นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 868 สุราเนื้อเหลือกองเน่า
ตอนที่ 868 สุราเนื้อเหลือกองเน่า
ห้องหนังสือของจวนเหวินมีเตาผิงจุดอยู่สามเตา ให้ความอบอุ่นเฉกเช่นฤดูใบไม้ผลิ
เส้นผมของเหวินสิงโจวแปรเปลี่ยนเป็นสีดอกเลาแล้ว ทว่าใบหน้ากลับมีชีวิตชีวายิ่ง
ไป๋ยู่เหลียน สีฉวินเหมยและเหวินชังไห่นั่งอยู่ทั้งซ้ายและขวาโดยมีฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหวินสิงโจว
เขายื่นมือไปอังบริเวณเตาผิงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นจากนั้นก็เอ่ยถามว่า
“ใต้เท้าเหวิน ฤดูหนาวปีนี้ช่างหนาวเหน็บเสียจริง ฟืนที่จวนของท่านพอใช้หรือไม่ ? ”
เหวินสิงโจวลงมือต้มชาหนึ่งกา ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข “ทูลฝ่าบาท เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้เตรียมเอาไว้มากกว่าปีก่อนถึงสามส่วน”
“ท่านเปรียบเสมือนสมบัติแห่งราชวงศ์อู๋ หากที่จวนขาดเหลือสิ่งใด จงเอ่ยกับข้ามาตามตรง ก่อนหน้านี้ข้ามอบตราปลาทองให้ท่านแล้วมิใช่หรือ ? ท่านสามารถใช้มันแสดงตนเพื่อเข้ามาในวังได้ตามต้องการ อย่าได้เกรงอกเกรงใจข้าไปเลย”
ประโยคนี้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นหัวใจเสียเหลือเกิน เหวินสิงโจวรู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยมากยิ่งนัก เขารินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! บัดนี้กระหม่อมพอมีรายได้อยู่บ้างส่วนบุตรชายมีรายได้มากกว่าอดีตมิน้อย ชีวิตจึงมีความสุขและเพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อที่จะได้เห็นใต้หล้าเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากการปกครองอย่างปรีชาสามารถของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ประโยคนี้กล่าวออกมาจากใจของเหวินสิงโจว !
เขายังจำได้ชัดเจนว่าเมื่องานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ครานั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้นั่งอยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนตนได้เขียนตำราหลี่เสวียด้วยความลำบากยากเข็ญและไร้ผู้ใดเห็นค่า จนกระทั่งบังเอิญได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน
ทั้งสองร่วมสนทนากันเกี่ยวกับตำราหลี่เสวียถึงหนึ่งวันเต็ม !
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มเติมเนื้อหาที่ขาดตกบกพร่องลงไปในตำราเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ทำการอธิบายอย่างละเอียดถึงแนวคิดใหม่ ๆ
ดังนั้นตำราหลี่เสวียที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ซึ่งใช้เวลาเรียบเรียงถึง 2 ปี ในที่สุดก็ถูกตีพิมพ์ออกมาและจากพระบรมราชานุญาติของจักรพรรดิอู๋ ถึงได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งราชวงศ์จวบจนปัจจุบันนี้
ในตอนนั้นทั้งสองเป็นผู้มีแนวคิดคล้ายกันและอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ทว่าบัดนี้…ชายหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์เหนือชั้นในบทกวีและบทความได้กลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ทั้งสองมีฐานะแตกต่างกันลิบลับทว่าราวกับมีเพียงเส้นบาง ๆ กั้นเอาไว้เท่านั้น
“ท่านจะได้เห็นมันเป็นแน่ ทว่าต้องทานเนื้อหมูให้มากขึ้นหน่อย ในแต่ละเดือนที่จวนของท่านได้ทานเนื้อกี่มื้อกัน ? ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการทานเนื้อ เหวินสิงโจวก็รู้สึกจุกอยู่ที่ลำคอเอ่ยอันใดมิออก
“ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท กระหม่อมจึงรู้สึกละอายใจมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ในตอนแรกที่กระหม่อมได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาทจะตัดอัณฑะหรือรังไข่ของหมู กระหม่อมรู้สึกว่าฝ่าบาท… ฝ่าบาททรงมิรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีใด ๆ เอาเสียเลย ตัวตนของฝ่าบาทสูงส่งและมีค่ายิ่งนัก เหตุใดถึงต้องทำเรื่องต่ำช้าเยี่ยงนั้นด้วยเล่า ? ”
