[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 37 ในที่สุดหมอนั่นก็ทำสิ่งที่ถูกต้องซะที
ในวันที่เฮ่อซานหลางละทิ้งภรรยาไปเข้ากองทัพ ฉู่เหลียนกลับหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียงอบอุ่นโดยไม่มีสิ่งใดมารบกวนการนอน
อีกทางหนึ่ง เฮ่อซานหลางนำไหลเยว่เดินทางไปยังชายแดนเหนือของเหลียงโจว เพื่อไม่ให้ถูกตามทัน จึงเร่งเดินทางด้วยความไวเท่าตัวตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
ยามนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน แม้ในยามค่ำคืนที่ฟ้ามืดมิด แต่กลับไม่มีสายลมเย็นช่วยปัดเป่าผ่อนคลายความร้อนแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้นความร้อนอบอ้าวยังพาให้คนรู้สึกเหนียวกาย สิ้นแรงจนแทบจะหมดสิ้นความอดทน
ม้าสองตัววิ่งเร็วไปตามทางอันกว้างใหญ่ ช่วยพัดพาสายลมเอื่อยให้ปะทะร่างของผู้บังคับ ทว่าเมื่อชายหนุ่มทั้งสองจำต้องนั่งอยู่บนหลังม้าทั้งยามกลางวันที่แผดเผาและยามกลางคืนที่เงียบสงัด กระทั่งเฮ่อซานหลางที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ก็ยังเหนื่อยล้าจนแทบท้อถอย
ทั้งสองวิ่งไปได้อีกราวยี่สิบกว่าลี้
ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง ไหลเยว่เห็นกระท่อมฟางตั้งอยู่เบื้องหน้าที่ริมทาง สีหน้าดีอกดีใจปรากฏขึ้น “คุณชายสามขอรับ เบื้องหน้ามีกระท่อมฟางอยู่ คืนนี้ไปพักที่นั่นดีหรือไม่ขอรับ?”
อีกร้อยกว่าลี้จึงจะถึงเมืองข้างหน้า หากพวกเขายังฝืนเดินทางต่อในคืนนี้ ก็คงจะถึงเมืองนั้นในวันถัดไปอยู่ดี เช่นนั้นไยจึงไม่นอนพักสักคืนข้างทางก่อนเล่า? ไม่ว่าอย่างไรม้าก็ยังต้องการการพักผ่อนอยู่บ้าง
เฮ่อซานหลางพยักหน้าก่อนจะลงจากม้า ไหลเยว่รับบังเหียนจากมือเฮ่อฉางตี้ ก่อนจะนำม้าไปผูกกับต้นไม้ใกล้ ๆ ปล่อยเชือกยาวพอจะให้ม้าได้ทานหญ้าหวาน ๆ ที่อยู่รายล้อม
กระท่อมฟางซอมซ่อนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นร้านน้ำชาเล็ก ๆ แต่ยามนี้กลายเป็นเพียงเศษซากไปเสียแล้ว ภายในกระท่อมมีชุดโต๊ะเก้าอี้เพียงชุดเดียวที่ผุพังไปแล้ว ทั้งยังมีฝุ่นหนาปกคลุมทุกสิ่งจนเดาได้ว่าร้านนี้คงมิได้เปิดทำการมานานแสนนาน
กระท่อมฟางนี้เปิดรอบด้านทั้งสี่ทิศแลดูไม่มั่นคงคล้ายว่าจะพังทลายลงได้ทุกนาที ส่วนหลังคาก็แทบจะหลุดปลิว สถานที่นี้คงเป็นได้เพียงที่ซุกหัวหลบสภาพอากาศทั่วไปเท่านั้น
แม้ทุกสิ่งที่รายล้อมจะเลวร้ายไปเสียหน่อย ทว่าในฐานะผู้เดินทางแล้วย่อมเลือกไม่ได้ มีหลังคาคุ้มหัวและเครื่องเรือนเก่า ๆ อยู่บ้างก็ยังดีกว่าต้องตั้งค่ายอยู่ข้างถนน
ไหลเยว่ดึงเอาผ้าห่มผืนบางออกมาจากหีบห่อสัมภาระและปูลงบนเก้าอี้ จากนั้นจึงนำหมั่นโถวและถุงใส่น้ำออกมา
“คุณชาย น้ำขอรับ!”
