นางร้ายกับนัยน์ตาทั้งสิบสอง: ชาตินี้เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของข้า - ตอนที่ 2 เริ่มต้นอีกครั้ง
- Home
- นางร้ายกับนัยน์ตาทั้งสิบสอง: ชาตินี้เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของข้า
- ตอนที่ 2 เริ่มต้นอีกครั้ง
เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ไม่ใช่เตียงแข็ง ๆ อย่างในหอคอยคุกที่ข้าเคยถูกคุมขัง
ค่อยยังชั่ว ที่แท้เมื่อกี้ก็เป็นฝันร้ายนี่เอง
แถมยังเป็นฝันที่โหดร้ายมาก ต้องขอบคุณร่างกายที่ร้อนจนเหงื่อออกท่วม
ข้าพยายามส่งเสียงเรียกคนรับใช้
“อุแว้”
ข้าร้องออกมาเช่นนั้น
“ตายจริง ตื่นแล้วละ!”
คนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ รีบเข้ามาแล้วอุ้มข้าขึ้นมาบนไหล่ได้อย่างง่ายดาย
(เดี๋ยวนะ นี่ข้าตัวเล็กไปหน่อยไหม)
มือเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนไหล่ของคนรับใช้ผ่านเข้ามาในสายตา อย่างกับตุ๊กตาแน่ะ พอลองออกแรงที่มือดู มือเล็ก ๆ คู่นั้นก็กลับยกขึ้นมาซะงั้น
(เอ๊ะ?)
ข้าพยายามสุดชีวิตเพื่อขยับคอและมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่มันไม่ได้ราบรื่นดั่งที่ใจหวัง ระหว่างนั้นคนรับใช้ก็คอยปลอบข้าอย่างอ่อนโยน
ที่นี่คือห้องในคฤหาสน์ที่ข้าเคยอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะดูสะอาดสะอ้านไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ผิดแน่
ในที่สุดข้าก็พบกระจกบานใหญ่ผ่านบ่าของคนรับใช้
สิ่งที่กระจกบานนั้นฉายให้เห็น เป็นเด็กทารกที่คนรับใช้อุ้มอยู่
──
จากนั้นข้าก็ร้องไห้ฟูมฟาย คนรับใช้ต่างตระหนกตกใจ แต่ข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก
เพราะข้ากลับมาเกิดใหม่เป็นเด็กทารก ทั้งที่คิดว่าตนเองตายไปแล้วยังไงล่ะ จะไม่ร้องไห้ได้ยังไง พูดให้ถูกก็คือทารกจะมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เลยจะร้องไห้ออกมาง่าย ๆ
หลังจากร้องไห้ไปสักพัก ข้าก็สงบลง ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือข้าหลับไป ร่างกายของทารกจะหลับง่าย แค่เหนื่อยนิดหน่อยก็ผล็อยหลับแล้ว
พอตื่นขึ้นมาข้าก็ใจเย็นขึ้น แต่เนื่องจากข้าขยับลิ้นได้ไม่คล่องจึงพูดได้ไม่ชัด แม้จะอยากคุยกับคนรับใช้แต่ก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ข้าว่าข้าไม่มีคนรับใช้หน้าตาแบบนี้ตอนที่ข้าเคยมีชีวิตอยู่นะ
ข้าอยากรู้ว่าตัวเองเกิดใหม่เป็นใคร เพราะในคฤหาสน์ตอนที่ข้าเคยมีชีวิตอยู่ ไม่น่าจะมีใครกำลังตั้งครรภ์ หรือว่านี่จะเป็นโลกในอีกหลายปีข้างหน้า
ระหว่างที่ข้าทำนู่นทำนี่ ก็มีคนเข้ามาในห้อง
คนรับใช้เรียกนางว่า “ท่านหญิง”
เมื่อบิดตัวที่ยังเคลื่อนไหวไม่คล่องแล้วมองไปทางประตู ก็เห็นท่านแม่ในวัยสาวขนาดที่ว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่ตรงนั้น
ผมดำยาวสลวยราวเส้นไหมเหมือนกับของข้า ใบหน้าที่งดงามราวกับปั้นขึ้น
ตอนแรกข้าก็คิดว่าแค่หน้าคล้ายกัน แต่จากน้ำเสียง การพูดจา และท่าทาง ข้าก็มั่นใจว่านั่นคือท่านแม่
ท่านแม่เพียงเหลือบมองแล้วออกจากห้องไปในทันทีโดยไม่ได้อุ้มข้า
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ดูเหมือนท่านแม่จะไม่ได้ไยดีในตัวข้า ด้วยความที่ท่านพ่อและท่านแม่เป็นคู่สามีภรรยากันเพียงเปลือกนอก ท่านแม่จึงไม่สนใจข้า แม้แต่ตอนที่ข้าถูกขังอยู่ในหอคอยคุก ท่านก็ไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง
ช่างน่าขันที่เมื่อเห็นภาพของมารดาผู้เย็นชาแล้ว ข้าก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในที่สุด
ดูเหมือนข้าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่เป็นทารก
──
แม้จะเข้าใจสถานการณ์ ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะทำอะไรได้ เพราะทารกนั้นไร้ซึ่งพลัง
แล้วเดิมที หากจู่ ๆ ทารกพูดออกมาก็คงจะถูกมองว่าประหลาด
ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลานี้คิดวางแผน
ที่ข้าตายอย่างอนาถ ก็เพราะข้าไม่มีพรรคพวกที่มีความสามารถ
