[นิยายแปล] Tanin wo Yosetsukenai Buaisouna Joshi ni Sekkyou shitara, Mechakucha Natsukareta - ตอนที่ 1: ครอบครัว
บทที่ 1 – นาโอยะ โอคุซุ
“อีกแล้วเหรอ??” ผมคิดอย่างนั้น
พระอาทิตย์ที่กำลังลับฟ้าตอนหกโมงเย็น ผมที่กำลังเดินออกจากตึกเรียนและมุ่งหน้าไปยังประตูหลักเห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่สว่างไสวไปกับแสงอาทิตย์ยามอัสดง
เธอคนนั้นกำลังยืนอยู่หน้าประตูและมองหน้าจอโทรศัพท์ไปพลางๆ พอสังเกตเห็นผม เธอก็เงยหน้าขึ้นและโบกมือให้เบาๆ
“มาสักที!”
ผมถอนหายใจพยายามทำเป็นไม่รู้ตัว
“ไหงเธอถึงอยู่นี่เนี่ย….?”
“อย่าไปสนเรื่องยิบย่อยน่า กลับบ้านกัน”
เธอไม่สนคำพูดของผมแล้วเริ่มหน้าเดิน
เธอคนนั้นแบกกระเป๋าไว้ด้านหลังและมีผมสีน้ำตาลปลิวไสว ผมเริ่มเดินออกจากประตูหลักเลี้ยวไปทางซ้าย มุ่งหน้าลงเขา แล้วเห็นพระอาทิตย์สีแสดที่ค่อยๆลับขอบฟ้า
“นายอยู่ชมรมวิทย์ใช่ไหม? ทำอะไรชักช้าจัง ทดลองกันอยู่เหรอ?”
เธอเดินนำหน้าผมและจู่ๆ ก็หันมา ผมเลยส่ายหัวไป
“ฉันไม่ได้ทำเรื่องอะไรแบบนั้นหรอกนะ”
“แต่นายทำงานอยู่ห้องแล็บ 1 ไม่ใช่รึไง?”
“─คือ…ก็ใช่ พวกเราใช้ห้องแล็บแรกจริงๆนั่นแหละ”
ผมไม่อยากพูดโหวกเหวกดังซะขนาดนั้น แต่กิจกรรมชมรมส่วนใหญ่แล้วก็แค่เล่มเกมกันจนถึงขั้นบ้าระห่ำเอาคอมมาเล่นเกมจีบสาวก็มี
“หืม บางทีคงต้องแอบดูชมรมวิทย์ครั้งหน้าแล้วล่ะ”
“อย่าทำเลยนะ!”
เธอหัวเราะเยาะใส่เมื่อผมตะโกนตื่นตระหนกแบบนั้น
“นายนี่เข้าตาจน จนหน้าแดงไปหมดแล้วนะ”
“ก็บอกว่าอย่ามาชมรมวิทย์ไงเล่า!”
และพอเธอกับผมได้คุยกันมันจะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดอย่าง เธอหยอกล้อผม เล่นตลกกับผม ปฏิบัติตัวกับผมราวกับเด็กน้อย
….เธอมีชื่อว่า ริสะ เอนามิ เป็นเพื่อนร่วมชั้น
เดิมทีแล้วเอนามิซังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนทำผิด ทั้งหลับในคาบ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนแถมคะแนนสอบยังแย่ซะอีก เมื่อไหร่ที่มีคนลองเข้าไปคุยเธอก็จะเย็นชาใส่พวกเขา ผมจึงเห็นรอยยิ้มเธอได้ยาก
และเอนามิซังเป็นคนสวยจริงๆ
มันไม่ใช่แค่เธอเป็นคนทำผิดที่ทำตัวโด่งดังไปทั่วโรงเรียน ถึงความเย็นชาจะแสดงบนใบหน้าของเธอแต่ยังไงใบหน้าของเอนามิซังนั้นสวยจนอดไม่อยากจะชื่นชม เธอสูงราวๆ 160 เซน. เอาตามตรงเธอนี่หน้าอกใหญ่ชะมัด แม้จะใส่เสื้อคาร์ดิแกนแล้วแต่ก็ยังเห็นส่วนเว้าอยู่ดี
แล้วนั่นทำให้ผมยิ่งไม่เข้าใจว่า
ทำไมเอนามิซังถึงอยากกลับบ้านกับผมทุกครั้งล่ะ?
ระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นผมก็ถูกเอนามิซังที่เดินนำหน้าผมหลายก้าวลากตัวไป
“เป็นอะไรไป? เร็วเข้า”
ผมพยักหน้าและรีบเดินลงเขาไป
….ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว
* * *
“อันดับหนึ่งคือมหาลัยโทฮาชิเนี่ยนะ….?”
เสียงกดถี่รัวๆ ดังก้องไปทั่วห้องรับรองขนาดเล็กจนแทบไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอยและกลายเป็นพื้นที่เงียบสงัด
ผมเอนหลังบนโซฟาแล้วถอนหายใจ
“คือมันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ?”
เสียงกดถี่ๆที่ได้ยินตลอดก็หยุดลง อาจเป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าผมหยุดกดปากกาลูกลื่นบนหน้าผากและมีกระดาษสีขาวอยู่บนโต๊ะ
บนหัวกระดาษเขียนด้วยตัวหนังสือตัวใหญ่ๆ ว่า ‘แบบสำรวจสายอาชีพ’
“โทฮาชิเนี่ย…ถึงจะเข้ายากแต่จารย์มั่นใจว่าแกคงไม่เป็นไรหรอก จารย์ว่ามันเซฟกว่าที่จะเรียนต่อที่นี่นะ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ทดสอบความรู้ของแก”
อาจารย์กอดอกและพยักหน้า จากนั้นผมจึงพูดต่อ
“อาจารย์ชิโรยามะครับ”
“หืม?”
อาจารย์เอียงคออย่างสงสัย
“ผมได้ยินว่า มีนักเรียนหลายคนที่เข้ามหาลัยโทฮาชิแล้วสามารถเรียนต่อที่มหาลัยเคเมได้เลย ยังไงผมก็คิดว่ามหาลัยเอกชนมันถูกและมีสิ่งอำนวยในการศึกษามากกว่า ผมอยากเข้ามหาลัยชั้นนำเลยจะขอปฏิเสธคำแนะนำครับ”
“อืม ก็จริง แสดงว่าแกกำลังคิดโดยที่ฉันไม่ต้องบอกไปซะทุกเรื่องสินะ”
อาจารย์ชิโรยามะเกาหัวโดยใช้หัวปากกาลูกลื่น คืออาจารย์ไม่เห็นต้องวิพากษ์วิจารย์ถึงขนาดนั้นหรอกนะครับ
“งั้นมหาลัยที่เดียวที่จะสมัครก็คือโทฮาชิรึไง?”
กะไว้แล้วเชียว ในแบบสำรวจสายอาชีพนั้นสามารถเขียนอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสามได้ แต่ยังไงผมก็เขียนมหาลัยโทฮาชิไว้เป็นอันดับหนึ่งแล้วปล่อยที่เหลือเว้นว่างไว้ นั่นเลยเป็นเหตุให้อาจารย์ชิโรยามะงงกับเรื่องนี้
“คือจารย์ไม่ได้บอกนะว่าจะสอบไม่ติด แต่แกน่ะไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนสอบจริง แกอาจจะทำพลาดตอนสอบเข้าก็ได้ หรือจู่ๆก็ทำข้อสอบรอบสองไม่ได้ ไม่ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เพราะสุขภาพไม่ดี มันเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ในอดีตมาก่อนนะ”
“ผมเข้าใจครับ แต่ยังไงก็จะสมัครสอบมหาลัยโทฮาชิที่เดียวครับ”
“หืมมม….”
แม้แต่อาจารย์ชิโรยามะก็ยังไม่พูดคำง่ายๆว่า ‘อืม เข้าใจละ’ สินะ
“แกน่ะเป็นเด็กนักเรียนที่เก่งที่สุดของชั้นปีและได้เกรดดีอยู่ตลอดเลยนะ ทั้งความประพฤติดีแล้วยังเป็นหัวหน้าระดับชั้นปีแรกด้วยแถมมีเพื่อนเยอะซะอีก นั่นก็เลยว่าฉันอยากให้แกเรียนมหาลับดีๆไง”
“ครับ”
“แกแน่ใจนะว่าจะเข้าแค่โทฮาชิจริงๆ?”