เฮ่อฉางตี้นั่งลงบนโต๊ะ หลับตาพักสักครู่แล้วจึงรับถุงน้ำมายกดื่ม
จากนั้นเขาค่อยคว้าเอาหมั่นโถวเข้าปาก
นอกจากก้อนแป้งแห้ง ๆ นี่แล้ว เขายังมีเนื้อตากแห้งอยู่ในห่อผ้า ดังนั้นมือหนึ่งจึงถือหมั่นโถว อีกมือหนึ่งถือเนื้อตากแห้ง และทานทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
ชาติที่แล้ว หลังจากถูก ‘ฉู่เหลียน’ ทรยศ เขายังต้องทนทุกข์รอนแรมเข้าป่า ทำกระทั่งทานหญ้า กิ่งไม้และรากไม้มาแล้ว เทียบกันแล้วการมีทั้งหมั่นโถวและเนื้อตากแห้งก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว
เมื่อนึกหวนถึงมื้ออาหารดี ๆ ที่เคยเติมเต็มท้องจนอิ่มสำราญ ด้วยเหตุบางประการ การทานเนื้อตากแห้งกับหมั่นโถวแห้ง ๆ ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่อยู่บ้าง ขณะที่เคี้ยวอาหาร เขาก็หลับตาลง ทันใดนั้นรสชาติแสนอร่อยของข้าวต้มเห็ดหูหนูขาวและเมล็ดบัวก็ผุดขึ้นในใจ…ยังมีเกี๊ยวที่ควันลอยกรุ่น…และแป้งทอดใส่หัวหอมที่กลิ่นต้นหอมลอยปะทะจมูก…
เฮ่อฉางตี้กลืนหมั่นโถวแห้ง ๆ ลงคอ ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด บังคับตัวเองให้หยุดคิดถึงอาหารเลิศรสที่สตรีเลวทรามผู้นั้นทำเสียที
เขากัดเนื้อตากแห้ง และเผลอคิดสงสัยว่าคืนนี้ฉู่เหลียนสตรีเลวร้ายผู้นั้นจะทำอะไรเป็นอาหารเย็น ส่วนตัวเขายิ่งทานมากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่ขึ้นเท่านั้น
อดทนทานอาหารประทังความหิวไปได้อีกไม่กี่คำ เฮ่อซานหลางก็โยนหมั่นโถวและเนื้อตากแห้งที่เหลือลงในห่อผ้าอย่างไร้อารมณ์ เขาดื่มน้ำมากขึ้นอีกหน่อย ก่อนจะปูผ้าห่มและบังคับตนเองให้หลับใหล
ทั้งสองล้วนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตลอดวันจึงไม่ต้องการขยับกายอีกแม้แต่น้อย ไหลเยว่เอนกายพิงโต๊ะ ในมือถือหมั่นโถวเอาไว้ เขาถอนใจไปทานไป มองดวงจันทร์ที่หลบซ่อนเบื้องหลังกลุ่มเมฆ กลืนหมั่นโถวเข้าไปเต็มปาก ถอนหายใจอีกครั้งแล้วรำพึง “คิดถึงหมูสามชั้นที่นายหญิงสามทำเหลือเกิน สิ่งนั้นอร่อยมากจริง ๆ …เสียดายนักที่คงไม่มีโอกาสได้ทานอีกแล้ว”
เมื่อรำพึงรำพันเสร็จ เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับสายตาเย็นชาดุร้ายที่เฮ่อฉางตี้จ้องมองมา เมื่อนึกได้ว่าคุณชายสามทานอาหารอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็หุบปากทันที
เห็นว่าเสียงรบกวนใกล้ตัวเงียบไปแล้ว เฮ่อฉางตี้ก็หลับตาลงอีกครั้งด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ฮึ่ม แค่เขาจากไป มิได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้สตรีแพศยาผู้นั้นกระทำสิ่งใดได้ตามใจชอบ เขายังส่งคนของตนไปอยู่รอบกายนาง ผู้ที่จะคอยจับตามองนางในทุกเสี้ยววินาที ก็ลองดูว่านางจะยังกล้าลักลอบคบหากับเซียวอู่จิ้งอยู่หรือไม่!
