นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 723 ระแวงและริษยา
ตอนที่ 723 ระแวงและริษยา
เมื่อหนิงลี่รุ่นได้ยินดังนั้นก็หลับตาลงในทันใด
นี่คือการลงมือเชือดคนอย่างเลือดเย็น !
แผนการใช้ได้เลยนี่ ติ้งอันป๋อ !
เขาย่อมจนปัญญาที่จะปฏิเสธจึงลุกขึ้นแล้วคารวะต่อสหายร่วมโต๊ะทั้งสี่ จากนั้นจึงตามหยุนซีเหยียนออกไปจากหอน้ำชาป้านสุ่ย
เมื่อเขาจากไปเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้จางผิงจวี่เกิดความตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี แล้วทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจที่ตนได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกไป
เขาได้สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ หนึ่งคราแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ลง จากนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าและผู้อาวุโสตระกูลหนิงมีอุดมการณ์แตกต่างกันจึงมิอาจคบค้าสมาคมกันอีกต่อไปได้ ท่านหนิงคงฟ้องร้องข้าต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน…แต่นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เพราะข้าก็ใคร่รู้เหลือเกินว่าติ้งอันป๋อจะทำอันใดต่อข้าได้”
ทันใดนั้นโหยวเผิงผู้อาวุโสตระกูลโหยวก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น “ท่านจาง ข้าขอเอ่ยบางอย่างที่มิน่าฟังสักหน่อยก็แล้วกัน สภาพสังคมได้แปรเปลี่ยนไปแล้วท่านดูมิออกเยี่ยงนั้นหรือ ? ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 3 เดือน เมืองว่อเฟิงแห่งนี้ก็มีระบบระเบียบ มีร้านรวงผุดขึ้นมามากมาย… ข้าได้ยินมาว่าสินค้าและบ้านเรือนเหล่านั้นถูกประมูลขายในราคาดีและปริมาณการซื้อมากกว่าครึ่งก็เป็นชาวอี๋ดั้งเดิมที่ซื้อไป ข้ามิขอปิดบังว่าข้าได้ซื้อบ้านที่นี่ไป 5 หลังและได้ซื้อห้างร้านไปทั้งสิ้น 3 ร้านด้วยกัน”
“อำเภอหลัวเจียที่ฉีโจวมีตระกูลหวางซุนเป็นหนึ่งในห้าตระกูลผู้นำการค้าแห่งราชวงศ์หยูย้ายเข้ามา ข้าเคยได้หารือกับคุณชายใหญ่หวางซุนเยว่หมิงภายใต้แสงเทียนยามราตรี ข้าจึงเข้าใจติ้งอันป๋อมากกว่าท่านเล็กน้อย”
“หากเอ่ยออกมาก็กลัวว่าท่านจะมิเชื่อ แต่ข้าใคร่ถามท่านจากใจจริงว่าท่านมิกลัวเขาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จางผิงจวี่แสร้งอวดเก่งแล้วยิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย “หมายความว่าท่านโหยวหันไปพึ่งใบบุญของตระกูลหวางซุนเสียแล้วหรือ ? ”
โหยวเผิงลุกพรวด จากนั้นก็ยกมือขึ้นคารวะจินซานเซิ่งกับเว่ยอี้ฝานแล้วยกยิ้มขึ้น “ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง จำต้องขอลาก่อนแล้วพบเจอกันใหม่ในยามพลบค่ำ”
“ท่านโหยวเดินทางระมัดระวังด้วย ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระให้ต้องสะสางเช่นกัน ขอลา ! ”
“ข้าเองก็ต้องขอลา… ! ”
เมื่อโหยวเผิงขออำลา ทั้งจินซานเซิ่งและเว่ยอี้ฝานก็ได้ขออำลาตามกันไปติด ๆ โดยทิ้งจางผิงจวี่ไว้เพียงผู้เดียว
บัดนี้สีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขารู้สึกว่าบัดนี้อากาศช่างร้อนยิ่ง แต่ก็รู้สึกเย็นวาบไปพร้อม ๆ กันด้วย
“เจ้าพวกขี้ขลาดทั้งหลาย ! หากพวกเราสมัครสมานสามัคคีกัน แล้วยังจะมีสิ่งใดให้กลัวอีกเล่า ? ” เขาเอ่ยพลางกัดฟันกรอดจากนั้นก็คว้าถ้วยชาขึ้นมาแล้วขว้างไปติดผนังห้องจนเกิดเสียง ‘เพล้ง’ จนแหลกเป็นผุยผงในทันใด
เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วก้มมอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ชดใช้ด้วยขอรับ ! ”
……
……
ณ จวนหลังที่ว่าการเขต
ฟู่เสี่ยวกวนบรรจงต้มชาหนึ่งกาด้วยตนเอง เขาหันไปมองผู้อาวุโสท่านนี้แล้วฉายรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อีกฝ่าย “ผู้อาวุโสหนิงได้โปรดนั่งลงเถิด ! ”
“เรียนติ้งอันป๋อ ข้าน้อยมิบังอาจ ! ”
“ท่านมิบังอาจหรือมิยินยอมกันแน่”
หนิงลี่รุ่นเกิดอาการประหม่า “…ข้าน้อย มิบังอาจจริง ๆ ขอรับ ! ”
“หากท่านมิยอมนั่งลง ประเดี๋ยวข้าจะเดินจูงมือท่านไปยังหอซื่อฟางด้วยกันเอง”
เมื่อหนิงลี่รุ่นได้ยินดังนั้นก็เหงื่อก็ไหลโชกไปทั้งร่าง ติ้งอันป๋อต้องการให้ข้าอับจนหนทาง !
