นักอัญเชิญแห่งแฟรี่เทล - ตอนที่ 2 : กิลด์อันแสนวุ่นวาย
ระยะทางระหว่างเมืองโอซึบานะและแมกโนเลียนั้นไกลมาก ดังนั้นมันจึงใช้เวลาการเดินทางค่อนข้างนานแม้ว่าจะนั่งรถไฟเวทย์ก็ตาม เขาใช้เวลากว่าครึ่งวันกว่าจะถึงจุดหมาย เมื่อเขาก้าวลงจากรถไฟและสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อศุดอากาศ เขาก็พบว่าเมืองนี้ต่างจากเมืองอื่นๆโดยสิ้นเชิง เมืองแมกโนเลียนี้มีเอกลักษณ์ของการเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับด้านเวทมนตร์มาเป็นเวลานาน
“แมกโนเลียนี่ต่างจากเมืองอื่นๆที่ฉันเคยเดินทางไปเยี่ยมชมมาก…” เควินนั้นหลงไหลเมืองนี้และด้วยความรู้ในหัวที่เขามี ทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าเมืองนี้ต่างจากเมืองอื่นโดยชัดเจน
“มีร้านค้าเวทย์อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วเมือง ละอองเวทย์ที่ลอยไปตามชั้นบรรยากาศของเมืองนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้แต่กลับมีกิลด์จอมเวทย์เพียงแค่กิลด์เดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าแฟรี่เทลนั้นไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย” เควินเดินนำคาน่าจากนั้นเขาก็ถามทางจากคนตามท้องถนน และเดินไปยังจุดหมาย
“ถ้าเจอพ่อแล้วเธออยากจะบอกอะไรกับเขางั้นเหรอ?” เควินถามคาน่าขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางไปยังแฟรี่เทล เขาเห็นว่าขณะที่คาน่ากำลังเข้าใกล้แฟรี่เทลมากขึ้นเรื่อยๆเธอก็ดูกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
“หนูไม่รู้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมหนูถึงรู้สึกใจเต้นแรงแบบนี้!” ขณะที่คาน่าตอบกลับมา เธอก็ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือสายจูงสุนัขไว้มาปิดใบหน้าที่แดงฉ่าของเธอ เขาไม่มั่นใจว่าเธอนั้นตื่นเต้นหรือกำลังประหม่าอยู่กันแน่
“หนูกำลังจะได้เจอพ่อเลยนะ แน่นอนอยู่แล้วที่หนูจะประหม่า” เควินยิ้มออกมาบางๆทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขายื่นมือไปลูบหัวคาน่าที่ไม่ได้เตี้ยไปจากเขามากนัก “ถ้าได้เจอพ่อก็ย้ายไปอยู่กับเขาเถอะนะ”
คาน่าพยักหน้าและตอบรับด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาและถามอย่างไร้เดียงสาว่า “แล้วพ่อของพี่เควินอยู่ไหนเหรอ?”
“พี่ไม่มีพ่อหรอก…” เควินเอ่ยออกมาด้วยเสียงเศร้าๆ คำตอบนั่นทำให้คาน่าตกตะลึงไปในทันที
“ไม่มีพ่อหมายถึง…” คาน่าที่คิดว่าตัวเองน่าจะพูดเรื่องที่ไม่สมควรถามออกไป พยายามถามย้ำอย่างรอบคอบ
“ตอนฉันเป็นเด็กทารก ฉันถูกเอาไปทิ้ง ดังนั้นฉันเลยไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองนั้นเป็นใคร แต่ปู่ก็พาฉันไปรับเลี้ยงแม้ว่าชีวิตของพวกเราสองคนจะยากจน แต่ตอนนั้นฉันก็มีความสุขมาก” ระหว่างที่เควินเล่านั้นคาน่าก็น้ำตาเต็มเบ้าหน้า บางทีอาจจะเพราะเรื่องราวของเควินนั้นคล้ายกับเรื่องราวของเธอและแม่ “แต่สุดท้ายปู่ก็ตายลง เพื่อปกป้องชีวิตฉัน แม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ดังนั้นฉันถึงเลือกที่จะออกเดินทาง” ในประโยคสุดท้ายของเควินนั้นแอบแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่แสนเกรี้ยวกราดและยากจะสังเกตุเห็น
“หนูขอโทษ” คาน่าร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย” เควินพูดอย่างใจดีและลูบหัวคาน่า “ถ้ารู้สึกผิดก็สัญญากับพี่สิ ว่าจะเริ่มต้นใหม่และมีความสุขกับพ่อน่ะ”