ผมพยักหน้าเงียบๆ จ้องเข้าไปในแววตาของเขา แต่แล้วอาจารย์ก็ถอนหายใจอย่างสุดแรงราวกับว่าอาจารย์รู้ถึงความจริงจังของผม
“งั้นตอนนี้ยังไม่เป็นไร ปีหน้าก็จะสอบแล้วแต่เราก็ต้องทำแบบสำรวจนี้ในปีหน้านะ เดิ๋ยวฉันบอกแกเองว่าจารย์คิดไง”
“เข้าใจแล้วครับ” ผมตอบกลับไป
“งั้นวันนี้จบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้นะ ถ้าไม่มีอะไรอยากปรึกษาแล้วออกจากห้องไปได้เลย”
“ผมไม่มีอะไรอยากปรึกษาเป็นพิเศษแล้ว งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
“อืม ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วย”
ผมลุกขึ้น หยิบกระเป๋ามาพาดไหล่พร้อมกับขออนุญาตและเดินออกนอกประตูไป
พอมองดูนาฬิกาก็พบว่าหกโมงเย็นแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำกิจกรรมชมรมแล้วตอนนี้ ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับบ้าน
* * *
“กลับมาแล้วคร้าบ”
ตรงประตูทางเข้าหน้าบ้าน มีรองเท้าโลฟเฟอร์สีขาวคู่หนึ่งที่ผมคิดว่าคงเป็นของน้องสาวที่โยนทิ้งไว้
ผมจึงถอดรองเท้าของผมและยืนบนพื้นไม้เพื่อวางรองเท้าโลฟเฟอร์ไว้ด้วยกัน
ไม่ว่าผมจะบอกเธอไปตั้งเท่าไหร่เธอก็ไม่ฟังผมอยู่ดี ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองโดยมีประตูที่มีแผ่นเหล็กเขียนกำกับว่า ‘ซายากะ’ อยู่ตรงหน้าผม
ผมเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีใครขานรับ
ผมขี้เกียจรอจึงเปิดประตู
เป็นห้องที่มีขนาดประมาณ 6 เสื่อทาทามิ หน้าต่างถูกปิดมิดชิดและมืดสลัว มีเพียงแค่หน้าจอคอมที่ส่องแสงอยู่กับเด็กผู้หญิงที่นั่งกอดเข่าบนเก้าอี้หมุนได้
“ซายากะ”
ผมเรียกเธอแต่คงไม่ได้ยินผมหรอกเพราะหูทั้งสองข้างยังใส่หูฟังอยู่ เธอเอาแต่มุดหน้าเข้าใกล้จอคอมและคลิกเมาส์ต่อจนบางครั้งก็ทำเสียงหัวเราะแปลกๆแบบ ‘ฮิฮิ’ หรือ ‘คิกคิก’ ประมาณนั้น
ผมถอดหูฟังออกจากหัวของเธอแล้วตัวของเธอก็สะดุ้ง
“ฮย๊า!….อะไรเนี่ย?”
บนหน้าจอคอมดูเหมือนจะเป็นเกมจีบหนุ่ม มีชายหนุ่มรูปหล่อกำลังยิ้มฟันขาวผ่องและมีอาการเจ็บคอ
“….นี่ ไอ้พี่บ้า ช่วยหยุดถอดหูฟังจะได้มั้ย?”
“ก็เธอไม่ตอบหนิ ฉันเลยต้องทำแบบนี้”
“แล้วพี่อย่ามาเข้าห้องหนูโดยไม่ได้รับอนุญาตนะ ถ้านี่เป็นสนามรบพี่ตายแน่”
“….ก็เธอไม่ได้ตอบอะไรตอนฉันเคาะประตูไง”
มันเกิดเรื่องแบบนี้อยู่เสมออ่ะนะ น้องสาวของผมชอบอยู่หน้าคอมแล้วใส่หูฟังอยู่ตลอดดังนั้นจึงไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร ถ้าผมอยากคุยกับเธอล่ะก็คงต้องใช้มาตรการนี้ล่ะนะ
“แล้วถ้าหนูกำลังเปลี่ยนชุดหรืออะไรอย่างอื่นล่ะ?”