ทุกวันนี้จิตใจของชาวอี๋ในว่อเฟิงเต้ายังมิยอมสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจใหม่ และคนที่มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับจางผิงจวี่ก็มีมากเหลือล้น หากว่าติ้งอันป๋อเดินจูงมือเขาไปยังหอซื่อฟางท่ามกลางการจับจ้องของฝูงชน เช่นนั้นเขาก็จะดูเหมือนผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อชาวหยูท่ามกลางสายตาของผู้อาวุโสประจำตระกูลที่เหลืออย่างมิต้องสงสัย…
แม้ว่าความจริงเขาจะยอมสวามิภักดิ์แล้วก็ตาม แต่ทว่ามิอยากดิ้นรนลำบากอันใดอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่หวังว่าคนในตระกูลจะได้อยู่อย่างสงบสุขและอีกอย่างคือตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ติ้งอันป๋อมิเคยทำสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลเลยสักครา
แต่เขาก็มิสามารถประกาศเรื่องนี้ออกไปได้ !
เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้ตนตกเป็นเป้าวิจารณ์ของสังคม !
ดังนั้นเขาจึงยอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับติ้งอันป๋อ “ใช้ได้นี่ ติ้งอันป๋อ ! ”
“ท่านหนิงกล่าวสรรเสริญกันเกินไปแล้ว” ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้หนิงลี่รุ่นหนึ่งถ้วยแล้วส่งให้เขา “ท่านหนิงโปรดอย่าคิดมาก เพราะสิ่งที่ข้ายึดมั่นในว่อเฟิงเต้าแห่งนี้คือความยุติธรรมและเที่ยงธรรม พวกท่านล้วนเป็นประชากรชาวหยูด้วยกันทั้งสิ้น สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค ที่ข้าเชิญท่านมาดื่มชาด้วยกันเพียงแค่มีเรื่องอยากไถ่ถามท่านสักหน่อย…”
“การที่ท่านทุ่มเงินในการปลูกหม่อมเลี้ยงไหมขนาดใหญ่ในอำเภอเว่ยหยวนนับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง มิทราบว่าท่านเคยประสบกับความยุ่งยากบ้างหรือไม่ ? หรือมีขุนนางคนใดทำให้ท่านลำบากใจบ้างหรือไม่ ? ”
หนิงลี่รุ่นประคองถ้วยชาไว้ด้วยสองมือแต่มิได้เงยหน้าขึ้นมามองแต่อย่างใด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “มิมีเลยขอรับ”
“อำเภอเว่ยหยวนมีการเลี้ยงหนอนไหมมาช้านานและไร้ที่ใดจะดีเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว ขอท่านหนิงโปรดวางใจและจงดำเนินกิจการอย่างห้าวหาญ ! จะมีการก่อสร้างโรงงานสิ่งทออีกหลายแห่งที่ชิงโจว พวกเขาล้วนต้องการตัวไหมและการที่ตระกูลหนิงเลือกเดินบนเส้นทางนี้ก็ถือว่าเหมาะเจาะมากยิ่งนัก…”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โพล่งออกมาอย่างกะทันหันว่า “อ่า… จริงสิ ! หยุนซีเหยียนหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการมีความช่ำชองในเรื่องการเลี้ยงหนอนไหมชนิดมิอาจหาผู้ใดเทียบเคียงได้ เอาไว้ข้าจะส่งเขาไปดูงานที่นั่นบ้างก็แล้วกัน”
หนิงลี่รุ่นมิได้เก็บเอาคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนมาใส่ใจ เขาประคองสองมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจในความปรารถนาดีของติ้งอันป๋อมากยิ่งนัก ข้าน้อยจะเฝ้ารอการมาเยือนของท่านหัวหน้าหยุน”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยพล่ามไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องการเกษตรอย่างฉะฉาน
หนิงลี่รุ่นได้แต่นั่งฟังอยู่อย่างนั้น มิมีโอกาสได้เอ่ยแทรกบทสนทนาสักเท่าใดนัก ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยจนน้ำไหลไฟดับราวกับว่าต้องการผู้รับฟังสักคนก็เท่านั้น