หากยังกล้าลอบพบปะกันแม้แต่ครั้งเดียว เขาจะหย่าขาดจากนางโดยไม่สงสารแม้แต่น้อย และจะทำลายชื่อเสียงของนางให้สิ้น ให้นางไม่มีโอกาสได้เงยหน้ามองใครในเมืองหลวงได้อีกในชาตินี้!
เมื่อคิดถึงสีหน้าของฉู่เหลียนยามได้รับจดหมายจากมือจงหมัวมัว เฮ่อซานหลางผู้โง่งมก็รู้สึกเหมือนตนได้แก้แค้นเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกไม่พอใจกับมื้ออาหารที่แสนจะเลวร้ายก็ค่อย ๆ จางลงพร้อมกับสีหน้าหม่นที่เริ่มดีขึ้น
เขายกมือขึ้นหนุนหัวแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างช้า ๆ
ทว่าในคืนนั้นเอง กลับมีฝนเทกระหน่ำลงมาพัดพาเอาหลังคาหญ้าฟางปลิวออกไป ทั้งยังมีฟ้าผ่ารุนแรง หยาดฝนใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเทลงกระทบร่างชายทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้นเสียจนเปียกชุ่มโชก
เฮ่อฉางตี้ม้วนผ้าห่มเก็บอย่างโมโห เก็บสัมภาระ และเร่งไปหลบใต้โต๊ะพร้อมไหลเยว่…
สถานการณ์ยามนี้เปรียบได้ดั่งภาษิต ‘ผีซ้ำด้ำพลอย’ โดยแท้ วันต่อมา คนทั้งสองยังคงต้องออกเดินทางทั้งที่สวมชุดเปียกปอนนั้น ทานหมั่นโถวและเนื้อตากแห้งที่ชุ่มน้ำฝน ใบหน้าของเฮ่อซานหลางสะท้อนอารมณ์รุนแรงดุจดั่งพายุร้ายที่โหมกระหน่ำเมื่อคืน
ไหลเยว่เดินตามหลังนายด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “คุณชายโปรดอดทนอีกนิดเถิดขอรับ เดี๋ยวถึงเมืองถัดไปก็ได้ทานอาหารร้อน ๆ กันแล้ว แม้จะไม่อร่อยเท่าที่นายหญิงสามทำ ทว่าก็ยังดีกว่าหมั่นโถวเปียก ๆ และเนื้อตากแห้งที่เรามีเป็นแน่”
การ ‘ปลอบใจ’ ของไหลเยว่เหมือนสาดน้ำมันลงกองเพลิง เฮ่อซานหลางเกรี้ยวกราดจนแทบจะระเบิด
“หุบปาก! ถ้าเจ้ายังเอ่ยถึงฉู่เหลียนอีกเพียงครั้ง ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ทานอาหารร้อน ๆ อีกแม้แต่คำเดียว”
เฮ่อฉางตี้ตวาดดังลั่น ก่อนจะใช้แส้ฟาดม้าอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็นดั่งอสุรกาย ทิ้งให้บ่าวรับใช้รีบเร่งติดตาม
ไหลเยว่ไม่เข้าใจว่าคำพูดไหนของตนที่ทำให้คุณชายสามไม่พอใจ ได้แต่เกาหัวอย่างงุนงง และเร่งตามนายของตนให้ทัน
“อ๋า คุณชาย! อย่ารีบร้อนไปขอรับ! รอบ่าวด้วย!”
