคำตอบที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เอนเต้ผู้มีอารมณ์แปรปรวนและรุนแรง หากได้ยินคำตอบใดก็จะหาประเด็นใหม่จากคำตอบนั้นขึ้นมาเป็นคำถามอีก มิลานจึงพยายามให้คำตอบที่เรียบง่ายที่สุด
“เอาเถอะ องค์ชายมิลานอุตส่าห์มาหาทั้งที จะมาเสียเวลาหงุดหงิดไปกับเรื่องไร้สาระไม่ได้ ฉันเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว ครั้งนี้จะยกโทษให้แม่หนูนี่ก็แล้วกัน”
“ยังไม่ได้ ทำอะไร สักหน่อย”
“…เมื่อกี้เธอพูดอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้พูดค่ะ”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นทำให้เซเลนต้องกลับคำในทันที และยังเผลอใช้คำสุภาพออกไปอีกด้วย
“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นก็ขอข้ามพิธีการยุ่งยากทั้งหลายเลยดีไหมคะ? ตั้งแต่ได้ยินว่าองค์ชายมิลานเดินทางออกนอกประเทศ ฉันสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดห้องรับรองแขกไว้ทุกวัน เชิญใช้ตามสะดวกนะคะ แน่・นอน・ว่า รวมถึงห้องนอนของฉันด้วยนะคะ”
เป็นการพูดที่สื่อว่าทอดสะพานให้อย่างชัดเจนของเอนเต้ มิลานถึงกับขมวดคิ้ว เซเลนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆจึงถูกเมินเหมือนก้อนหินริมทาง
ถึงจะเป็นสิ่งที่ห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาดแต่เซเลนก็เป็นถึงราชวงศ์ ถือเป็นการหมิ่นเกียรติ์อย่างมากหากถูกปฏิบัติอย่างต่ำต้อย มิลานมองไปที่เซเลนพร้อมรู้สึกขอโทษจากใจจริง แต่เซเลนก็ดูเหมือนจะปล่อยผ่านไปโดยไม่ติดใจอะไรในเรื่องนั้น มิลานรู้สึกชื่นชมในการวางตัวของเธอ แตกต่างกับเจ้าหญิงผู้โอ้อวดตรงหน้าเขาเหลือเกิน
เซเลนก็แค่ไม่มีความภูมิใจในฐานะราชวงศ์ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์เลย
เซเลนรู้สึกโล่งออกเมื่อเห็นตัวตนเของเจ้าหญิงเอนเต้ เจ้าหญิงเอนเต้เป็นสาวงามอย่างแน่นอน เพียงแต่ดวงตาที่แวววาวบนใบหน้าเรียวแหลมทำให้มองแล้วคิดถึงตั๊กแตนอยู่บ้าง หากเพื่อนสมัยเด็กเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานเรียบร้อยน่ารักอย่างอาลัวก็คงจะรู้สึกอิจฉาอยู่หรอก ถ้าเป็นคนนี้ล่ะก็ น่าจะเข้ากันได้ดีกับมิลานเลยล่ะ
เห็นได้ชัดว่ามิลานไม่มีความรู้สึกรักใคร่ในตัวเจ้าหญิงเอนเต้เลย ซ้ำยังพยายามหลีกเลี่ยงอีก ถึงพระเจ้าจะยอมรับได้แต่เซเลนผู้นี้จะไม่ยอมรับเด็ดขาด เจ้าชายมิลานต้องลงเอยกับตั๊กแตนตัวนี้เท่านั้น
“เอาล่ะ”
เซเลนเก็บคำพูดไว้ในปากเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน เซเลนเคยได้ยินมาว่า ตั๊กแตนบางชนิดเมื่อผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ตัวเมียจะกินตัวผู้ คิดแล้วก็ยิ้มออกมาเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหมาะกับคู่นี้เหลือเกิน
“เซเลน ช่วยตามน้ำทีนะครับ”
“เอ๋? อะ? หวา!?