แม้ว่าเควินจะพูดอวยพรคาน่าไปแบบนั้น แต่เขาก็คิดไว้อยู่ในใจว่ามันน่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะยังไงผู้ชายที่ทิ้งลูกทิ้งเมียคงไม่ใช่คนดีนักหรอก
‘อืม…ถ้าผู้ชายคนนั้นจำคาน่าไม่ได้หรือมีครอบครัวใหม่ไปแล้วจะทำยังไงดีละเนี่ย?…’
ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังแฟรี่เทล กิลด์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ทว่ากลับดูสกปรกและมีลักษณะแทบไม่ต่างจากโรงแรมโดยทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คิดไว้เลยแหะ” เควินเงยหน้าขึ้นมาและพบเข้ากับชายอายุราวๆสามสิบซึ่งมีใบหน้าที่ทรงเสน่ห์สวมชุดคลุมดำ และเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับกระเป๋า ดูเหมือนกับจอมเวทย์ซึ่งกำลังจะออกเดินทาง
เมื่อเห็นดังนั้นเควินจึงเดินเข้าไปหาเขาและถามว่า “ลุง ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
ชายคนนั้นผงะไปทันที เขามองไปรอบๆ จนในที่สุดก็ชี้มาที่ตัวเอง “ลุง…หมายถึงฉันงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…โทษทีพี่ชายพอดีผมมีอะไรอยากจะถามพี่ชายสักหน่อย” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เควินผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแล้วรอบหนึ่งจึงเปลี่ยนคำพูดไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า เด็กน้อยปากหวานจริงๆ! เธออยากจะเข้าร่วมกิลด์งั้นเหรอ แค่เดินเข้าไปคุยกับตาแก่ตัวเล็กนั่นก็พอแล้ว! บอกเขาว่ากิลดาซแนะนำมา” ชายในชุดคลุมดำพูดมาเป็นชุดโดยไม่เปิดโอกาสให้เควินได้ถามอะไรออกมา
“แล้วนั่นน้องสาวนายงั้นเหรอ รีบพาเธอกลับบ้านเถอะ ที่นี่มันมีแต่กลิ่นเหล้าทั้งนั้น” เขาก้มลงและลูบหัวเควินและคาน่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาพูดออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่เปิดโอกาสให้เควินถามคำถามด้วยซ้ำ
‘กิลดาส…เหมือนเคยได้ยินว่าเป็นจอมเวทย์ระดับแนวหน้าที่แสนโด่งดัง แต่ตัวจริงนี่ดูจะงานยุ่งกว่าที่คิดเอาไว้อีกแหะ…’ เควินพยายามจัดทรงผมที่ยุ่งเพราะการก่อกวนของกิลดาส
“พี่กิลดาสพอดีพวกผมมาที่นี่เพื่อหาใครสักคนน่ะ พี่พอจะรู้จักผู้ชายที่มีชื่อว่า อัลเบโรน่าบ้างไหม?” เควินถามออกไปตรงๆ เพราะเหมือนว่าคาน่านั้นกำลังจะลังเลและไม่กล้าพูดออกมา
“อัลเบโรน่างั้นเหรอ โทษทีนะแต่กิลด์เราไม่มีคนที่ชื่ออะไรแบบนั้นหรอก โทษทีนะฉันต้องรีบแล้ว เดี๋ยวฉันจะไม่ทันขึ้นรถไฟ!” กิลดาสครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและเมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนชื่ออัลเบโรน่า เขาก็ตอบคำถามไป และรีบวิ่งไปด้วยความตื่นตระหนก
“คาน่าจะทำยังไงต่อไปดีละ ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะไม่อยู่ที่นี่หรือไม่ก็คงเปลี่ยนชื่อไปแล้ว” เควินหันหน้ามาถามคาน่า แต่ก็ต้องพบว่าคาน่านั้นกำลังน้ำตาคลอเบ้าราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา เขารีบปลอบคาน่าทันทีเพราะคิดว่าเธออาจจะเศร้าที่หาตัวพ่อไม่เจอ
“อัลเบโรน่าเป็นนามสกุลของแม่หนู” คาน่าพูดพร้อมเสียงสะอื้น
“เอ่อ…โทษทีนะ แล้วว่าแต่พ่อของเธอชื่ออะไรงั้นเหรอ” เควินเอ่ยขอโทษออกมาทันทีเมื่อรู้ตัวว่า ตัวเองเผลอทำอะไรโง่ๆออกมา ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง
“กิลดาซ ไคลฟ์”
“เดี๋ยวนะ…กิลดาซ?”
