นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1296 วางเเผน
ตอนที่ 1296 วางเเผน
ห่าฝนเทกระหน่ำเมืองฉางอันมิมีวี่แววว่าจะลดละ ณ จักรวรรดิโมริยะที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้มีแสงสุริยาสว่างเจิดจ้า
กองทัพบกที่หนึ่งของกวานเสี่ยวซีเดินทัพอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาครึ่งค่อนปี วันนี้เขาได้เดินทางมาถึงจักรวรรดิซิลูซิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ถูกฟู่เสี่ยวกวนสังหารบนผืนปฐพีจักรวรรดิโมริยะ ประเทศที่คราหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร บัดนี้กลับระส่ำระสายแตกออกเป็นประเทศน้อยใหญ่ และประเทศซิลูซิดถูกสถาปนาขึ้นมาโดยพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศเหล่านี้
ข่าวคราวการย่างกรายเข้ามายังจักรวรรดิซิลูซิดของกองทัพต้าเซี่ย 400,000 นาย ยังมามิถึงหูของพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่ง
ในวันนั้นเอง กองทัพบกต้าเซี่ยได้เดินทางมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่งทางชายแดนตะวันออกของประเทศแห่งนี้
“สรุปจะรบหรือมิรบ ? ”
กวนเสี่ยวซีได้เรียกแม่ทัพภายใต้อาณัติของตนเข้ามาประชุมในกระโจมเเม่ทัพ แน่นอนว่าเผิงยวี๋เยี่ยนได้เข้าร่วมประชุมครานี้ด้วย
กวนเสี่ยวซีจ้องมองทุกคนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ตามบัญชาของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแล้วนั้น หากเจรจาได้จึงจะเป็นการดีที่สุด หากมิมีความจำเป็นก็มิควรเปิดฉากสงคราม…ทว่าปัญหาในตอนนี้ก็คือพวกเราจะเจรจากับผู้ใด ? แล้วจะเจรจาเยี่ยงไร ? ”
กวนเสี่ยวซียักไหล่อย่างจนปัญญา “ตลอดเวลาที่เดินทางมาพวกเราได้เดินผ่านบ้านเมืองหลายแห่ง มีทั้งประเทศเล็ก ๆ หรือชนเผ่าต่าง ๆ ทว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเราส่งคนไปเจรจาทว่ามิได้อันใดกลับมาเลย ! ”
“พวกเราใช้กันคนละภาษา สื่อสารกันมิรู้เรื่อง ดังนั้นจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
มิมีผู้ใดรู้ว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไป
แม่ทัพนับสิบคนหันมาจ้องหน้ากันตาปริบ ๆ นี่ช่างเป็นปัญหาที่น่าปวดศีรษะเสียจริง !
“ข้าคิดว่าจำต้องทำศึกแล้วล่ะ ! ” แม่ทัพลู่หลินเฟิงประจำกองพลที่สามยกมือขึ้นเสนอความคิดเห็น “ทัพหลังของพวกเราได้เสนอความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วมิใช่หรือ ? เสบียงของพวกเราเหลือพอกินแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าหากมิออกรบไปแย่งชิงเสบียงมา… ทั้งยังมิรู้ว่าพวกเราอยู่ห่างจากดินแดนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงค้นหาอีกไกลเพียงใด พวกเรามิอาจถอยกลับไปด้วยเหตุผลนี้ได้”
“ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเหล่าลู่ ! ” จ้าวฮุยแห่งกองพลที่สี่ยกมือขึ้นเอ่ย “พวกเราดั้นด้นเดินทางมาที่นี่ตลอดหนึ่งปี รองเท้าของข้าสึกหรอไปมากโข ดาบในมือก็ใกล้จะถูกสนิมเกาะแล้ว ดาบที่แบกอยู่บนหลังมิรู้ว่ายังใช้ได้ดีอยู่หรือไม่”
“อีกอย่างพี่น้องในกองทัพก็มีข้อคิดเห็นที่จะเสนอ คิดว่าหากพวกเราเดินทางต่อไป ต่อให้พวกเราเดินทางไปถึงปลายขอบฟ้า แต่ว่ามันจะมีประโยชน์อันใด ? ”