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทควรมุ่งเน้นไปที่ปัญหาบ้านเมืองจะดีกว่า แต่คาดมิถึงว่าเรื่องหมูฝ่าบาทก็ทรงทำเพื่อความสุขของราษฎร สิ่งนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของราษฎรได้อย่างแท้จริง และเนื่องด้วยวิธีการอันชาญฉลาดของฝ่าบาทส่งผลให้ปัจจุบันในตลาดมีเนื้อหมูวางจำหน่ายมากขึ้น ทำให้ราษฎรทั่วไปมีโอกาสได้ทานเนื้อสัตว์ ในจวนของกระหม่อมแต่ละมื้อก็มีเนื้อหมูด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน มิได้เจอกันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายกลับมิได้แตกต่างไปจากตอนที่อยู่ในเรือนซีซานที่พบกันคราแรกเลยสักนิด มีเพียงหนวดบริเวณริมฝีปากที่ดกดำขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นกันเอง มิวางท่าทางเป็นจักรพรรดิเลยสักนิด แท้จริงแล้วในจิตใจของชายผู้นี้ต้องการเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินธรรมดาเท่านั้น
นายน้อยผู้นี้เดิมทีเป็นห่วงเป็นใยเกษตรกรซีซาน แต่บัดนี้กลับต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยราษฎรในราชวงศ์อู๋แทน
เมื่อตอนอยู่ที่ซีซานก็ได้กลั่นสุราซีซานเทียนฉุนขึ้นมาราวกับเล่นกล ในวันนี้ก็เช่นกันเพราะเขาได้ทำให้หมูที่แสนต่ำต้อยมานานนับพันปีกลายเป็นอาหารที่ชาวบ้านชื่นชอบและวางอยู่บนโต๊ะอาหารได้
มองดูแล้วอาจจะเห็นเพียงว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงแค่หมูตัวหนึ่ง แต่แท้จริงเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของราษฎรในราชวงศ์อู๋ไปโดยสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเหวิน ท่านมิต้องเอ่ยชมข้าหรอก ข้ารู้ดีว่าบัดนี้เนื้อหมูยังมิเพียงพอต่อความต้องการของตลาด แต่ในปีหน้าย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน ! ”
“ท่านเคยชิมมันเทศแล้วหรือยัง ? มันเทศเป็นสมบัติชั้นเลิศอีกชิ้นหนึ่ง เจ้าสิ่งนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้จำนวนมาก มิว่าเถาหรือหัวมันเทศหั่นเส้นตากแห้งก็ล้วนเป็นอาหารหมูชั้นดี น่าเสียดายมากยิ่งนักที่ข้ายังหาข้าวโพดมิเจอ…”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดครู่หนึ่ง เขามองไปยังใบหน้าของเหวินสิงโจวและคนอื่น ๆ ที่ทำท่าทางงุนงง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ข้าวโพดนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง การที่ข้าส่งหลิวจิ่นและคนอื่น ๆ ออกทะเลในครานี้ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสามารถนำข้าวโพดกลับมาจากอีกฟากของทะเลได้ หากพวกเรามีข้าวโพดก็จะสามารถพัฒนาด้านการเลี้ยงหมูได้อีกขั้นหนึ่ง อีกทั้งของสิ่งนี้ยังสามารถกลั่นเป็นน้ำมันได้อีกด้วย”
เหวินสิงโจวจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางเหลือเชื่อ “ฝ่าบาททรงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูกเพราะมิรู้ว่าจะอธิบายเยี่ยงไรดี จะให้เขาตอบว่าเยี่ยงไรได้เล่า ?
“ข้ามักฝันถึงสิ่งแปลกใหม่เหล่านี้อยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้ล้วนเคยเห็นในความฝันมาก่อนแล้วทั้งสิ้น”
เหวินสิงโจวตกตะลึงขึ้นมาทันใด นี่เป็นการชี้นำจากสวรรค์เป็นแน่ !
การที่ฝ่าบาททรงได้รับการชี้นำจากสวรรค์ก็หมายความว่า ฝ่าบาทจะกลายเป็นเซียน !
ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ ว่าแต่จะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดกัน ?
เหวินสิงโจวรอคอยอย่างสุดหัวใจ เขากระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันใด อืม…ข้าต้องทานเนื้อให้มากขึ้นสักหน่อยแล้ว ต้องอยู่ต่ออีกสัก 20 ปีเพื่อรอวันที่ฝ่าบาทสร้างแคว้นให้รุ่งโรจน์ !