หากมีพรรคพวกที่ดี ป่านนี้เอเลนอร์ก็คงตายไปแล้ว และข้าก็คงได้เป็นราชินี ชีวิตที่แล้วของข้าก็แค่ขาดคนช่วยเหลือ
ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตใหม่นี้ ก็คือคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และจะทำงานเป็นมือเป็นเท้าให้ข้า
ปัญหาอยู่ที่ว่าจะรวบรวมคนเหล่านั้นมาได้อย่างไร แต่หลังจากผ่านช่วงวัยเด็กอันยาวนาน ข้าก็คิดวิธีการดี ๆ ได้อย่างหนึ่ง
เพื่อที่จะทำตามความคิดดี ๆ นั้น ข้าจำเป็นต้องแสดงเป็นเด็กใสซื่อ ยุติธรรม และมีเมตตา
แน่นอนว่าข้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้คนรอบข้างคิดว่าข้าเป็นเหมือนนักบุญที่แสร้งทำตัวเป็นคนดีเหมือนเอเลนอร์
ดังนั้น หลังจากวันเกิดครบรอบ 3 ขวบผ่านไป ข้าก็เริ่มคิดว่า “เอเลนอร์ผู้น่ารังเกียจจะทำอย่างไร” แล้วทำตามนั้น
เมื่อคนรับใช้ทำแจกันแตก หากเป็นชาติก่อนข้าจะพูดล้อเล่นว่า
“ตายจริง แจกันใบนั้นแพงกว่าตัวเจ้าอีกนะ เจ้าก็จะตกจากหลังคาแล้วแหลกเหมือนกันหรือเปล่า”
แต่ในชาตินี้ข้าพูดว่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม ร่างกายของเจ้าสำคัญกว่าแจกันใบนี้นะ”
โดยไม่ได้พูดออกมาจากใจ
เมื่อคนรับใช้ทำชาหกใส่เสื้อผ้าของข้า หากเป็นชาติก่อน ข้าจะตอบอย่างสง่างามว่า
“ลองเสื้อผ้าเปียกโชกดูบ้างไหม ด้วยเลือดของเจ้าน่ะ”
แต่ในชาตินี้ ข้าลองทำเป็นห่วงเป็นใยอย่างไร้รสนิยมว่า
“ลองย้อมผ้าสีแบบนี้ก็ดูไม่แย่นะ”
หากคนรับใช้แจ้งกำหนดการของข้าผิด ในชาติก่อนข้าจะพูดอย่างชาญฉลาดว่า
“เท่านี้กำหนดการในอนาคตของเจ้าเองก็จะว่างเปล่าแล้วละนะ”
แต่ในชาตินี้ข้าพูดโดยไม่คิดอะไรมากมายว่า
“วันนี้ข้าไม่ค่อยอยากทำตามกำหนดการนั้นสักเท่าไร ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ”
ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของข้าในตระกูลดยุกจึงดีขึ้น
“ท่านเซลีน่าช่างมีเมตตา” “ท่านเซลีน่าเป็นเด็กที่มีคุณธรรมสูงส่ง” และอื่น ๆ อีกมากมาย หลงเชื่อในการแสดงที่แยบยลของข้าเช่นนี้ สมองยังดีอยู่หรือเปล่า ใครเขาจะเอาแต่เป็นห่วงแต่ผู้อื่นกัน
แต่ต้องขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ข้าเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเอเลนอร์ใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรในการมัดใจผู้คน ท่านเอ็ดเวิร์ดเองก็คงหลงกลกับการแสร้งทำตัวเป็นนักบุญของนางมารร้ายยั่วสวาทคนนั้นเช่นกันข้ามั่นใจ
ขณะเดียวกัน ข้าก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนไปด้วย ข้าไม่มีปัญหาเรื่องวิชามารยาทต่าง ๆ เพราะข้าเชี่ยวชาญหมดแล้วในชาติก่อน แต่เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญความตายแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งนั่นได้แก่วิชาขี่ม้า วิชาดาบ และศิลปะป้องกันตัว ปกติแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่บุตรสาวตระกูลดยุกต้องฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายหรอก แต่เรื่องที่ข้าถูกจับกุมโดยไม่เต็มใจในชาติก่อนยังคงเป็นบาดแผลในใจข้า
ข้าต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง เพื่อที่จะได้ไม่ถูกปฏิบัติอย่างหยาบคายเช่นนั้นอีก
ในชีวิตใหม่นี้ ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องตัวข้าได้ตามใจชอบ
ในด้านเวทมนตร์ข้าก็ตั้งใจศึกษาเช่นกัน แม้ตระกูลดยุกจะเป็นตระกูลที่มีพลังเวทสูงกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ข้ากลับมีพลังเวทน้อยเสียอย่างนั้น จึงไม่ได้ตั้งใจเรียนในชาติก่อน
แต่ในชาตินี้ พลังเวทเองก็เป็นสิ่งจำเป็น ด้วยเหตุนั้นข้าจึงพยายามฝึกฝนเพิ่มพลังเวทอย่างลับ ๆ ตั้งแต่ยังเป็นทารก การฝึกฝนเพิ่มพลังเวทประกอบด้วยการร่ายเวทมนตร์พื้นฐานซ้ำ ๆ และฝึกจินตนาการ ขอเพียงแค่มีความรู้ ไม่ว่าจะเด็กแค่ไหนก็สามารถทำได้ และข้าก็มีเวลาเหลือเฟือ
ดูเหมือนการฝึกฝนเช่นนี้ในวัยเด็กนั้นมีประสิทธิภาพมาก พลังเวทของข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านเซลีน่ามีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ยิ่งนัก!”