“ข้าคิดว่าในเมื่อสื่อสารกันมิได้ เช่นนั้นก็กวาดล้างที่นี่ไปเสีย ให้คนพวกนี้จำหน้าพวกเราชาวต้าเซี่ยไว้ให้ดี เมื่อได้รวมทัพกับจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยให้จักรพรรดิพระเจ้าหลวงส่งคนเข้ามาจัดการ”
“เมื่อพวกเราเดินหน้ากำจัดประเทศเหล่านั้นจนราบคาบเเล้ว คิดว่าหลังจากนั้นหากจะส่งผู้ใดมาเจรจาก็คงจะง่ายมากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ ? ”
ความคิดเห็นของจ้าวฮุยได้รับการเห็นชอบจากแม่ทัพทุกคน ต่างคนต่างก็ทยอยออกความคิดเห็น หากจะเดินหน้าต่อไปด้วยวิธีเดิมสู้บุกเข้าไปจนกว่าจะถึงดินแดนที่เรียกว่าทวีปยุโรปอันใดนั่นจะดีกว่า
“พวกเราจำต้องรบอย่างยิ่งใหญ่ คิดว่าเช่นนี้จะสามารถไปรวมตัวกับฝ่าบาทได้ง่ายกว่าเดิมเล็กน้อย เพราะเยี่ยงไรเสียพวกเราก็อยู่บนภาคพื้นทวีป ส่วนพระองค์อยู่ในมหาสมุทร”
กวนเสี่ยวซีลองครุ่นคิดให้ละเอียดรอบคอบ คิดว่าสิ่งที่พวกเขาเสนอมานั้นมีเหตุผลยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงหันหน้าไปมองเผิงยวี๋เยี่ยนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามขั้นมาว่า “ท่านแม่ทัพเผิง ลำบากท่านแล้ว มิทราบว่าท่านมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนยิ้มเล็กน้อย “มิได้ลำบากอันใดหรอก...เพียงแต่ข้าก็เห็นด้วยกับการทำศึกในครานี้ การทำศึกในครานี้มีข้อดีหลายประการ หนึ่งคือพวกเราจะได้รู้ว่าความสามารถในการสู้รบของประเทศเหล่านี้เป็นเยี่ยงไร ทั้งยังสามารถกอบโกยเสบียงจากพวกเขาได้อีกด้วย เพื่อให้ทหารของเรามีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้”
“ส่วนประการที่สอง…จุดประสงค์ในการเดินทางครานี้คือการลงนามในสัญญาความร่วมมือทางการค้า พวกเราใช้อำนาจข่มขวัญให้พวกเขายอมไปก่อน เป็นดั่งที่แม่ทัพจ้าวได้เอ่ยเอาไว้ เมื่อถึงเวลาลงนามในสัญญาการค้าเมื่อใด เมื่อนั้นต้าเซี่ยของเราก็จะได้เปรียบมากกว่า”
และแล้วเรื่องนี้ก็ได้ข้อสรุปออกมาเช่นนี้ ในขณะเดียวกันนั้นเอง สายลับที่มักจะนำหน้ากองทัพอยู่เสมอก็ได้ส่งข่าวคราวกลับมา
“ท่านแม่ทัพกวน เมืองนี้ออกเสียงว่าหมี่ไหลไท่ เมื่อผ่านเมืองนี้ไปราว 500 ลี้ จะมีอีกเมืองหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองมากกว่า พวกเราเรียกเมืองนี้ว่าฝูสั่ว… ”
หลี่ฉางซู่สายลับหอเทียนจีชี้นิ้วไปทางเมืองฝูสั่ว สายตาของเขาเป็นประกายแวววับ “จากการคาดการณ์ของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงที่เกี่ยวกับพื้นทวีปแห่งนี้ พวกเราค้นพบว่าพื้นทวีปแห่งนี้มิได้แตกต่างไปจากการคาดการณ์ของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเลย ! ”
“เมืองนั้น คาดว่าน่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของทวีปเอเชียตะวันตก ! ”
หลี่ฉางซู่ชี้นิ้วขึ้นลงไปยังเมืองหมี่ไหลไท่ “เมืองแห่งนี้ มีทหารประจำการ 30,000 นาย ในเมืองมีประชากรราว 300,000 คน ทว่าที่เมืองฝูสั่วกลับมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1,000,000 คน มีทหารประจำการ 200,000 นาย ! ”
“พวกเรายังคงเดินหน้าสำรวจเส้นทางนี้ต่อไป หากมีข่าวสารอันใดต่อไปในภายภาคหน้าก็จะรีบกลับมารายงานทันที”
กวนเสี่ยวซียิ้มกว้างพร้อมกับตบบ่าของหลี่ฉางซู่ “ลำบากเจ้าแล้ว เริ่มการประชุมเรื่องการทำสงคราม ! ”