“อืม…”
“…”
“เชี่ย!! แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่พูดออกมาล่ะ!” เควินขยี้ผมของตัวเองจนชี้ฟู ก่อนจะหันมาตะโกนใส่คาน่า
“หนู…หนูขอโทษ พอดีหนูกลัว…” คาน่านั้นกลัวเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเควินนั้นมีท่าทางโกรธ เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างน่าสงสาร
“ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเธอนะ ทำให้เธอถึงไม่ยอมหยุดเขาไว้กัน!” เควินดึงแก้มคาน่าและจ้องไปที่คาน่าแบบกินเลือดกินเนื้อ
“เด็กผู้ชายไม่ควรจะรังแกเด็กผู้หญิงหรอกนะ นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษสมควรจะทำ” ขณะที่เควินกำลังดึงแก้มคาน่า เสียงที่ทรงพลังก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ที่ด้านหลังของเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์อันมหาศาล
เขาหลั่งเหงื่อเย็นออกมา และหันไปมองข้างหลังก็พบกับชายชราคนหนึ่งที่ดูแล้วตัวเตี้ยกว่าเขาเสียอีก
“เจ้าปีศาจน้อยมีปฎิกิริยาการรับรู้พลังเวทย์และพลังเวทย์ในตัวค่อนข้างยอดเยี่ยมมาก แถมเจ้าเองก็ยังอายุน้อยอยู่เลยด้วย” ชายชราพูดชมออกมา นั่นทำให้เควินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กทั้งสองจ้องมาที่เขาด้วยสายตาหวาดระแวงชายชราก็รู้สึกพอใจขึ้นมา แม้ว่าเด็กสาวจะยังไม่มีพลังเวทย์ในตัวเหมือนเด็กหนุ่ม ทว่าเธอเองก็มีสัมผัสที่ไวในการรับรู้พลังเวทย์ นั่นหมายความว่าเธอน่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพมากพอเลยทีเดียว
“อืม…พวกเธอมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมแฟรี่เทลสินะ ได้เลยฉันยอมรับพวกนายเข้ากิลด์ได้เลย” ชายชราพยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ
“ห๊ะ! อะไรนะ!”
“ทุกคน! เรามีสมาชิกใหม่แล้ว พวกเธอรีบมาทักทายสมาชิกภายในกิลด์กันเถอะ” ชายชราไม่ได้สนใจท่าทางของเควินเลยแม้แต่น้อย เขาจับแขนของเด็กน้อยทั้งสองและพาลากเข้าไปภายในกิลด์ทันที
“เดี๋ยวก่อนนะคือผมไม่…” เควินที่ถูกลากพยายามจะอธิบายออกมา ทว่า…
“ว่าแต่เด็กน้อยชื่ออะไรงั้นเหรอ? แล้วนี่เป็นพี่ชายของเธอใช่รึเปล่า?”
“หนูชื่อคาน่า ส่วนอีกคนชื่อเควิน เขาไม่ใช่พี่ชายหนู พวกเราแค่ออกเดินทางมาด้วยกันเฉยๆ”
“ช่างมันเถอะ ยังไงหลังจากพวกเธอเข้าแฟรี่เทลแล้ว พวกเธอเองก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันมาคารอฟเป็นหัวหน้ากิลด์ของที่นี่เอง!”
มาคารอฟหันไปพูดกับคาน่า โดยไม่สนใจเควินเลยแม้แต่น้อย
‘ตาแก่นี่เป็นหนึ่งในสิบพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ของสภาเวทมนตร์งั้นเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าในข่าวลือเล่ากันว่าเขาเป็นยักษ์สูงกว่าสิบฟุตไม่ใช่เหรอ? เควินมองไปที่คาน่าอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมากเพราะคำพูดของมาคารอฟที่บอกว่า “ครอบครัว”’
‘ยังไงเธอก็คงต้องรอให้กิลดาสกลับมาอยู่แล้วนี่ เป็นธรรมดาที่เธอจะเข้ากิลด์แฟรี่เทล’ เมื่อเห็นคาน่ายิ้มออกมา เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ‘กิลด์นี้น่าจะมอบความอบอุ่นให้เธอได้นะ’
เขากำลังจะหันไปอธิบายกับมาคาลอฟว่าเขาจะขอตัวออกเดินทางต่อ แต่ตอนนั้นเอง…
“คุณมาคาลอฟที่จริงแล้วฉัน…”
“ทุกคน! พวกเรามาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแก่สมาชิกใหม่ของพวกเราเควินและคาน่ากันเถอะ!!!” มาคารอฟกระโดดขึ้นไปบนบาร์และตะโกนออกมาเสียงดังขณะที่ถือแก้วไวน์ ทุกคนโดยรอบต่างยกแก้วไวน์ขึ้นมาเพื่อแสดงความยินดีออกมา เควินนั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าเขานั้นถูกยัดเครื่องดื่มเข้ามาให้ที่มือตั้งแต่เมื่อไหร่
“คนพวกนี้ไม่ฟังฉันเลย…แฟรี่เทลนี่มันวุ่นวายเกินไปแล้ว” เควินจ้องไปที่พวกบ้าที่กำลังมีท่าทางสนุกสุดเหวี่ยง เขารับมือเจ้าพวกนี้ไม่ได้จริงๆ
“พวกเขาถึงขั้นจัดงานเลี้ยงขนาดนี้แล้ว จะให้บอกได้ยังไงว่าจริงๆแล้วพวกเขาเข้าใจผิด…” เควินหันไปมองที่คาน่าซึ่งตอนนี้กำลังดื่มของในแก้วที่มาคาลอฟนำมาให้อย่างเป็นสุข
“ฮะ…ฮ่ะ…” เควินที่มือถือแก้วเครื่องดื่มอยู่ได้แต่หัวเราะแห้งๆออกมา ด้วยใบหน้าที่แสนจะเจ็บปวด