[นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san - ตอนที่ 5 - หยุดนะ! อย่าสู้เพื่อฉันเลย! (2)
- Home
- [นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san
- ตอนที่ 5 - หยุดนะ! อย่าสู้เพื่อฉันเลย! (2)
“เพียงเท่านี้พวกเราก็ทำเสร็จไปไม่มากก็น้อยแล้วนะ ขอบคุณที่ทำงานหนักด้วยนะ ขอบคุณมากเลยมาซาจิกะคุง”
“ขอบคุณนะ นายช่วยเราได้มากจริงๆ”
“อืม”
ราวๆหนึ่งชั่วโมงต่อมา ด้วยผลงานอันน่าทึ่งของมาซาจิกะที่ทุ่มเทจากใจและจิตวิญญาณของเขา ทั้งสามคนจึงเดินออกจากห้องเก็บของหลังทำกันเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้ และแล้วก็มีนักเรียนชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา
“อะไรเนี่ย ทำกันเสร็จแล้วเหรอ?”
“อ๊ะ ประธาน ของคุณที่ทำงานหนักนะคะ และใช่ค่ะด้วยความร่วมมือของคุเซะคุง พวกเราเลยเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้ค่ะ”
“โอ้ นายคือคุเซะสินะ ฉัน ‘เคนซากิ’ ประธานนักเรียน ฉันพอได้ยินเรื่องนายมาบ้างแล้ว? ได้ยินมาว่านายโดดเด่นมากเลยสินะ”
“อ่า ขอบคุณครับ”
ขณะที่โค้งคำนับให้เล็กน้อย มาซาจิกะก็แหงนมองชายที่อยู่ข้างหน้าเขา เขารู้แล้วว่าชายผู้นั้นคือใครที่แนะนำตัวเองดูไม่จำเป็นสักเท่าไหร่
นักเรียนปีสอง เคนซากิ โทยะ เขาเป็นประธานนักเรียนซึ่งเป็นประธานนักเรียนคนปัจจุบันของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้
เขาเป็นคนร่างใหญ่ นอกจากที่เขาสูงอยู่แล้วก็มีไหล่กว้างและหน้าอกหนาซึ่งทำให้เขาดูตัวใหญ่กว่าความเป็นจริงถ้ามองเขาจากระยะใกล้
เขาไม่ได้เป็นคนที่หล่อเหลาเอาการเป็นพิเศษแต่อย่างใด
แต่เขามีใบหน้าที่ค่อนข้างแก่พอสมควร เมื่อดูร่างกายของเขาโดยรวมแล้ว เขาไม่เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายปีสองเอาเสียเลย
อย่างไรก็ตาม คิ้วของเขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและแว่นตาที่ดูดีมีสไตล์
ส่วนสำคัญที่สุดก็คือความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากการแสดงออกของเขา เลยทำให้เขาดูมีเสน่ห์และเห็นความศักดิ์ศรีของการเป็นลูกผู้ชาย
(ตอนนี้พอเข้าใจได้ละ ว่าเขาดูมีเสน่ห์จริงๆ)
เพียงมองเขาแค่แวบเดียว เขาก็ทำให้คุณรู้สึกได้ว่าเป็นคนที่ไว้วางใจได้ มันเลยทำให้คุณคิดว่าถ้าติดตามผู้ชายคนนี้ไปทุกแห่งหนก็จะเป็นไปได้ด้วยดี ถ้าจะให้พูดดูเกินจริงล่ะก็อาจพูดได้เลยว่าเขามีบรรยากาศอย่างกับผู้ปกครอง
ผมสงสัยจังว่าคนอะไรสามารถลากสาวสวยสเป็คสูงได้ถึง 4 คนด้วยตัวคนเดียวแบบนั้น แต่พอเริ่มเข้าใจละถ้าเป็นผู้ชายคนนี้
มาซาจิกะคิดอย่างตรงไปตรงมา
“งั้นตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดิ๋ยวก่อน มันจะดูน่าละอายใจที่ส่งนายกลับบ้านไปโดยไม่ให้อะไรตอบแทนหลังช่วยไว้แบบนั้นนะ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้านายไม่ว่าอะไรฉันขอเลี้ยงอะไรนายสักหน่อยละกัน”
“เออ แค่ความรู้สึกก็พอแล้วล่ะครับ….”