“ในเมื่อเมืองนี้มีทหารประจำการอยู่ 30,000 นาย และกำเเพงเมืองก็มิได้สูงใหญ่แต่อย่างใด หากจะตีให้แตกก็ดูง่ายดายมากยิ่งนัก ทว่าเมืองฝูสั่วนั้นเป็นเมืองใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีการป้องกันที่หนาแน่นยิ่งกว่า”
“ความคิดของข้าคือล้อมเมืองหมี่ไหลไท่เอาไว้ เพียงแค่ล้อมเอาไว้เท่านั้น ให้เว้นเส้นทางมุ่งหน้าเข้าสู่ทิศตะวันตกเอาไว้ จากนั้นให้ทหารรักษาการณ์เมืองนี้หนีไปขอความช่วยเหลือจากเมืองฝูสั่ว ! ”
“แล้วพวกเราค่อยกำจัดทหารเมืองฝูสั่วทิ้งระหว่างทางที่พวกเขายกทัพมาช่วยเหลือ…นี่คือการโอบล้อมเพื่อโจมตีกำลังเสริม เพื่อที่พวกเราจะได้กำจัดขวากหนามในการโจมตีเมืองฝูสั่ว พวกเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไรกันบ้าง ? ”
ทุกคนสำรวจแผนที่จนละเอียด ต่างก็มิมีข้อสงสัยในแผนการรบของกวนเสี่ยวซี “หรือพวกเราจะทำศึกใหญ่ดี ? ” หยูติ้งซานเสนอขึ้นมา
นิ้วของเขาชี้ไปบนแผนที่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สำหรับกองกำลังที่โอบล้อมใช้ไพร่พลก็เพียงพอแล้ว จากนั้นก็ส่งทหาร 30,000 นายไปรบบนเส้นทางนี้ ส่วนอีก 90,000 นายที่เหลือให้ข้ามหุบเขานี้เข้าไป เมื่อกองทัพฝูสั่วกรีฑาทัพออกมาจากเมืองเมื่อใด พวกเรา 90,000 นายจะเข้าไปตีรังของพวกมันและยึดครองเมืองฝูสั่วทันใด”
“ส่วนเมืองหมี่ไหลไท่ เป็นแค่เมืองเล็ก ๆ เท่านั้น รบไปก็มิมีประโยชน์อันใด เมื่อทัพหลังกำจัดกำลังเสริมได้เมื่อใด ค่อยนำไพร่พลทั้งสี่แสนนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ แล้วพวกเราค่อยไปรวมตัวกันที่เมืองฝูสั่ว”
“ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
หยูติ้งชานอยู่ในกองทัพมานานหลายปี กวนเสี่ยวซียิ้มให้เขาด้วยความชื่นใจ “ข้าคิดว่าแผนการนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้ พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
“ได้ ! เช่นนั้นก็ปฏิบัติตามนี้แล้วเติมเสบียงที่เมืองนั้น จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ ! ”
……
……
ในค่ำวันนั้นเอง ไพร่พล 400,000 นายได้ทำการโอบล้อมเมืองหมี่ไหลไท่อย่างเต็มกำลัง
เจ้าเมืองหมี่ไหลไท่ตื่นตกใจจนขวัญกระเจิง เขามิรู้ว่ากองทัพนี้มาจากที่ใด เขายืนอยู่บนกำแพงเมืองพลางจ้องมองศัตรูที่มีมากมายสุดลูกหูลูกตา ความรู้สึกสิ้นหวังพลันถาโถมเข้ามาในใจ
“เร็วเข้า ๆ ๆ รีบไปรายงานมาร์ควิสเวลลีสว่าพวกเราขอกำลังเสริมโดยด่วน ! ”
ในราตรีนั้นเอง กองทัพบกที่หนึ่งจำนวน 120,000 นายสลายตัวไปท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาล
พวกเขาได้แยกตัวออกไปสองทาง กลุ่มแรกข้ามเมืองหมี่ไหลไท่แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองฝูสั่ว
เผิงยวี๋เยี่ยนนั่งอยู่ในกระโจมแม่ทัพของทัพหลัง
นางได้ถูกกวนเสี่ยวซีเเต่งตั้งให้เป็นเเม่ทัพของทัพหลัง ในมือของนางมีไพร่พล 400,000 คน
นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาจากกระโจมเเม่ทัพ จ้องมองเมืองหมี่ไหลไท่ที่สว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด นางรู้สึกใจหายขึ้นมาทันใด พวกนางใช้เวลาเดินทางมาที่นี่เพียงแค่หนึ่งปีกว่าเท่านั้น บัดนี้ก็ได้เหยียบย่ำอยู่บนผืนปฐพีที่มิคุ้นเคยแล้ว
มิรู้ว่าในอนาคตธงมังกรของต้าเซี่ยจะปักอยู่ทั่วหล้าเลยหรือไม่ ?