นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 92 ความกระหายก็เป็นตัวตัดสินพลังอำนาจ
ข้าราชสำนักที่มีท่าทางนอบน้อมโค้งตัวก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เป็นความผิดของเก้าอี้ตัวนี้ ! กระหม่อมจะนำตัวอื่นเข้ามาแทน ส่วนเก้าอี้ตัวนี้กระหม่อมจะเป็นคนจัดการกับมันหลังจากที่นำมันออกไปข้างนอกโทษฐานที่ปรับขนาดให้เล็กลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ! ซึ่งหลังจากที่มันถูกนำออกไปแล้ว มันจะถูกจัดการตามความเหมาะสมพะย่ะค่ะ”
ทว่าฟิลลิปส์โบกมือใหญ่ ๆ ของเขา “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้การรับประทานอาหารสำคัญกว่า รอให้ข้ารับประทานเสร็จก่อนแล้วเจ้าค่อยไปจัดการ” พูดจบ ฟิลลิปส์ก็หยิบแก้วขึ้นมาจิบเครื่องดื่มที่ถูกเตรียมไว้ก่อนที่จะเทอาหารเรียกน้ำย่อยทั้ง 8 จานลงไปในท้องของเขาอย่างรวดเร็ว
เหล่าเมดต่างรีบเดินเข้ามาเก็บจานที่ว่างเปล่าอย่างทะมัดทะแมงก่อนที่จะนำเมนูอาหารหลักมาวางลงบนโต๊ะอีกครั้ง จากท่าทางที่คล่องแคล่วและว่องไวของคนเหล่านี้ทำให้สามารถรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นไนท์หรือไม่ก็อาจจะเป็นแอสซาซินที่อยู่ในระดับ 4 หรือ 5 เป็นอย่างน้อย แม้ว่าโต๊ะที่ใช้รับประทานอาหารจะดูมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะวางอาหาร 10 จานได้ในเวลาเดียวกัน ทว่าสำหรับจักรพรรดิแล้วนั้น ดูเหมือนว่านี่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขาเลย เหล่าเมดต่างก็เก็บจานที่ว่างเปล่าออกไปก่อนที่จะนำอาหารชุดใหม่มาเสิร์ฟอีกครั้ง และในครั้งนี้ก็เป็น เมนูสเต๊กซึ่งยังมีเลือดสด ๆ ติดอยู่บนชิ้นเนื้อเหล่านั้น ที่มาของเนื้อเหล่านี้ไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากที่ใด แม้แต่เหล่าผู้ที่เสิร์ฟอาหารกว่า 3 ปีภายในที่แห่งนี้เองก็ยังไม่สามารถแยกแยะชนิดของเนื้อเหล่านี้ได้เลย แม้ว่าขอบของจานจะตกแต่งด้วยดอกไม้สดและซอส ทว่าสเต๊กภายในจานกลับเป็นเนื้อดิบที่ไม่ได้ดูละมุนไปในทางเดียวกับการตกแต่งของจานเลย อย่างไรก็ตาม เมนูนี้เป็นเมนูที่ฟิลลิปส์โปรดปรานมากที่สุด
ดวงตาของฟิลลิปส์เป็นประกายทันทีที่เห็นเนื้อบนโต๊ะ เขาจิ้มเนื้อสเต๊กแล้วโยนมันขึ้นไปกลางอากาศซึ่งเป็นจุดที่นกประหลาดอาศัยอยู่ในห้องนี้ มันบินโฉบลงมาอย่างรวดเร็วและคาบเนื้อชิ้นนั้นกลับไปยังที่ของมัน หลังจากได้แบ่งชิ้นเนื้อให้กับนกตัวนั้นแล้ว จักรพรรดิก็จัดการกับเนื้อดิบบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว แต่ละชิ้นหายเข้าไปในท้องของเขาชิ้นแล้วชิ้นเล่าด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ การรับประทานอาหารของเขาเป็นไปด้วยความเงียบสงัดที่แม้แต่เสียงเคี้ยวอาหารก็แทบจะไม่มีใครได้ยิน ดูเหมือนว่าฟิลลิปส์จะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของมารยาทในการรับประทานอาหารของคนชั้นสูงได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ส่วนของกระดูกที่ติดอยู่บนชิ้นสเต๊กเหล่านั้นต่างก็พากันหายลงไปในคอของจักรพรรดิผู้นี้พร้อม ๆ กับเนื้อดิบ !