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิวายสอดแทรกถึงแผนการบริหารว่อเฟิงเต้าให้อยู่ในประโยคสนทนาเหล่านั้นด้วย เขาได้วาดภาพวิมานกลางอากาศขึ้นในหัวของหนิงลี่รุ่นอยู่เนือง ๆ
นี่ทำให้หนิงลี่รุ่นรู้สึกสับสนงงงวยมิน้อยเลยทีเดียว
ติ้งอันป๋อเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน แต่เขากลับมิได้เอ่ยถ้อยคำใดที่แสดงออกถึงการดึงเขาเข้าพวกเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาเอ่ยมาทั้งหมดจะเป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ยกตัวอย่างเช่น ถนนก็แล้วกัน ตอนนี้ได้มีการสำรวจเส้นทางแล้วพบว่าถนนเส้นหลักตั้งแต่ว่อเฟิงเต้าจนถึงหลานหลิงจะเริ่มก่อสร้างในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ส่วนท่านอาศัยอยู่ที่อำเภอเว่ยหยวนจะถูกรวมอยู่ในเส้นทางสัญจรภายในว่อเฟิงเต้าด้วยเช่นกัน…”
“หมายความว่าต่อแต่นี้ไป การเดินทางจากอำเภอเว่ยหยวนเข้าไปในหน่วยงานราชการของจังหวัดหรือจากเมืองว่อเฟิงไปยังแห่งหนตำบลใดก็ตาม จะใช้เวลาสั้นลงมากโข… ยกตัวอย่างเช่น หากข้าต้องการเชิญท่านหนิงมาร่วมดื่มชาที่เมืองว่อเฟิงแห่งนี้ด้วยกันอีกครา ท่านก็สามารถเดินทางมาถึงที่นี่ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น”
หนิงลี่รุ่นรู้สึกตกตะลึงงัน เพราะเขาเข้าใจความสำคัญของถนนหนทางเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า “จริงเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านจะพบเห็นได้ในเร็ววัน…แท้ที่จริงสิ่งที่ข้าเอ่ยไปทั้งหมดนั้นย่อมเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ท่านจะประจักษ์ด้วยตาตนเองเฉกเช่นในตอนแรกที่ข้าเอ่ยว่าแปลงข้าวในอำเภอซิ่วสุ่ยสามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 600 ชั่งต่อ 1 หมู่ แรกเริ่มก็มิมีผู้ใดเชื่อมั่นแล้วสุดท้ายผลออกมาเป็นเยี่ยงไรเล่า ? เฉลี่ยแล้วเก็บเกี่ยวได้ 770 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่… เห็นหรือไม่ว่าข้ามีวาจาสัตย์จริงและอีกหน่อยท่านคงจะเข้าใจเอง”
หนิงลี่รุ่นพอรับรู้เรื่องนี้มาบ้างตั้งแต่ตอนที่ตนมาถึงเมืองว่อเฟิง และแน่นอนว่าตนย่อมมิปักใจเชื่อ แต่ทว่าตอนนี้กลับเชื่ออย่างสนิทใจ เพราะชายหนุ่มผู้นี้ไร้ความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยเท็จต่อหน้าตน !
ฟู่เสี่ยวกวนพล่ามต่อไป วาจาที่ปานจะทะยานข้ามฟากฟ้านั้น ทำเอาหนิงลี่รุ่นงงงวยเพราะตนมิอาจจินตนาการถึงได้
สุริยาค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ลมราตรีพลิ้วพัดเข้ามา น้ำชาหนึ่งกาถูกดื่มจนหมดไป หนิงลี่รุ่นลืมไปเสียสนิทว่าตนถูกเชิญมาเพราะอุบายที่จะยุให้แตกคอกันของอีกฝ่าย
เขามีชีวิตจวบจนใกล้เจ็ดสิบปีแล้ว เดิมทีคิดว่าหัวใจดวงนี้คงไร้มรสุมอื่นใดอีกแล้ว และในตอนนั้นเขาก็มีความหวังใหม่ขึ้นมา เขาหวังให้ตนมีชีวิตยืนยาวขึ้นกว่านี้อีกสักสองสามปี เพื่อให้ทันได้ประจักษ์เห็นภาพอันตระการตาของว่อเฟิงเต้าที่ติ้งอันป๋อบรรยายไว้ทั้งหมด
ถนนอันกว้างขวาง โรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แม่น้ำที่ใช้เดินเรือขนส่งสินค้า ถ้าสามารถโดยสารเรือจากหลานหลิงไปจนถึงจินหลิงได้…คงเป็นเรื่องที่แสนวิเศษ !
ท้ายที่สุดแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ “มาเถิด… พวกเราเดินทางไปพบผู้อาวุโสตระกูลอื่นพร้อมกัน ! ”