มิลานกระซิบให้เซเลนเท่านั้นที่ได้ยิน จากนั้นมิลานก็ช้อนตัวของเซเลนขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองข้าง หรือเป็นท่าที่เรียกกันว่าท่าอุ้มเจ้าหญิง
เซเลนที่กำลังมีความสุขกับการจินตนาการถึงเจ้าชายที่กำลังถูกตั๊กแตนตัวใหญ่จับไว้และเริ่มแทะจากส่วนหัวลงมา พอรู้สึกตัวก็ตอบสนองไม่ทันจนกลายเป็นตัวเธอเองที่ถูกจับไว้อย่างขัดขืนไม่ได้ น่าเจ็บใจนักยิ่งนัก
“องค์ชายมิลาน!? ทำอะไรน่ะ!?”
และคนที่ดูจะตกใจยิ่งกว่าเซเลนก็คือเจ้าหญิงเอนเต้ที่อยู่เบื้องหน้า
“ต้องขอโทษด้วย เซเลนดูเหมือนจะรู้สึกไม่สบายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป ดังนั้นผมคงต้องขอข้ามการพูดคุยเล็กๆน้อยๆนี้เพื่อพาเธอไปพักก่อน คงไม่ว่าอะไรสินะครับ? ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าห้องรับรองแขกได้รับการทำความสะอาดทุกวันด้วยใช่ไหมครับ?”
“นั่นมัน… แต่องค์ชายมิลานไม่จำเป็นต้องพาไปเองแบบนี้เลยหนิคะ! ปล่อยให้เดินไปเองก็ได้นี่นา!”
“เด็กคนนี้มีสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงครับ ตอนที่มาถึงเฮลิฟาเต้ใหม่ๆ ทางเราก็เคยให้เธอฝืนมากเกินไปจนล้มพับมาแล้ว”
ในมุมมองของมิลาน มันคือข้อเท็จจริงที่เขาต้องยอมรับ ถึงจะใช้ปัญหาทางด้านสุขภาพของเซเลนเป็นข้ออ้างในการปลีกตัวจากการสนทนากับเอนเต้ แต่เขาก็ไม่ได้โกหกในเรื่องนี้
ทางฝั่งของเซเลนที่พยามดิ้นให้หลุดเหมือนลูกแมวที่ไม่ชอบให้ใครมากอด แต่ความแตกต่างทางพละกำลังของทั้งสองคนก็มีมากเกินไป เพียงแค่อุ้มขึ้นมาก็ไม่ต่างกับถูกท่าจับล็อคของยูโด จึงทำได้แค่ขยับขานิดหน่อยเท่านั้น
“…เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวจะให้คนนำทางให้”
“ขอบคุณครับ ไว้เจอกันหลังจากนี้นะครับ”
มิลานโค้งคำนับอย่างสง่างามและเดินผ่านเอนเต้ไป เบื้องหลังมีเอนเต้ที่แสดงสีหน้าบางอย่างออกมา เป็นได้ทั้งโชคดีและโชคร้ายที่มิลานและเซเลนไม่ได้เห็นสีหน้านั้น หลังจากนั้นคนนำทางก็พาทั้งสองคนไปที่ห้องที่เตรียมไว้ให้เซเลนได้พักผ่อน
“ปล่อยนะ!”
