นักอัญเชิญแห่งแฟรี่เทล - ตอนที่ 3 : อสูรร้ายใต้แสงจันทร์
“คือผม…ไม่ได้ตั้งใจจะสมัครเข้าแฟรี่เทล” หลังจากที่ทุกคนดื่มเลี้ยงกันจดเสร็จ เควินก็เดินเข้าไปหามาคารอฟและอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างจริงจัง
“พวกเราเข้าใจผิดไปเองสินะ ต้องขอโทษจริงๆเควิน” มาคารอฟลูบหลังอีกฝ่าย แต่ดวงตาของเขายังคงสลึมสะลือจากฤทธิ์เหล้า “เควิน นายจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนงั้นเหรอ?”
“ผมน่าจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะรวบรวมเงินสำหรับเดินทางต่อได้เพียงพอ แถมที่สำคัญผมอยากจะเดินเที่ยวรอบเมืองแมคโนเลียด้วย” เควินครุ่นคิดก่อนพูดออกมา
“นายจะอยู่ต่ออีกสองสามวันสินะ…อืม…” มาคารอฟพยักหน้า ก่อนจะหันกลับเดินเข้าไปภายในกิลด์ “ไม่มีใครสามารถอยู่อย่างเดียวดายได้ตลอดเวลาหรอกนะเควิน ด้วยเหตุนี้พวกเราถึงได้สร้างกิลด์ขึ้นมา นายเองก็ลองคิดดูอีกทีล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของมาคารอฟ เควินก็มีสีหน้าหมองลงเล็กน้อย…ก็จริง
“พี่เควิน พี่จะไปแล้วเหรอ?” คาน่าที่มาจากไหนไม่รู้ดึงแขนเสื้อเควินเอาไว้ แม้จะออกเดินทางร่วมกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เควินก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอไม่อยากให้เควินจากไปไหน
“พี่ไม่ได้จะไปเร็วขนาดนั้น แล้วคาน่าละ? เธอไม่มีเงินนี่ เธอจะไปอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ?” เควินลูบหัวและพูดกับคาน่าด้วยรอยยิ้ม คาน่าไม่มีแม้แต่เงินขึ้นรถไฟเวทย์ด้วยซ้ำ แล้วเธอจะเอาเงินจากไหนเพื่อหาที่พัก? แม้ว่าที่นี่จะเป็นกิลด์นักเวทย์ก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ที่พักสำหรับนักเวทย์แต่อย่างใด ทุกคนภายในกิลด์จำเป็นต้องรับผิดชอบการดำรงชีพของตัวเอง
“หนูไม่รู้…” คาน่าเอียงหัวเล็กน้อยด้วยความสับสน เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ยุ่งแล้วไง กิลดาสก็เหมือนจะไม่ได้กลับมาเร็วๆนี้ เอาไงดีละคาน่า ลองขอความช่วยเหลือจากคุณมาคารอฟดีไหม?” ขณะที่เควินกำลังกังวลอยู่นั่นเอง มาคารอฟที่มาจากไหนไม่รู้ก็พูดขึ้นมาว่า
“เควิน ถ้านายยังไม่มีที่อยู่ก็ไปพักที่โบสถ์ก่อนสิ ที่นั่นมีสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ มันอยู่ในทิศตะวันออกของเมือง ถ้านายไปอยู่ที่นั่น นายไม่จำเป็นต้องใช้เงินสักแดงเดียว เดี๋ยวฉันจะเป็นคนแก้ไขความเข้าใจผิดให้คนในกิลด์ฟังเอง ถ้าจะออกเดินทางไปยังเมืองถัดไปก็มาบอกลากันด้วยละ” เมื่อพูดจบ มาคารอฟก็เดินหันหลังเข้าไปภายในกิลด์
“ขอบคุณมากคุณมาคารอฟ” เควินขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ คราวนี้ทั้งเขาและคาน่าก็จะได้มีที่พักเสียที
“ก่อนที่กิลดาสจะกลับมา เธอมาอยู่กับพี่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อนก็แล้วกัน ไปกันเถอะ” เควินจับมือของคาน่าและเดินทางไปยังทิศตะวันออกของเมือง
บาทหลวงของโบสถ์เป็นพวกที่ดูแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่มีจิตใจดีมาก เขาตอบรับคำขอของเควินแทบจะในทันที
เวลาผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน ในทุกเช้าตั้งแต่รุ่งสางคาน่าจะเดินทางไปยังกิลด์เพื่อรอพ่อของเธอ และเมื่อถึงตอนเย็นเธอจะกลับมาที่โบสถ์ ส่วนทางด้านเควินนั้นเขาออกแสดงละครเวทย์เพื่อหาเงิน และกลับมาโบสถ์ในช่วงเย็นเช่นเดียวกัน
ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองแมกโนเลีย พ่อมดในชุดคลุมดำกำลังพูดคุยบางอย่างที่น่าสงสัยกันอยู่
“แจ็ค พวกเราจะบุกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากันจริงๆเหรอ?” ชายร่างอ้วนถามขึ้น
“เจ้าโง่! นี่มันโอากาสทองเชียวนะ แค่ลักพาตัวเด็กไปขายให้องค์กรนั่นพวกเราก็ได้เงินแล้ว แกอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอดรึไง!” ชายที่ชื่อแจ็คก่นด่าอีกฝ่าย
“แต่ที่นี่มันถิ่นแฟรี่เทลเชียวนะ มันจะไม่เป็นปัญหาเอารึไง?”