มาซาจิกะลังเลที่จะยอมรับข้อเสนอจากโทยะ เขารู้สึกเฉยๆที่จะได้รับเลี้ยงอะไรจากรุ่นพี่ที่เขาเพิ่งเจอ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้คาดการณ์ผิดในหัวของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสงสัยว่านี่อาจเป็นจุดประสงค์หลักที่ยูกิเรียกมาหรือเปล่า ยูกิจึงได้ปริปากออกมาราวกับจะยืนยันกับการคาดการณ์ของมาซาจิกะ
“นายควรตอบตกลงไปไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างพอกลับบ้านไป นายก็ไม่มีอะไรกินอยู่แล้วหนิ?”
“ยูกิ….”
“หืม? ทำไมซุโอะถึงรู้สถานการณ์บ้านของคุเซะได้ล่ะ?”
ยูกิตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจนให้โทยะ ส่วนอาริสะก็ทำหน้าสงสัยที่โทยะถามดูมีเหตุผล
“พวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันค่ะ”
(ไม่ นั่นมันไม่ใช่คำตอบเลย)
แม้แต่มาซาจิกะ…โทยะและอาริสะต่างกำลังคิดเรื่องนี้ในใจเหมือนกัน แต่ด้วยรอยยิ้มของยูกินั้นช่างทรงพลังมากจนไม่มีช่องว่างสำหรับคำพูดที่ไม่ไหวพริบเช่นนั้น
“อย่างนั้นเหรอ…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรนะ แล้วซุโอะกับคุโจวคนเล็กก็มาด้วยกันได้นะ ถือเป็นการไถ่โทษที่ฉันให้งานแปลกๆไปให้พวกเธอละกัน เดิ๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ฉันยินดีรับไว้ค่ะประธาน”
“….เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“เอ๋ห์~ ถามจริง”
สิ่งที่มาซาจิกะรู้ต่อไปก็คือเขาควรจะไปด้วย ถ้าให้พูดตามจริงก็คือเขาดูไม่กระตือรือร้นกับเรี่องนี้มากนักแต่เขาไม่สามารถที่จะปฎิเสธอย่างดื้อรั้นไปได้ ดังนั้นมาซาจิกะจึงตามหลังพวกเขาไปอย่างเงียบๆ
(แสดงว่านี่คือจุดแข็งของประธานนักเรียนสินะ….)
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่เช่นนั้น ยูกิก็หันกลับมามองมาซาจิกะแล้วยิ้มให้อย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดเลยว่านี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอ
(แสดงว่านี่คืองานของฝ่ายประชาสัมพันธ์นักเรียนสินะ….)
มาซาจิกะถอนหายใจออกมาแล้วไปให้ความสนใจอาริสะที่กำลังเดินอยู่ข้างๆเขา
“….อะไร?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“อะไรล่ะนั้น มันดูหยาบคายนะที่จ้องหน้าผู้หญิงแบบนั้นแล้วบอกไม่มีอะไรน่ะ”
“โทษที”
เป็นการโต้เถียงกันที่ดูสมเหตุสมผลดีเลย ทำให้มาซาจิกะจึงคิดไตร่ตรองไปมาแล้วมองไปด้านหน้า
(แสดงว่านี่คือการปฏิบัติตัวของฝ่ายบัญชีอย่างเย็นชาสินะ….)