ทันทีที่เข้ามาในห้อง เซเลนที่ถึงขีดจำกัดพอดีก็ได้ตบหน้ามิลานไปหนึ่งครั้งแบบไม่ยั้งมือ ในความรู้สึกของเธอคือการตบอย่างแรงจนหน้าหัน แต่ในความเป็นจริงมันแทบจะสร้างความเสียหายให้มิลานไม่ได้เลย มิลานก็ดูท่าจะไม่เจ็บไม่คันอีกต่างหาก และเมื่อได้รับการปล่อยลงสู่พื้น เซเลนก็กระโดดหนีเหมือนกระต่ายไปที่มุมห้อง หันหลังชนผนังและส่งเสียงขู่ออกมา
“ต้องขอโทษด้วยครับ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ผมคงถูกพาไปห้องของเอนเต้แน่ๆ”
“ไปซะ ดีแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ขอโทษเรื่องที่ต้องบอกว่าสถานะของเธอต่ำกว่า ถึงมันจะเป็นเหตุผลทางการเมืองก็เถอะ และขอโทษเรื่องที่จู่ๆผมก็อุ้มขึ้นมาด้วยครับ แต่ผมไม่ถนัดรับมือเจ้าหญิงคนนั้นเลยจริงๆ”
“หึ!”
แม้ว่ามิลานจะขอโทษไปแล้วแต่ความโกรธของเซเลนก็ไม่ได้บรรเทาลงเลย เพราะไปแสดงให้เห็นว่าถูกผู้หญิงคนอื่นชักจูงได้ง่ายๆเหรอ มิลานก้มหัวให้อย่างนอบน้อมตามวิธีการรับมือกับสตรีชนชั้นสูง ถึงอย่างงั้นเซเลนก็ยังจ้องมองมาด้วยแววตาเชือดเฉือนอยู่
“(ขี้อิจฉาผิดคาดเลยนะเนี่ย…)”
จริงๆแล้วเรื่องที่โมโหคือการที่เจ้าชายมาทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตรงนี้แทนที่จะไปจู๋จี๋กับทางนั้นมากกว่า
“เดี๋ยวผมต้องไปทักทายคนอื่นๆในปราสาทก่อน เซเลนก็พักผ่อนตามสบายได้เลยครับ”
พอมิลานพูดจบก็ออกจากห้องไป ให้เซเลนอยู่ได้คนเดียว
“การมาเจอเอนเต้มีแต่จะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายทุกทีเลยสิน้า…”
มิลานยืนพิงประตู ถอนหายใจและเอามือลูบแก้มข้างที่ถูกตบ
แม้ว่าจะเรียกว่าการเดินทางเพื่อการศึกษา แต่ความจริงแล้วสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ภายในวัลเบิร์ตนั้นมีน้อยมาก
อาจเป็นเพราะวัลเบิร์ตเห็นเฮลิฟาเต้เป็นคู่แข่งมาเนิ่นนาน ทางด้านวัฒนธรรม ความรู้และวิชาการในศาสตร์และศิลป์ทุกแขนง ทั้งหมดไร้ซึ่งเอกลักษณ์เพราะล้วนเป็นของเลียนแบบที่ไม่ได้มาตรฐานจากเฮลิฟาเต้ทั้งนั้น
สำหรับวัลเบิร์ต พวกเขาต้องการแค่ได้อวดว่า ‘เจ้าชายจากประเทศมหาอำนาจยังต้องมาทักทายทางนี้’ คนที่รู้สึกอยากจะต้อนรับตัวเขาจริงๆก็คงจะมีเพียงเอนเต้ที่พยายามเกาะติดเขาอยู่ทุกโอกาสเท่านั้น เป็นแบบนี้ยิ่งกลับเร็วได้ท่าไหร่ก็ยิ่งดี หวังว่าเซเลนจะอารมณ์ดีขึ้นในช่วงการเลี้ยงรับรองมื้อค่ำที่กำลังจะมาถึงนี้ มิลานคิดและเดินออกไปงานพบปะทางการเมืองเพียงลำพัง
“รสนิยม แย่จัง”