พออายุ 6 ขวบ อาจารย์ส่วนตัวที่สอนเวทมนตร์ก็ชมข้าเป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้ว เพราะข้าฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเป็นทารก คนละระดับกับเด็กคนอื่นในละแวกนั้น
แต่ข้าก็มีความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์มากเสียจนข้าเองยังแปลกใจ
(หืม นี่ข้าเคยรู้เรื่องเวทมนตร์ละเอียดถึงเพียงนี้เชียวหรือ)
บ้านข้ามีตำราเวทมนตร์มากมาย มีหนังสือหลายเล่มที่ข้าจำเนื้อหาได้ดีทั้ง ๆ ที่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยอ่านละเอียดขนาดนั้น
ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกว่ามีหนังสือเล่มที่ควรมีแต่กลับไม่มี
แม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่พลังเวทของข้าก็เพิ่มขึ้นอย่างราบรื่น
เมื่ออายุ 8 ขวบ ข้าเรียนได้ถึงเวทมนตร์ระดับกลางและได้รับคำชมเชยอย่างท่วมท้นจากคนรอบข้าง แต่ข้ายังไม่พอใจในสิ่งนั้น ข้าอยากมีพลังเวทมากพอที่จะเผาสถาบันโรสวูดอันน่ารังเกียจนั่นให้ไหม้เป็นจุณได้ในยามคับขัน
ข้าตั้งใจศึกษาเวทมนตร์อย่างมาก เพื่อจะกำจัดบรรดาเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ในสถาบันที่ทอดทิ้งข้าไปให้หมดในคราวเดียว
──
ถึงวันเกิดครบรอบอายุ 10 ขวบแล้ว แม้มีการจัดงานวันเกิดอย่างยิ่งใหญ่ แต่ท่านแม่ก็ยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าความประพฤติของข้าจะดีเพียงใด จะเรียนเก่งแค่ไหน หรือเวทมนตร์ของข้าจะพัฒนาไปเท่าไร ใบหน้าของท่านก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับชาติที่แล้ว ท่านแม่สนใจเพียงแค่ชา ท่านมีความสุขกับการดื่มชานานาชนิดและใช้ชีวิตไปวัน ๆ
ป่านนี้แล้ว ข้ากไม่คาดหวังอะไรในตัวท่านแม่อยู่แล้ว เป้าหมายคือท่านพ่อต่างหาก
“ท่านพ่อ ลูกมีของขวัญวันเกิดที่อยากได้ค่ะ”
ข้ายิ้มหวานแล้วกอดท่านพ่อ ข้าฝึกรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์นี้มาอย่างหนักหน้ากระจกเพื่อวันนี้ เพราะว่านี่คือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย
“โอ้ เซลีน่า เจ้าช่างน่ารักเหมือนนางฟ้า พ่อจะมอบทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา”
ท่านพ่อที่ยิ้มหน้าบานอุ้มข้าขึ้น ท่านไม่ใช่คนหล่อเลยแม้แต่น้อย แต่ท่านมีรอยยิ้มที่ไม่เคยเหือดหาย ไปจากใบหน้า และมีรูปร่างอวบเล็กน้อย
แม้แต่ในชาติก่อน ท่านพ่อก็ใจอ่อนกับข้า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรท่านก็รับฟัง ตอนที่ข้าถูกขังอยู่ในหอคอยคุก ท่านก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ได้มาเยี่ยมข้า และร้องไห้พลางขอโทษที่ช่วยข้าไม่ได้
แม้ว่าจะลังเลไปชั่วขณะเพราะรอยยิ้มของท่านพ่อ แต่ข้าก็ตั้งสติแล้วบอกสิ่งที่ข้าต้องการ
“ลูกอยากได้ผู้ติดตามของตัวเองค่ะ และต้องเป็นเด็กวัยเดียวกับลูก”