“พวกเราไม่ได้จะบุกแฟรี่เทลสักหน่อย แค่ไปลักพาตัวพวกเด็กๆจากโบสถ์ก็แค่นั้น ฉันสืบมาแล้วที่โบสถ์นั่นมีบาทหลวงอยู่เพียงแค่คนเดียว แถมยังใช้เวทมนตร์ไม่เป็นอีกต่างหาก แค่ลงมือให้เร็วมันก็ไม่มีปัญหาแล้ว” แจ็คพูดต่อ “พวกเราจะบุกกันตอนเย็น ตอนนั้นเป็นเวลาที่พวกเด็กๆรวมตัวกันเพื่อกินข้าวเย็น ฉันจะจัดการเจ้านักบวชนั่นเอง ส่วนปีเตอร์นายรีบจับตัวเด็กๆด้วยเวทย์ของนายซะ จากนั้นพวกเราจะรีบหนีกันทันที”
ตอนเย็นเควินมารับคาน่าที่แฟรี่เทล แม้ว่าคนอื่นจะรู้แล้วว่าเควินจะไม่ได้เข้าร่วมกิลด์กับพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเควินเหมือนอย่างเดิม
“คาน่า พรุ่งนี้พี่จะออกเดินทางแล้วนะ” เควินพูดขึ้นกับคาน่า
“พี่จะไปแล้วงั้นเหรอ…” คาน่าพูดเสียงเบา แม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังคงเสียใจอยู่ดี
“เดี๋ยวพี่จะไปบอกลาบาทหลวงและคนอื่นๆในแฟรี่เทลก่อน อย่าลืมเสียล่ะคาน่า ถ้ากิลดาสกลับมาแล้วเธอต้องบอกเขา! เขาดูไม่เหมือนคนที่เลวร้ายสักเท่าไหร่ บางทีเขาคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีลูกสาว” เควินพยายามพูดให้กำลังใจคาน่า แต่อีกฝ่ายก็ยังคงกังวลเป็นอย่างมากอยู่ดี
ด้านหลังพวกเขาคือมาคารอฟที่กำลังมองดูทั้งสองเดินออกไปเงียบๆ เขาพึมพัมกับตัวเอง “เควินจะออกเดินทางต่อแล้วงั้นเหรอ…ฉันต้องไปเตรียมงานเลี้ยงอำลาซะแล้วสิ”
ในช่วงระหว่างทานอาหารเย็น คาน่านั้นนิ่งเงียบไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา เควินไม่รู้ว่าตัวเองจะปลอบอีกฝ่ายยังไงดี จึงนั่งกินอาหารอย่างเงียบๆ
“เควิน พรุ่งนี้นายจะออกเดินทางแล้วงั้นเหรอ” บาทหลวงเดินเข้ามาถาม แม้ว่าเควินจะยังไม่ได้บอกอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายก็พอเดาได้จากบรรยากาศระหว่างคาน่าและเควิน
“ครับ ขอบคุณสำหรับการดูแลที่ผ่านมานะครับ” เควินก้มหัวขอบคุณอีกฝ่าย ความรักและความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายมีให้นั้นทำให้เขาหวนคิดถึงเพียร์ซ
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกที่นี่คือสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่แล้ว การเลี้ยงเด็กก็ถือเป็- อ๊า!” พูดยังไม่ทันจบบาทหลวงก็กรีดร้องออกมาพร้อมเลือดที่สาดกระเด็นไปทั่ว
“ท่านบาทหลวง!!!” “อ๊ากก!!!”