ฝั่งฉู่เหลียนที่นอนหลับอย่างสบายใจจนถึงเช้า พายุเมื่อคืนช่วยคลายร้อนในวันนี้ได้ดีทีเดียว หยาดน้ำค้างเปล่งประกายอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าในสวนเล็ก เมื่อสูดอากาศยามเช้าเข้าเต็มปอด นางก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เช้าวันนี้หลังจากที่ตื่นนอน สิ่งแรกที่นางทำคือการมองเหม่อไปยังผ้าปักลายสิริมงคลที่แขวนอยู่บนหลังคาเตียง
ในนิยายต้นฉบับนั้น ‘ฉู่เหลียน’ เป็นผู้วางเพลิงห้องครัวใหญ่ เพื่อให้นายหญิงใหญ่หรือโจวซื่อได้รับบาดเจ็บ เพื่อที่นางจะได้กลายเป็นผู้ดูแลจัดการเรือนแทน
ครอบครัวเดิมของโจวซื่อคือตระกูลติ้งหยวน ทั้งนางยังเป็นหลานสาวสายตรงคนโตของท่านโหวติ้งหยวน ซึ่งวันพรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของติ้งหยวนโหว ในฐานะญาติทางแต่งงาน จวนจิ่งอันย่อมต้องไปแสดงความยินดี
ตามต้นฉบับแล้วโจวซื่อที่ได้รับบาดเจ็บหนักจึงไม่อาจไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลตนเองได้ เฮ่อเหล่าไท่จวินจึงพา ‘ฉู่เหลียน’ ไปที่จวนติ้งหยวนแทนโจวซื่อ เพื่อร่วมแสดงความยินดี นอกจากนั้น ‘ฉู่เหลียน’ ไม่เพียงได้พบเจอกับเซียวป๋อเจี้ยนที่นั้น แต่ยังคงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของ ‘ฉู่เหลียน’ ต้องมัวหมอง เกิดเป็นความระแวงระหว่าง ‘ฉู่เหลียน’ และเฮ่อเหล่าไท่จวิน
เมื่อนางทราบว่าพรุ่งนี้จะเกิดเหตุร้ายที่จวนติ้งหยวน นางจึงต้องหาทางเลี่ยงอย่างสุดกำลัง
อีกอย่าง ตอนนี้โจวซื่อก็แข็งแรงดี เมื่อนางไปงานนั้นย่อมไม่กระทบต่อจวนจิ่งอันแน่นอน
เมื่อวางแผนเสร็จ ฉู่เหลียนก็ลุกจากเตียง
เช้านี้นางสอนฉีเยี่ยนทำเสี่ยวหลงเปา เมื่อนำตะกร้านึ่งเสี่ยวหลงเปาออกมาจากหม้อ นางยังเห็นไอน้ำร้อน ๆ ลอยขึ้นมา ฉู่เหลียนหยิบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมาตัวหนึ่ง เจาะรูเล็ก ๆ ด้านบน แล้วดื่มน้ำซุปข้างใน นางทำแต่ละตัวให้พอดีคำ เมื่อทานเสี่ยวหลงเปาหมดในคำเดียว ก็ไม่มีอะไรจะรู้สึกดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ทานคู่กับแตงกวาดองกรอบ ๆ และข้าวต้มร้อน ๆ ฉู่เหลียนก็ทานเสี่ยวหลงเปาหมดไปครึ่งตะกร้าทีเดียว
ส่วนที่เหลือนางให้บ่าวไพร่ในเรือนซงเถานำไปแบ่งกันกิน
เนื่องจากมีวรยุทธ์ จงหมัวมัว เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานต่างก็สามารถแย่งทั้งตะกร้ามาไว้ที่ตัวได้ ยามนี้พวกนางไม่มีทีท่าที่หยิ่งยโสดังเช่นเมื่อคืนอีกแล้ว แต่ต่างคนต่างหยิบไปกินอย่างตะกละตะกลาม
ริมฝีปากของฉู่เหลียนโค้งขึ้นขณะมอง นางยังสงสัยนักว่าเฮ่อฉางตี้จะมีทีท่าเช่นไร หากรู้ว่าคนที่เขาส่งมาจับตามองนางนั้นถูก ‘ติดสินบน’ ด้วยอาหารที่นางทำเพียงแค่สองมื้อเท่านั้น
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางก็เรียกจงหมัวมัวเข้ามาถามข้อสงสัย