ขณะนั้น ข้าราชสำนักคนหนึ่งเริ่มต้นพูดรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฟิลลิปส์หลับอยู่ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “คนแคระเกรย์และสัตว์ร้ายที่เป็นพันธมิตรของพวกเขาได้ทำการลอบโจมตีป้อมปราการธันเดอร์ก็อตจนทำให้เกิดการต่อสู้กัน… ส่วนอาณาเขตมันโร่ของพระองค์มีการเรียกเก็บภาษีรอบแรกแล้วซึ่งรวมกันเป็นจำนวนเงิน…”
“สำหรับตระกูลอาเครอน พวกเขาได้มีการจัดการประชุมเพื่อพิจารณาคดีกันเมื่อคืนที่ผ่านมา —”
“ช้าก่อน !” ฟิลลิปส์กลืนเนื้อที่อยู่ในปากอย่างยากลำบากก่อนรีบถามออกมา “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ ? กาตอนฆ่าวอร์เรนซึ่งเป็นบุตรชายของตนเองงั้นรึ ?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฟิลลิปส์วางส้อมและมีดในมือของเขาลงก่อนที่จะคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา “ดูเหมือนว่าริชาร์ดคนนั้นจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย กาตอนคงจะผลักดันให้เขากลายเป็นผู้สืบทอดต่ออย่างแน่นอน เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับริชาร์ดบ้าง ?”
“เขาเป็นศิษย์ของชารอน…”
“อะไรนะ !?” ฟิลลิปส์คายชิ้นเนื้อที่อยู่ในปากของเขาออกก่อนที่จะถามออกมา
ข้าราชสำนักก็รู้สึกตกใจกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาโบกมือขึ้นเพื่อให้เหล่าเมดมาเก็บกวาดโต๊ะให้กลับมาสะอาดอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็สั่งให้คนเหล่านั้นนำอาหารหลักอีก 10 ชนิดมาเสิร์ฟเพิ่ม การตอบรับในทันทีของคนเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าข้าราชสำนักคนนี้มีอำนาจพอสมควร
ฟิลลิปส์ไอออกมาก่อนที่จะคายกระดูกครึ่งหนึ่งที่ยังอยู่ในปากของเขาและถามขึ้นอีก “ชารอนที่เจ้ากล่าวถึงคือคนไหน…”
ข้าราชสำนักตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง “ผู้พิทักษ์แห่งสหพันธ์ พระองค์เป็นคนประทานตำแหน่งนั้นให้กับนางเอง…”
จักรพรรดิแสดงสีหน้าที่คาดเดาได้ยากและยังคงถามคำถาม “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน ?”
ข้อมูลเกี่ยวกับเลเจนดารี่เมจถือว่ามีความสำคัญสำหรับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ข้าราชสำนักเองก็ได้เตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว นั่นจึงทำให้เมื่อได้ยินคำถามเขาจึงรีบตอบกลับไปทันที “ได้ยินมาว่าตอนนี้ท่านชารอนกำลังทำการสำรวจเพลนอีกมากมายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นเวลาที่นานมากแล้วที่นางยังไม่ได้กลับดีพบลู”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ฟิลลิปส์ก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาหยุดรับประทานอาหารและมองไปยังเนื้อสเต๊กที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “ผู้หญิงคนนี้… ถ้านางกลับมาหาข้าอีกครั้ง นางจะต้องได้แข่งกับข้าในด้านของความกระหายเป็นแน่ !”