มาซาจิกะกำลังคิดอะไรงี่เง่าออกมาขณะมองไปข้างหน้าแบบนั้น
【ตอนนี้ฉันประหม่าอยู่รู้ไหมเนี่ย】
ขณะที่ยังมองไปข้างหน้าอยู่ มาซาจิกะก็ได้กระอักเลือดอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ว่าอาริสะกำลังจ้องมองมาที่เขาและยิ้มบนริมฝีปากของเธอแต่มันไม่มีจังหวะที่จะเถียงเธอกลับไปได้ จน MP* ของมาซาจิกะเหลือเพียงแค่ศูนย์แล้ว
*(TL Note: MP = Mana Point)*
มาซาจิกะเปลี่ยนรองเท้าจากทางเข้าอาคารเรียนและเดินออกมาข้างนอก
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เจอกับกลุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นชมรมฟุตบอล
ดูเหมือนว่าพวกชมรมจะเพิ่งซ้อมกันเสร็จและพอได้เห็นกลุ่มมาซาจิกะทั้งสี่คน พวกเขาก็ขยับออกไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ
(เดิ๋ยวนะ พวกนี้มันมองทั้งสามคนยกเว้นเราใช่มั้ยเนี่ย)
แม้ทั้งสี่คนจะเดินผ่านกันไปแบบนั้น มาซาจิกะก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองจากทางด้านข้าง แล้วเป็นไปตามที่คาดไว้อาริสะดูได้รับความสนใจมากที่สุด
ตามด้วยยูกิและสุดท้ายก็คือมาซาจิกะ อย่างไรก็ตามความสนใจไปยังตัวมาซาจิกะก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่า “หมอนี่คือใครเนี่ย”
(อ่า กะไว้แล้วเชียว)
มาซาจิกะเองก็รู้ว่าเขากำลังอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสมแต่รู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
ในทางกลับกัน อย่างที่ใครๆก็คาดหวังไว้จากอาริสะและยูกิ ทั้งสองคนต่างได้รับความสนใจมากกว่ามาซาจิกะแต่พวกเธอก็ไม่สะทกสะท้านใดๆและดูเหมือนจะไม่สนใจอยู่แล้วด้วย
และนั่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยหลังจากทั้งสี่คนเดินออกมานอกโรงเรียนก็ตาม เธอทั้งสองคนต่างดึงดูดสายตาจากคนที่เดินผ่านไปมา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนยกเว้นมาซาจิกะเดินไปตามท้องถนนด้วยความเคยชินและเข้าไปยังร้านอาหารครอบครัวที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 10 นาที
พวกเขาถูกนำทางไปยังโต๊ะ โดยโทยะนั่งลงก่อนเป็นคนแรกที่ปลายสุดของโต๊ะและมาซาจิกะก็กระตุ้นทั้งสองคนให้นั่งลงก่อนเพื่อไม่ให้พวกเธอนั่งต่อหน้าเขา
อย่างไรก็ตาม….
“มาซาจิกะคุงก่อนเลย?”
“เธอก็รู้นี่…อาเรีย”
“แล้วนายจะมาเขย่าฉันทำไมเนี่ย”
ยูกิจึงแนะนำที่นั่งที่อยู่ด้านหน้าโทยะด้วยรอยยิ้มของเธอและมาซาจิกะก็เดินผ่านหน้าอาริสะด้วยใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ทว่าก็เกิดการติดขัดกันอยู่ไม่กี่วินาทีเลยเป็นโทยะที่พังทลายนั้นลง
“นั่งลงไปเถอะคุเซะ นายทำให้พนักงานลำบากใจอยู่นะ”
พอเขามองดูก็เห็นพนักงานสาวยืนอยู่นิ่งๆ พร้อมถือถาดที่มีแก้วน้ำวางไว้อยู่ข้างบน
มาซาจิกะเลยยอมแพ้แล้วนั่งลงข้างหน้าโทยะ และยูกิค่อยๆขยับตัวลงข้างมาซาจิกะอย่างนุ่มนวลส่วนอาริสะก็นั่งลงข้างๆโทยะ
“….ถึงมันจะสายไปหน่อยนะครับ แต่การที่เราใส่ชุดนักเรียนมาแบบนี้มันไม่ผิดกฎของโรงเรียนใช่ไหมครับ?”
“อย่าถือสาเลย มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับฉันหรอกที่เลิกประชุมสภานักเรียนช้าแล้วออกไปหาอะไรกินและค่อยกลับบ้านทีหลังอ่ะนะ มันเป็นกฎโรงเรียนที่กลายเป็นคำพูดเปล่าๆมานานแล้วล่ะ ไม่ต้องใส่ใจมันหรอกแล้วสั่งที่นายอยากได้เลย ทุกอย่างที่น้อยกว่าพันเยนนะ”
“ประธานคะ นั่นมันสูญเสียความเท่ไปครึ่งหนึ่งกับคำพูดปิดท้ายอยู่รู้ไหมคะ?”