ทางฝั่งของเซเลนที่ได้อยู่คนเดียวในห้องที่ถูกเตรียมไว้ให้ เป็นห้องที่ออกแบบมาได้อย่างไม่เข้ากันเลย เครื่องเรือนทุกชิ้นถูกประดับด้วยแผ่นทองแทบจะทุกส่วน ยิ่งไปกว่านั้น ของตกแต่งยังเป็นของที่ดูไม่เป็นศิลปะเอาเสียเลย มีพรมหนังหมีที่มีส่วนหัวเงยขึ้นมา กวางสตัฟที่แขวนอยู่บนผนัง มีของตกแต่งมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่อื่นนอกจากในอนิเมฯหรือมังงะ
“มีแต่ของปลอมๆ มีดีแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละครับ”
เซเลนกำลังเล่นกับส่วนหัวของหมีที่ยื่นออกมาจากพรม บัตเลอร์ที่อยู่เงียบๆในเสื้อของเธอมาตลอดก็ได้กระโดดออกมาราวกับหมดความอดทน
“จริงๆเลย! นี่มันหมายความว่ายังไงกัน! ให้เจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่มาใช้ห้องแบบนี้ได้ยังไง! คิดเป็นแต่จะใช้เงินเพียงอย่างเดียว ในฐานะงานศิลป์แล้วนี่มันเรียกได้ว่าชั้นสามของชั้นสามเลยนะ นอกจากไร้รสนิยมแล้ว ลองดูนี่สิครับ”
บัตเลอร์ที่กำลังฉุนเฉียว กระโดดขึ้นไปบนชั้นวาง ไปที่ถ้วยทำจากทองที่ตั้งแสดงอยู่ และใช้ขาหน้าดันถ้วยนั้นให้ล้มลงจนเห็นฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาจากข้างใน
“ทำความสะอาดเฉพาะส่วนที่มองเห็นได้เท่านั้น ไม่ได้ใสใจเรื่องรายระเอียดเลยครับ”
“บัตเลอร์ เป็นคุณแม่เหรอ?”
การที่บัตเลอร์ตำหนิเรื่องฝุ่นในมุมอับ ทำให้นึกถึงฉากแม่สามีรังแกลูกสะใภ้ในบทละคร จนเซเลนหัวเราะออกมา
ดูๆแล้วมันก็เป็นห้องที่รสนิยมแย่จริงๆแต่คุณภาพของเตียงนอนเป็นของดี หากมองข้ามลายเสือดาวของเตียงนั้นได้ สิ่งสำคัญสำหรับเซเลนคือต้องมีข้าวให้กินและมีที่นอนนุ่มๆให้นอนแค่นั้น ต่อให้มีแค่ฟูกให้ผืนเดียวเซเลนก็สามารถนอนได้ทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว
“องค์หญิงใจดีเกินไปนะครับ แบบนี้จะถูกไอ้เจ้าเอนเต้อะไรนั่นเอาเปรียบเอาได้”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่บัตเลอร์ก็เปลี่ยนใจในทันที เพราะมีจิตใจที่กว้างขวางยอมรับได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของผู้อื่นและให้อภัยในความผิดพลาด คือคุณสมบัติของการเป็นเจ้านายที่ควรสนับสนุน ฐานะของเขาในตอนนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิงที่ยอมรับสัตว์สกปรกไร้ประโยชน์ที่มีแต่คนรังเกียจ ซ้ำยังมอบพลังและปัญญาให้ เมื่อคิดอย่างนั้นมันก็เหมือนเป็นเรื่องไร้สาระที่มาคิดมากกับเรื่องของพวกคนกระจ้อยร่อยพวกนั้น เจ้านายก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี
“หนทางยังอีกยาวไกลสินะ องค์หญิงของกระผม”
“เอ๋? อะไรเหรอ?”
“องค์หญิง กระผมอยากจะไปสำรวจในครัวหน่อย ขออนุญาตได้ไหมครับ?”
“หิว เหรอ?”