“ฝ่าบาท พระองค์จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ !” ข้าราชสำนักคนนั้นกล่าวขึ้น
จักรพรรดิเปล่งเสียง หึ ออกมาในลำคอก่อนจะกล่าวว่า “มันเป็นเพียงชัยชนะเล็ก ๆ เท่านั้นแหละ… ไม่สิ ในความเป็นจริงมันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น”
“ฝ่าบาท พระองค์เป็นถึงต้นแบบของเหล่าชนชั้นสูง อย่างไรเสียพระองค์จะต้องอยู่เหนือกว่าเลเจนดารี่เมจอย่างแน่นอน !” ข้าราชสำนักผู้นั้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงที่ผิดหวังของจักรพรรดิขณะกล่าวเยินยอต่อไป
“ข้าก็คงจะโชคดีอยู่หากนางมาที่นี่อีกครั้ง ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์ของการแข่งขันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ถึงยังไงก็อย่าประเมินชารอนต่ำเกินไป แม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องของความกระหายอาหารก็ตาม !” จักรพรรดิเปล่งเสียงตำหนิออกมา
“แน่นอน ! แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ !” ข้าราชสำนักผู้นั้นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
ฟิลลิปส์โบกมือใหญ่ของเขาและเปลี่ยนเรื่องสนทนา “เจ้า ! ไปเตรียมสเต๊กซี่โครงมังกรจำนวน 1 ตัน แล้วส่งไปให้ริชาร์ดในนามของข้าแล้วบอกเขาด้วยว่านี่เป็นอาหารมื้อพิเศษสำหรับเขา !”
“สเต๊กซี่โครงมังกร 1 ตัน !” ข้าราชสำนักอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนที่จะรีบรวมรวบสติและเอ่ยถาม “มันไม่เยอะเกินไปสำหรับเขาหรือฝ่าบาท ? อีกอย่าง พวกเราก็มีซี่โครงมังกรอยู่ในครัวน้อยกว่า 100 ตันแล้วด้วย”
ฟิลลิปส์โบกมืออย่างไม่ใยดีและมีท่าทีหมดความอดทน “ทำตามที่ข้าสั่งเถอะ ความกระหายก็เป็นตัวตัดสินพลังอำนาจได้เหมือนกัน ! เจ้าคิดว่าศิษย์ชารอนจะไม่สามารถกินของพวกนี้ได้หมดงั้นสิ ? ในเมื่อเจ้ารู้ว่าอาหารในครัวมีไม่เพียงพอ… เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดหาทางไปซื้อหามันมาเพิ่ม ? แล้วให้แม่ทัพการ์เมลนำคนไปฆ่ามังกรเพิ่มอีกสักสองสามตัว ขอย้ำนะว่าข้าไม่ต้องการมังกรเขียวเพราะเนื้อของมันเปรี้ยว ! เขารู้ดีว่าข้าชอบรสชาติแบบไหน !”
ฟิลลิปส์หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับรัฐมนตรีการคลังผู้สูงวัยที่มีรูปร่างผอมบางที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง “ไปที่คลังสมบัติของข้าและดูว่ามีอุปกรณ์อะไรที่สามารถใช้เพื่อป้องกันตนเองได้ นำมันออกมา 2 ชิ้นแล้วมอบให้กับริชาร์ดพร้อมกับสเต๊กที่ข้าสั่งไว้ ไม่ต้องเอาชิ้นที่ดีที่สุดก็ได้ แค่ทำให้เขาเห็นก็พอว่าข้าอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขา กาตอนเองก็ได้รับพิจารณาให้เป็นสมาชิกของราชวงศ์แล้ว ข้าไม่อยากให้ผู้สืบทอดตระกูลคนใหม่ของเขาต้องเจอกับปัญหาภายในเฟาสต์ อีกอย่าง ใครก็ตามที่สร้างปัญหาให้กับเขาก็จะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำ”
“แล้วสำหรับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ เราจะจัดการยังไงกับฟอล์กหรือฝ่าบาท ?” ข้าราชสำนักคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับถามขึ้น
“ปล่อยให้พวกอาวุโสในสภาเหล่านั้นจัดการกันเอาเอง เราจะไม่เข้าไปยุ่ง ในเวลานี้คงได้แต่รอ… รอให้เกิดสงครามระหว่างโจเซฟและอาเครอน !”