“ฟูววว ลูกผู้ชายน่ะเขาไม่เติมเต็มกระเป๋าตังเธอหรอกนะ ซุโอะ”
ความขี้เล่นของโทยะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงและมาซาจิกะก็ผ่อนไหล่ด้วยเช่นกัน แต่มันยังเร็วไปที่จะหลุดโฟกัสนั้น
ทันทีที่พวกเขาสั่งอาหารกันเสร็จภายในราคาหนึ่งพันเยนอย่างถูกต้องแล้ว หัวข้อสนทนาก็เริ่มไปยังตัวมาซาจิกะทันที
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นายสามารถจัดการมันได้ในเวลาสั้นๆสินะ เดิ๋ยวฉันจะเตรียมยกของพวกนั้นตอนวันพรุ่งนี้ละกัน”
หลักจากที่โทยะพูดไปแบบนั้น ยูกิก็พูดต่อทันที
“ต้องขอบคุณมาซาจิกะคุงที่เขาทำได้ดีเลยนะคะ อย่างที่คาดไว้เลยว่าการมีผู้ชายมาช่วยด้วยมันต่างกันจริงๆค่ะ โดยเฉพาะถ้าเขาคุ้นเคยกับงานอยู่แล้ว”
“ฉันคิดว่าเธอพูดถูกนะ”
“มาซาจิกะสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะคะ? เขาสามารถใช้แรงกายกับทำงานเอกสารได้โดยไม่บ่นอะไรเลย แล้วยังเก่งในการพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยค่ะ”
“นี่ ยูกิ เธออวยฉันมากเกินไปแล้วนะ การชมคนอื่นมันก็มีขอบเขตเหมือนกัน”
“โฮ่ มันเป็นเรื่องปกติที่ซุโอะจะพูดเยอะขนาดนั้นนะ แล้วคิดยังไงบ้างล่ะคุเซะ นายสนใจที่จะเข้าสภานักเรียนด้วยไหม? ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีใครทำฝ่ายธุรการอยู่แล้วด้วย”
มันมาถึงขั้นนี้แล้วสินะ
มาซาจิกะมองยูกิที่นั่งอยู่ข้างๆเขาแล้วแจ้งโทยะอย่างเป็นทางการออกไป
“ขอโทษด้วยนะครับแต่ผมไม่อยากอยู่ในสภานักเรียนอีกแล้ว ผมได้บทเรียนจากมันมามากพอตั้งแต่โรงเรียนม.ต้นแล้วล่ะครับ”
“เข้าใจละ…จริงอยู่ที่ว่างานสภานักเรียนตอนม.ปลายมันหนักกว่าตอนอยู่ม.ต้นอ่ะนะ แต่มันก็คุ้มค่ากับความพยายามนะรู้ไหม? พอเทียบกับโรงเรียนอื่นแล้วโรงเรียนของเราให้อำนาจกับสภานักเรียนในการตัดสินใจซะมากกว่า และให้พูดตามจริงมันก็มีผลอย่างมากต่อการประเมินรายบุคคลด้วยนะ”
คำพูดของโทยะเป็นความจริง
การได้เป็นสมาชิกสภานักเรียนของโรงเรียนเอกชนเซย์เรย์แห่งนี้ถือเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่พอตัว
โดยเฉพาะตำแหน่งประธานและรองประธานที่เป็นจุดศูนย์กลางของสภานักเรียนเป็นตำแหน่งชนชั้นสูงที่อยู่เหนือขอบเขตวรรณะของโรงเรียนนี้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องนึงถึงข้อดีในการได้รับคำแนะนำจากมหาวิทยาลัย มันจะมีความสำคัญอย่างมากหลังจากที่เข้าร่วมทางสังคมไปแล้ว
ท้ายที่สุด แม้กระทั่งการรวมตัวกันทางสังคมที่มีแค่อดีตประธานนักเรียนกับอดีตรองประธานนักเรียนของโรงเรียนเอกชนเซย์เรย์แห่งนี้ จึงมีแต่บุคคลสำคัญจำนวนมากในแวดวงการเมืองและแวดวงธุรกิจรวมอยู่ด้วย
และถ้าคุณสามารถบริหารจัดการสภานักเรียนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม มันจะเป็นเหมือนการการันตีความสำเร็จในทางสังคมด้วย
แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณบริหารจัดการสภานักเรียนมันได้ไม่ดีมากพอแล้วก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ คุณก็จะถูกตราหน้าว่า ‘ไร้ความสามารถ’
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนมากมายที่ตั้งเป้าจะได้ที่นั่งนั้นไป และวิธีที่เร็วที่สุดในการจะได้ที่นั่งประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนในรุ่นต่อไปก็คือการรวบรวมความสำเร็จในฐานะที่เป็นสภานักเรียน
“แต่ก็น่าเสียดายที่ผมไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก ตอนนี้ผมเลยไม่ได้วางแผนที่จะไปมหาลัยอื่นไว้ แล้วความคิดที่จะคบค้าสมาคมกับคนใหญ่คนโตพวกนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษหรอกนะครับ”
สำหรับมาซาจิกะที่ใช้ชีวิตไปวันๆแบบชิวๆโดยไม่มีเป้าหมายในอนาคต สิ่งเหล่านั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรเป็นพิเศษ
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ พวกเรามาทำงานด้วยกันในสภานักเรียนกันเถอะนะ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยลงสมัครเลือกตั้งกันอีกทีดีไหม?”