“เปล่าครับ เด็กที่ชื่อเอนเต้ดูเหมือนจะชอบเจ้าชายมิลานเท่านั้น ดูจากห้องที่เตรียมไว้ให้และกิริยาอื่นๆที่เห็นมาจนถึงตอนนี้ เกรงว่าเรื่องอาหารอาจจะเป็นของไร้คุณภาพไปด้วย จึงอยากไปตรวจสอบวัตถุดิบให้แน่ใจครับ”
“เอาสิ”
“ขอบพระคุณครับ บัตเลอร์ผู้นี้จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
บัตเลอร์ยืนสองขาและโค้งให้ด้วยความเคารพ แล้วจึงพุ่งออกไปราวกับลูกศรไปที่หน้าต่างที่เปิดอยู่และกระโดดออกไป เซเลนที่ตอนนี้อยู่ได้คนเดียวแน่ๆแล้วก็ไปนอนลงบนเตียงและเริ่มคิดว่าจะทำอะไร
“เอาไงต่อดี…”
เซเลนขยี้ผมนุ่มๆสีขาวของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง เซเลนก็พอจะมีแผนเอาไว้แล้ว เนื่องจากทางนั้นเป็นเจ้าหญิงที่น่าจะชอบความฟุ่มเฟือย เพราะฉะนั้นก็คงจะมีงานเลี้ยงน้ำชาด้วย จากนั้นก็จะบังเอิญไปแทรกระหว่างการสนทนาของเอนเต้และเจ้าชาย เพื่อสร้างบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างสองหญิงกับหนึ่งชาย ถ้าพูดไปว่า “แกทำผู้หญิงร้องไห้เหรอ!” หรืออะไรทำนองนั้น ก็จะทำให้เลิ่กลั่กขึ้นมาจนเลิกถือตัวได้สักที เป็นแผนอันแยบยลที่แลกมาด้วยเวลานอนอันมีค่าถึงสองชั่วโมง
แผนนั้นถูกพับไปเนื่องจากการกระทำโง่ๆของเจ้าชายจึงต้องคิดแผนใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนอื่น จะหาโอกาสคุยกับเจ้าหญิงเอนเต้ยังไงดี?
ถ้าแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหญิงจากอาร์คุยล่าก็อาจจะขอเข้าพบกันตรงๆได้เลย และเชิญชวนให้จัดงานเลี้ยวน้ำชาทั้งอย่างงั้น น่าเสียดายที่วิธีนี้โดนปิดผนึกไว้แล้ว
จะมีโอกาสได้เจอเธออีกครั้งก็ตอนงานเลี้ยงอาหารค่ำ แต่ก็จะมีคนอื่นๆนอกจากเจ้าหญิงเอนเต้อยู่ที่นั่นอีก ถ้าจะให้ดีก็อยากจะให้มีแค่มิลาน เอนเต้ และตัวเธอเองเท่านั้น เซเลนกำลังรีดเร้นสติปัญญาสำหรับการคิดฟุ้งซ่านในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกอย่างแรงแทบจะทันที
“เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ แม่หนู?”
“เจ้าหญิง เอนเต้?”
สถานการณ์ช่างเป็นใจเหลือเกิน เจ้าหญิงเอนเต้ที่กำลังหาวิธีที่จะได้เจอ ได้มาพบเธอด้วยตัวเอง
“มีเรื่องที่อยากจะคุยกับเธอน่ะ ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“อือ!”
พระเจ้ายังเข้าข้างคนดีอยู่สินะ เซเลนยิ้มออกมา
แต่เซเลนก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าในสายตาที่เจ้าหญิงเอนเต้มองมานั้น เห็นเธอเป็นศัตรูไปเรียบร้อยแล้ว
____________________
*ช้างที่น่าสงสาร (かわいそうなぞう/Faithful Elephants) เรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นสั่งฆ่าสัตว์ทุกตัวในสวนสัตว์เพราะกลัวว่าสัตว์ป่าจะหลุดออกมาจากการถูกทิ้งระเบิด แต่การสังหารเกิดความผิดพลาด ช้าง 3 ตัวถูกลืมทิ้งไว้ในกรงในสวนสัตว์อุเอโนะที่ถูกทิ้งร้างในช่วงนั้น
MANGA DISCUSSION