……
ริชาร์ดค้นพบว่าหลังจากที่เกิดการพิจารณาคดีในครั้งนั้น คนรอบข้างเขาก็มองเขาแปลกไปจากเดิม สายตาที่เกลียดชังและดูหมิ่นที่เขาเคยได้รับก่อนหน้านี้ก็จางหายไปและคนที่พบเห็นเขาต่างก็เอ่ยปากทักทายเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะให้เกียรติและเคารพเขามากกว่าเมื่อก่อนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เขาเองก็มีห้องปฏิบัติการเป็นของตนเองแล้ว ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสามารถสร้างรูนขั้นพื้นฐานและรูนระดับ 2 ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ผู้ช่วยหลักเพิ่ม 2 คนและอีก 3 คนสำหรับช่วยงานอเนกประสงค์อื่น ๆ ในเวลาเดียวกันกาตอนเองก็ได้จัดเตรียมไนท์ที่ทรงพลัง 4 คนเพื่อมาเป็นผู้ทดลองสำหรับการสร้างรูนไนท์ให้กับเขาด้วย
หลังจากที่เพิ่งผ่านมื้อเที่ยงไปได้ไม่นาน ริชาร์ดก็รีบมาที่ห้องปฏิบัติการของเขาทันทีหลังจากที่ได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่
เนื่องจากเกาะลอยฟ้าไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก ห้องปฏิบัติการกับที่พักของเขาจึงอยู่ไม่ไกลกัน สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบริเวณขอบของเกาะเพื่อความปลอดภัย และบริเวณพื้นที่แห่งนี้ก็ได้รับการคุ้มกันโดยหอคอยเวทมนตร์ที่ติดตั้งเครื่องยิงบัลลิสต้าถึง 2 อัน วิธีนี้จะช่วยให้เกาะได้รับการคุ้มครองจากการรุกรานของศัตรูที่มาจากด้านนอกได้ทันเวลา ในเวลาเดียวกันหากภายในห้องปฏิบัติการเกิดการระเบิดซึ่งมาจากข้อผิดพลาดในการทดลอง มันก็ยังช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยลงได้อีกด้วย
ห้องปฏิบัติการเป็นอาคาร 3 ชั้นที่ใช้พื้นที่เพียงน้อยนิด ในชั้นแรกเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนและใช้เป็นห้องธุรการสำหรับผู้ช่วยและเหล่าข้ารับใช้ ชั้นที่ 2 เป็นคลังไว้เก็บวัสดุเวทมนตร์ ในขณะที่ชั้นที่ 3 เป็นพื้นที่ทำงานของริชาร์ด
ทันทีที่ริชาร์ดก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องปฏิบัติการบนชั้น 3 เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าตึกนี้จะมีถึง 3 ชั้น ทว่าเมื่อนำทั้ง 3 ชั้นนี้รวมเข้าด้วยกันแล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับห้องปฏิบัติการภายในดีพบลูที่เขาเคยอยู่มา ป้ายจารึกที่มุมโต๊ะเขียนระบุไว้ว่านี่เป็นของที่ถูกสร้างโดยคนแคระซึ่งสร้างขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์เมื่อ 30 ปีก่อน ถึงแม้ว่าภายในห้องแห่งนี้จะมีสิ่งของที่ถูกสร้างมานานหลายปี แต่มันก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับห้องที่เขาเคยอยู่ภายในดีพบลูที่มีการออกแบบมา 300 กว่าปีโดยอาณาจักรคนแคระที่สูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชนิดบนโลกได้เลย…