ฉู่เหลียนไม่ชอบการบีบบังคับผู้คนจนเกินไป นางไม่รู้เรื่องของจงหมัวมัวแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากไม่มีปรากฏตัวละครนี้อยู่ในนิยาย ดังนั้นจึงเอ่ยถามนางอย่างตรงไปตรงมา
จงหมัวมัวอ้าปากค้างไปเล็กน้อย นางไม่คาดว่าภายในคืนเดียว นายหญิงสามจะดูออกว่าเวิ่นฉิงและเวิ่นหลานมีวรยุทธ์
นางเก็บความตกใจเอาไว้ และตอบ “นายหญิงสาม เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนหันไปมองเวิ่นฉิงและเวิ่นหลาน รูปร่างและหน้าตาของคนทั้งคู่ดูธรรมดายิ่ง ไม่เพียงเท่านั้นนางยังคงถามต่อด้วยความสงสัย “เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานมีความสามารถแค่ไหนหรือ?”
จงหมัวมัวสับสนเล็กน้อย นางมองฉู่เหลียนอย่างไม่เชื่อสายตา เหตุใดความคิดของนายหญิงสามจึงต่างจากผู้อื่นนัก? มิใช่ว่านายหญิงส่วนมากจะถามกลับว่า ‘เหตุใดจึงส่งบ่าวเช่นนี้มาให้ข้า? มาจับตาดูข้าหรือ? สามีไม่เชื่อข้าหรือ?’ หรอกหรือ? หากสิ่งที่นายหญิงสามถามเป็นเช่นนี้ นางคงตอบอย่างเรียบง่ายเพียง ‘นายหญิงสาม ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ’
ทว่าสิ่งที่นายหญิงถามกลับนอกบทไปเสียไกล จึงไม่อาจแม้แต่จะตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่เตรียมมาได้
จงหมัวมัวกล้ำกลืนเลือดที่ยังไม่กระอักลงคอขณะตวัดสายตามองเวิ่นฉิง
เมื่อเห็นหมัวมัวมองนางด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ เวิ่นฉิงจึงรีบก้าวออกมาข้างหน้าแล้วตอบอย่างภูมิใจ “เรียนนายหญิงสาม บ่าวสามารถรับมือบุรุษสี่หรือห้าคนได้สบาย ๆ เจ้าค่ะ”
จงหมัวมัว: …………..
กระทั่งเวิ่นฉิง ผู้ควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดีนั้น ในยามนี้กลับลืมจุดประสงค์ของตนไปจนสิ้นเพียงเพราะสินบนแสนอร่อยของนายหญิงสาม
พวกนางถูกส่งมาจับตามองนายหญิงสาม! เวิ่นฉิงพยายามทำอะไรกันแน่? ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับลูกสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่รอคอยให้นายหญิงชมไม่มีผิด
จงหมัวมัวสงสัยว่าหากเวิ่นฉิงมีหางกระดิกไปมาอยู่ด้านหลังคงเหมาะกับนางยามนี้เป็นแน่
หลังจากจบบทสนทนานี้นางคงต้องพูดคุยกับสาวใช้คู่นี้เสียหน่อยแล้ว
เมื่อปมสงสัยของฉู่เหลียนต่อความสามารถของสาวใช้ทั้งสองนางถูกคลายออก ตอนนี้นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ดวงตากลมโตของนางทอประกายแวววาวราวดวงดาวยามค่ำคืน
พวกนางมีวรยุทธ์! น่าประทับใจจริง ๆ! เช่นนี้นางก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวเวลาออกไปนอกจวนแล้ว!
ในที่สุดเจ้างั่งเฮ่อฉางตี้ก็ทำสิ่งดี ๆ เป็นบ้างแล้ว
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816