“อย่าเพิ่มคำขอของเธอแบบนั้นสิ คือถึงจะไม่มีฉันแล้วแต่เธอก็แทบจะเป็นประธานคนต่อไปอยู่แล้วนี่ แถมเธอก็เป็นถึงขั้นอดีตประธานนักเรียนตอนม.ต้นเลยไม่ใช่รึไง?”
“ก็ฉันอยากทำงานสภานักเรียนกับนายด้วยนี่นา มาซาจิกะคุง”
“ไม่เอาด้วยหรอก ลำบากจะตาย”
นักเรียนชายที่โรงเรียนกว่า 90% มักจะพยักหน้าอย่างไม่ตั้งใจกับการอ้อนวอนจากยูกิแต่สำหรับมาซาจิกะดูเหมือนเขาจะปัดทิ้งไปเลย
พอได้ดูทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โทยะก็ลูบคางตัวเอง
“คุเซะ การที่นายพูดว่าซุโอะจะชนะการเลือกตั้งแบบนั้น มันเป็นความผิดมหันต์ครั้งใหญ่เลยนะ? เพราะก็มีผู้สมัครคนอื่นอยู่ด้วยเหมือนกันและคนๆนั้นก็คือคุโจวคนเล็กไงล่ะ”
พอพูดจบไปแบบนั้น โทยะก็เหลือบมองอาริสะที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ส่วนมาซาจิกะก็มองไปด้วยเช่นกันและดวงตาของเขาก็ได้สบตากับอาริสะที่จ้องมองมาที่เขาอย่างเงียบๆ
“อาเรีย เธอเองก็จะลงเลือกตั้งประธานนักเรียนครั้งต่อไปด้วยงั้นเหรอ?”
“ใช่ ยูกิซังกับฉันจะต้องสู้กันเรื่องนี้ในปีหน้าน่ะ”
อาริสะมองไปยังยูกิที่อยู่ข้างหน้าเธอ ส่วนยูกิก็สบตากับเธอด้วยรอยยิ้มสงบเสงี่ยมเหมือนกัน
มาซาจิกะจึงร่ายเวทมนตร์และเห็นเปลวเพลิงที่อยู่ข้างหลังเธอทั้งสองคน
ตอนนี้โทยะได้ยกเรื่องขึ้นไปยังอาริสะราวกับว่าจะพังทลายน้ำแข็งนั่นลง
“ลองมาคิดดูดีๆแล้ว คุโจวคนเล็กก็นั่งถัดจากคุเซะในห้องเรียนสินะ แล้วคุเซะเป็นคนยังไงบ้างล่ะ? จากมุมมองของเธอ”
แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นการโยนเชื้อเพลิงลงในกองไฟเสียแล้ว
“ถึงประธานจะถามว่าเขาเป็นคนยังไงก็เถอะค่ะ…ถ้าให้ฉันพูดแค่คำเดียวล่ะก็ ‘ไร้ยางอาย’ ค่ะ”
“โฮ่?”