“ก็ได้ๆ ยังไงก็เถอะ เธอติวสอบรึยัง? สอบกลางภาคเริ่มใกล้เข้ามาแล้วนะ”
“ถึงพี่จะบอกว่าใกล้แล้วก็เถอะแต่ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์”
“เธอควรเตรียมสอบได้แล้วนะ เผื่อจะได้คะแนนดีบ้าง”
“หนูไม่สนหรอกแค่ทำให้ผ่านๆไปก็พอ เดิ๋ยวค่อยติวข้ามวันข้ามคืนก็ได้”
“เสียเปล่าน่า…เอาแต่เล่นเกมตลอด”
ในห้องก็ยังรกเหมือนเดิม ชุดนักเรียนที่ถอดทิ้งไว้กระจัดกระจายเต็มพื้น ขวดพลาสติกกับหนังสือที่ทิ้งไว้อย่างส่งเดช มีถุงมันฝรั่งทอดวางอยู่ข้างคอมที่เหมือนจะกินหมดแล้วแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลงถังขยะ
เธอใส่สเวตเตอร์สีเทาที่เหมือนชุดนอน ผมสีดำของเธอถูกมัดม้วยไปด้วยยางรัดผม
ผมคว้าถุงพลาสติกจากมุมห้องแล้วเริ่มเก็บกวาดขยะ ถึงผมจะทำความสะอาดให้ทุกวันแต่ยังไงก็มีกองขยะสูงเท่าภูเขาเลากาอยู่ดี
“ช่วยหยุดยุ่งของของคนอื่นจะได้ไหม? ถ้าตรงนี้เป็นเขตวางกับระเบิดนะ พี่คงกลายเป็นผุยผงไปแล้ว”
“ก็ไม่ว่าฉันจะทำความสะอาดให้กี่ครั้ง เธอก็ยังทำเละอยู่ดี แล้วอย่ามาทิ้งชุดนักเรียนไว้บนพื้นสกปรกแบบนี้นะ เดิ๋ยวเต็มไปด้วยฝุ่นหมด”
“ค่ะๆ ขอโทษค่ะ”
ผมสงสัยว่าอนาคตเธออยากจะอยู่คนเดียวหรืออยากแต่งงานกันนะ มันจะมีใครอยากได้ตัวเธอไปมั้ยถ้าได้เห็นสภาพแบบนี้เนี่ย ถึงหน้าตาเธอจะมีความน่ารักๆก็เถอะแต่ก็มีช่องโหว่ระหว่างใบหน้ากับส่วนที่เหลืออยู่
“เป็นเรื่องปกติแหละที่จะมีขยะอยู่เต็มพื้นน่ะ พี่นั่นแหละจริงจังเกินเหตุ ถ้าหนูมัวแต่กังวลแต่เรื่องแบบนี้ล่ะก็ การทำความสะอาดคงไม่มีวันจบหรอก หนูน่ะทั้งฉลาดและประหยัดแรงมากกว่าพี่ซะอีก”
ผมสับหัวน้องสาวของผม
“อ๊า! อะไรอีกเนี่ย….?”
“ถ้าเธอยังทำของเลอะเทอะแบบนี้อีก เดิ๋ยวแมลงสาบที่เธอเกลียดจะออกมานะ”
“งั้นเดิ๋ยวหนูจะเรียกไอ้พี่บ้าก็ได้ ไม่มีปัญหา”
“ฟังนะ”
สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งผม
“ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมจู่ๆเธอถึงอวดดีขนาดนี้ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็น่ารักถึงขั้นเรียกฉันว่า ‘โอนี่จัง’ …..”
“งั้นหนูของถามกลับละกันว่ามันไม่น่าขนลุกรีไงที่น้องสาวยังคงเรียกพี่ว่า ‘โอนี่จัง’ ตอนอยู่ม.ปลายน่ะ”
“ไม่เห็นจะน่าขนลุกเลย!”
“โห การที่พี่พูดแบบนั้นมันน่าขนลุกชะมัด สมแล้วที่เป็นโอตาคุ”
“เธอก็เป็นโอตาคุด้วยนี่!”