ทว่าต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยว่า “บัดนี้นโยบายใหม่ถูกใช้ไปทั่วทั้งราชวงศ์เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ต่อจากนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย”
“ในวันนี้ที่ตลาดทิศตะวันออก ข้าได้เห็นเศรษฐีพากันจับจ่ายซื้อเนื้อแกะ ส่วนผู้ที่พอมีพอกินก็พากันซื้อเนื้อหมู เห็นคนยากจนจ้องมองเนื้อหมูด้วยความหิวโหย อีกทั้งยังมีขอทานที่มิกล้าจินตนาการแม้แต่ภาพของเนื้อหมู”
“บ้านเศรษฐีมีสุราเนื้อเหลือกองเน่า ถนนเล่ากระดูกขาวหนาวศพถม… พวกเรายังห่างจากความเจริญรุ่งเรืองอีกไกลโข ! ”
ประโยคที่ว่า ‘บ้านเศรษฐีมีสุราและเนื้อเหลือกองเน่า ถนนเล่ากระดูกขาวหนาวศพถม’ นั้นทำให้เหวินสิงโจวและคนอื่น ๆ พากันขมวดคิ้วมุ่น แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะอายุยังน้อย แต่เขาก็เข้าอกเข้าใจถึงความทุกข์ยากของราษฎรเป็นอย่างดี ช่างเป็นบุญของราษฎรมากยิ่งนัก !
“ดังนั้น ระหว่างที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็ได้คิดสิ่งหนึ่งขึ้นได้ จะทำเยี่ยงไรให้ชาวบ้านได้ทานเนื้อสัตว์ ? จะทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถกำจัดความยากจนและให้ขอทานเหล่านั้นมีกำลังลุกขึ้นยืนได้ ? ทั้งหมดทั้งมวลล้วนต้องพึ่งพาการศึกษา…”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปทางเหวินชังไห่ “การศึกษาภาคบังคับต้องเริ่มดำเนินการโดยเร็วที่สุด เมื่อข้ามปีใหม่ไปแล้วตระกูลเหวินของท่านต้องลงมือจัดการเรื่องนี้ กรมโยธาธิการจะให้ความร่วมมือกับสำนักศึกษาฮ่านหลินเรื่องก่อตั้งสำนักศึกษา ส่วนเรื่องของอาจารย์ก็ให้ทางสำนักศึกษาฮ่านหลินของท่านจัดหาเถิด”
“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งถ้าการพัฒนาของแคว้นแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้าจะก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราขึ้น สิ่งที่ข้าคาดหวังคือในช่วงสุดท้ายของแผนพัฒนาระยะห้าปีแรก ปัญหาเรื่องคนชราไร้ที่พึ่งพิงจะต้องหมดสิ้นไป”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย ทำให้เหวินสิงโจวและคนอื่น ๆ เกิดความตะลึงงันขึ้นมา
แม้แต่ไป๋ยู่เหลียนก็เช่นกัน
ในฐานะรองผู้บัญชาการสามเหล่าทัพของราชวงศ์อู๋ เขาได้มุ่งเน้นไปเพียงด้านการทหารเท่านั้น
เขาทราบดีกว่าผู้ใดว่าด้านการทหารแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด มีปืนคาบศิลาที่ปรับปรุงใหม่ ทั้งยังมีชุดเกราะ ปืนใหญ่ และอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการพัฒนามาพร้อม ๆ กัน
เขาเชื่อว่าบัดนี้ทหารดาบเทวะมิว่าจะสู้กับแคว้นใด ก็สามารถเอาชนะศัตรูสิบคนต่อทหารดาบเทวะหนึ่งคนได้อย่างง่ายดาย
เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร สำหรับเขาแทบมิมีความรู้เลย แต่บัดนี้ได้ฟังประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมา จึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง เป็นห่วงเป็นใยราษฎรในผืนปฐพีนี้มากเพียงใด
“เฮ้อ…เหตุใดถึงเอ่ยเรื่องราชการไปได้เล่า ! เอาล่ะ กว่าจะมีโอกาสได้พักผ่อนมิใช่เรื่องง่าย พวกเรามิสนทนาเรื่องเหล่านี้แล้วดีกว่า” ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นจ้องมองไปทางไป๋ยู่เหลียน “เสี่ยวไป๋ ภรรยาของเจ้าจะคลอดบุตรเมื่อใด ? พวกเราสามารถคลุมถุงชนให้เด็ก ๆ ได้ ! ”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกไป เหวินสิงโจวก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาทันใด ทว่าในใจของเหวินชังไห่กลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะบุตรเขยผู้นี้ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทมิน้อย !
ไป๋ยู่เหลียนยิ้มแห้ง จากนั้นก็ตอบว่า “เดือนเจ็ดเห็นจะได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม…ดี ! รอให้ถึงการประชุมราชสำนักเมื่อใด ข้าจะมอบตำแหน่งเก้ามิ่งขั้นสองให้แก่ภรรยาของเจ้า ให้นางสามารถเดินทางเข้าวังมาเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกเวิ่นหวินได้บ่อย ๆ อ้อ ! ซินเหยียนจะคลอดเดือนสี่ ซิ่วเอ๋อร์จะคลอดเดือนหก ส่วนเพ่ยเอ๋อร์อาจจะคลอดเดือนหกหรือไม่ก็เดือนเจ็ด เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจงมาเลือกดู น่าจะมีสักคนที่เหมาะสม”