ขณะเดียวกันที่บาทหลวงได้รับบาดเจ็บ ชายร่างท้วมก็ปล่อยแสงสีฟ้าออกจากมือและมัดเด็กทุกคนเอาไว้
เหลือเพียงเควินเท่านั้นที่หลบออกมาได้อย่างหวุดหวิด เขาแหงนหน้าขึ้นและเห็นชายร่างผอมบางกำลังเดินเข้าใกล้บาทหลวงพร้อมมีบางสิ่งที่แสนอันตรายอยู่ภายในมือของอีกฝ่าย
“จอมเวทย์!” เควินรับรู้ดีถึงความอันตรายของเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ปีเตอร์! แกปล่อยให้มีหนูหลุดรอกไปได้ยังไงห๊ะ!” ชายร่างผอมบางไม่สนใจเควินเลยแม้แต่น้อย เขาหันหน้าไปตะโกนใส่ชายร่างอ้วนแทน
“โทษที แต่ฉันหลังจาก ‘ผูก’ ไปแล้วฉันจะใช้เวทย์ไม่ได้สักพัก ฝากนายจัดการด้วยแจ็ค”
“หนุ่มน้อย ฉันแนะนำว่าอย่าขัดขืนเสียจะดีกว่า นายจะได้ไม่ตัว!” แจ็คเลียริมฝีปากตัวเองด้วยความขุ่นเคืองพร้อมจ้องมองเควินด้วยความเดือดดาล
“ฉันจะเอาชนะ จอมเวทย์พวกนี้ได้ไหม?” เขาสลัดหัวเพื่อไล่ความไม่มั่นใจของตัวเองออกไป ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาสนใจแล้วว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เขาจำเป็นต้องทำได้เท่านั้น
เควินคว้าการ์ดเวทย์ของเขาออกมาและส่งพลังเวทย์จนการ์ดเวทย์ของเขาเปล่งประกลาย เขาเตรียมพร้อมที่เรียกมันออกมาแล้ว
ปัง!
ทันใดนั้นกระสุนเวทย์ก้พุ่งเข้าใส่เควินและขัดจังหวะร่ายเวทย์ของเขาเอาไว้
“เด็กคนนี้ใช้เวทย์ได้ แม้จะไม่รู้ว่าเวทย์นั่นคืออะไรก็ตามที แต่ฉันคงไม่ปล่อยให้แกร่ายมันได้แน่!“ แจ็คแสยะยิ้มก่อนใช้กระสุนเวทย์ขนาดเท่ากำปั้นโจมตีเควินอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ากระสุนเวทย์พวกนี้จะไม่ได้ทรงพลังนัก แต่มันก็รวดเร็วจนทำให้เควินไม่สามารถร่ายเวทย์ออกมาได้ หลังจากถูกโจมตีด้วยกระสุนเวทย์ไปหลายนัด ร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
“อั๊ก…ก…ก” ไม่นานนักเควินก็ล้มลง เลือดของเขานองเต็มพื้นไปหมด เขากระอักเลือดออกมา ในตอนนี้เขาไม่แม้แต่จะสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการร่ายเวทย์เพื่อโต้กลับ
“ไม่มีทางชนะเลยงั้นเหรอ? อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป…อย่างน้อยถ้าฉันสามารถอัญเชิญมันออกมาได้ละก็…” อาการบาดเจ็บของเควินนั้นรุนแรงมาก จนเกือบจะทำให้เขาหมดสติไป
“เจ้าเด็กนี่ทำให้เสียเวลาชะมัด” แจ็คหอบเล็กน้อย ทั้งแจ็คและปีเตอร์ต่างเป็นจอมเวทย์ระดับล่างด้วยกันทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่เลือกที่จะลักพาตัวเด็กๆหรอก
ขณะที่เขากำลังจะจับตัวเควิน จิตสังหารอันหนาวเหน็บก็พุ่งมาทางเขา เขาหันไปมองปีเตอร์และพบว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว ขณะที่เหล่าจอมเวทย์กลุ่มใหญ่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาดุร้าย คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของคนกลุ่มนี้ก็คือมาคารอฟ
เขากำลังเผชิญหน้ากับแฟรี่เทลทุกคน
“แกกำลังทำอะไรกับเหล่าเด็กๆกัน!” ร่างเล็กของชายชราแผ่พลังเวทย์อันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง
“มาคารอฟ!!!”
“แกกล้าทำร้ายครอบครัวของเรา แกคงพร้อมที่จะรับโทษแล้วสินะ” มาคารอฟเดินเข้าไปหาแจ็ค ทางด้านแจ็คก็ก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าอันแสนตื่นตระหนก
“เดี๋ยวก่อน คุณมาคารอฟ” เควินที่พยายามฝืนลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากหันไปพูดกับมาคารอฟ “ผมจะเป็นคนจัดการไอ้สารเลวคนนี้เอง”
“เควินฉันเข้าใจนายนะ แต่สภาพร่างกายของนายในตอนนี้คงไม่ไหวหรอก” เมื่อเห็นเควินลุกขึ้นยืน มาคารอฟก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไม่ต้องห่วง ผมยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อยู่” หลังจากยืนขึ้น เควินก็ถือการ์ดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเวทมนตร์ของเขา
“จงฉีกกระชาก อสูรร้ายใต้แสงจันทร์!”
การ์ดเวทย์ส่องประกาย จากนั้นหมาป่าขนาดยักษ์ที่มีขนสีเงินเปล่งประกายก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเขา
“แจ็ค ฉันจะจัดการแกเอง!”