ชายหนุ่มรูปหล่อยังคงยิ้มอยู่บนหน้าจอ ผมรู้เลยว่าเธอคงเสียตังไปกับเกมจีบหนุ่มซะหมด
ระหว่างที่ผมกำลังพูดคุยเรื่องนี้ ผมก็ยังเก็บกวาดจนถุงพลาสติกเต็มไปด้วยขยะ ผมจึงมัดถุงและยัดลงถังขยะไป
“งั้นตอนนี้ฉันไปทำข้าวเย็นก่อนนะ อย่ากินขนมล่ะ”
“ค่ะๆ ขอเป็นแฮมเบอร์เกอร์นะ”
“หนวกหูน่า วันนี้เป็นแกงกะหรี่แล้วอย่าเล่นเกมเยอะนะ ตั้งใจเรียนได้แล้ว”
หลังจากพูดไปแบบนั้นผมก็เดินออกจากห้องน้องสาว
ผมวางกระเป๋าไว้ในห้องของผม เปลี่ยนชุด และลงมาห้องนั่งเล่น
พอผมเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ผมก็มองดูผนังข้างหน้าที่มีแท่งบูชาอยู่บนตู้
ผมเดินเข้าไปยังแท่นบูชาและกล่าวทักทาย
“กลับมาแล้วครับ แม่”
ในกรอบรูปนั้นมีรูปแม่ที่เสียไปสี่ปีที่แล้ว เป็นรูปถ่ายตอนที่ผมยังเป็นเด็กม.ต้นตอนปีนเขาด้วยกัน
ผมสั่นกระดิ่ง พนมมือ และหลับตาลง
ขณะที่ผมกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว พ่อของผมพึ่งจะกลับถึงบ้าน
“โอ้ วันนี้แกงกะหรี่เหรอ?”
พ่อของผมใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนอย่างลวกๆ เนื่องจากว่าที่ทำงานมีระเบียบการใส่ชุดสบายๆ เลยไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสูท
“ยินดีต้อนรับกลับครับ จะว่าไรมั้ยถ้าเป็นแกงกะหรี่”
“ไม่เป็นไรอยู่แล้ว พ่อกำลังอยากแกงกะหรี่อยู่เลย”
จากนั้นพ่อก็จุดไฟแช็ค นอนลงบนโซฟาแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา
“พ่อช่วยหยุดสูบในห้องนั่งเล่นจะได้ไหม? เดิ๋ยวควันก็ฟุ้งเต็มห้องหมดหรอกแต่ไปสูบอยู่หน้าระเบียบคนเดียวได้นะ”
“แค่นี้นิดหน่อยน่า พ่อไม่ชอบอยู่หน้าระเบียบมันหนาว”
“งั้นไม่มีแกงกะหรี่สำหรับพ่อนะครับ”
“เลิกก็ได้! เดิ๋ยวเลิกสูบให้ก็ได้!”
พ่อรีบยัดบุหรี่ใส่ที่เขี่ยบุหรี่
ถึงมันจะเป็นวิธีการลดกลิ่นให้น้อยที่สุดแต่พ่อก็มีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่นิดหน่อย อย่างไรก็ตาม กลิ่นแกงกะหรี่ก็ส่งกลิ่นไปทั่วห้อง สงสัยครั้งหน้าต้องใช้สเปรย์ปรับอากาศซะแล้ว
“ลูกรู้ไหมว่าตัวเองเข้มแข็งมากนะ แม้แต่ตอนที่แม่ของลูกยังมีชีวิตอยู่เธอไม่เคยทำให้พ่อยากลำบากขนาดนี้เลย”
“ผมว่าแม่คงทนอะไรหลายๆอย่าง จนสามัญสำนักบอกพ่อว่าอย่ามาสูบในห้องนั่งเล่นนะครับ”
“ขอโทษ พ่อพึ่งโล่งใจที่ได้กลับบ้านน่ะ”
จากนั้นพ่อก็ลุกขึ้น ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงโครกดัง คงเป็นอาการท้องอืดของพ่อนั่นแหละ
“ถ้าสูบไม่ได้งั้นไปงีบละกัน ปลุกพ่อด้วยถ้าอาหารเสร็จแล้ว”
“….คร้าบ”
จากนั้นพ่อเข้าห้องข้างๆแล้วปิดประตูเลื่อน ไม่ช้านักก็ได้ยินเสียงกรน พ่อนี่นอนเก่งจริงๆแฮะ
ไหงคนในบ้านเราถึงได้ขี้เกียจตัวเป็นขนกันขนาดนี้เนี่ย ผมรู้สึกอยากถอนหายใจชะมัดเลย