อาริสะตบหน้ามาซาจิกะด้วยสีหน้าเย็นชาขณะที่โทยะดูสนใจอย่างมาก
ทันทีที่เธอเหลือบมองเขา มาซาจิกะกลับรู้ทันแล้วทำได้แค่เพียงยักไหล่ให้
ที่จริงแล้วมาซาจิกะกำลังคิดว่า ‘เยี่ยม พยายามเข้าไว้นะแล้วช่วยลบคำชมนั้นจากยูกิที’
“ทั้งชอบลืมของทุกครั้งและทัศนคติในห้องเรียนที่ไม่อยากจะพูดเลยค่ะ แล้วดูเหมือนเกรดของเขาก็คงอยู่ท้ายแถวในไม่ช้านี้ด้วยเช่นกันค่ะ”
“มาซาจิกะคุงน่ะ…ที่เขาได้เกรดน้อยก็ต่อเมื่อแรงจูงใจเขามีน้อยต่างหากล่ะ ถึงจะคาบเส้นยาแดงก็เถอะ”
ยูกิพูดต่อทันทีที่หลังอาริสะชมเขาอย่างไม่หยุดยั้ง อาริสะจึงขมวดคิ้วแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นด้านหลังเธออีกครั้ง
“….จริงสินะ การที่ฉันรู้เกรดของเขาได้ก็เพราะฉันนั่งข้างๆเขายัง”ไงล่ะ แม้แต่ตอนทำข้อสอบเองเขาก็พยายามไม่ให้ตัวเองต้องสอบซ่อมมาโดยตลอด มันเลยทำให้ฉันรู้สึกประทับใจเล็กน้อย ถ้าเพียงแค่เขาตั้งใจขึ้นมาจริงๆนิดหน่อยนะ ไม่ใช่ว่าเขาคงได้คะแนนสูงๆไปแล้วรึไง นั่นน่ะคือสิ่งที่ฉันคิด”
“แต่ปกติแล้วมาซาจิกะคุงน่ะฉลาดจริงๆนะ เขายังสามารถเข้าเรียนเซย์เรย์แห่งนี้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยหนิ อา ที่ฉันรู้ทั้งหมดนี่ก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กยังไงล่ะ”
“คุเซะคุงน่ะไม่ใช่แค่ฉลาดเท่านั้นหรอกนะแต่เขายังแข็งแรงอีกด้วย…ถึงเขาจะเล่นบอลไม่เก่งก็เถอะแต่พอตอนเรียนบาสทีไร นิ้วเขาก็ซ้นทุกที”
“มาซาจิกะคุงน่ะ…เล่นบอลไม่เก่งมาตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ฉันก็ไม่ได้พูดถึงคนอื่นหรอกนะ อ๊ะ มาซาจิกะคุง สิ่งที่นายชอบเรียนตอนคาบพละคือฝึกวิ่งความอึดใช่เปล่า?”
ครืนนน ครืนนน ครืนนน
เปลวเพลิงมารได้ลุกโชนขึ้นด้านหลังอาริสะ เหงื่อค่อยๆเริ่มไหลออกมาจากหน้าผากมาซาจิกะจนสงสัยว่าจะโดนตัวเขาด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนในชีวิตจริง
กลายเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ยูกิจะหันหน้าเข้ากับอาริสะ ผู้ที่มีใบหน้าเย็นชาจากข้างหน้าโดยตรง
“ขะ…ขอโทษที่ให้รอค้าาา~”
ทว่าพนักงานเสิร์ฟที่ยกอาหารมาก็พูดออกมาอย่างเขินอาย
สาวสวยทั้งสองคนที่นั่งริมทางเดินของร้านที่ให้บรรยากาศไม่ธรรมดาและในขณะนั้นรอยยิ้มของพนักงานก็กระตุก
มาซาจิกะจึงหันไปมองและเห็นว่าพนักงานเมื่อกี้นี้กำลังถือถาดอาหารและยังยืนนิ่งอยู่
ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร วันนี้ดูเหมือนอาจเป็นวันโชคร้ายสำหรับเธอ
“โอ้ อาหารมาแล้วนะ งั้นตอนนี้พวกเรามาเริ่มกินกันดีกว่านะ”
จากคำพูดของโทยะ อาริสะและยูกิจึงหยุดแข่งจ้องมองกันแล้วบรรยากาศได้เบาบางลง
ความนับถึงของมาซาจิกะที่มีต่อโทยะจึงเพิ่มสูงขึ้น แม้แต่ความชื่นชอบของพนักงานที่มีต่อโทยะเองก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มันจะไม่มีวันกลายเป็นเรื่องโรแมนติกแน่ๆ เพราะโทยะมีแฟนอยู่แล้ว
——————————————————————-
สามารถติดตามการอัปเดตได้ทางเพจ : Launchmind & Elaina
https://www.facebook.com/LaunchmindElaina