นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 7.2 หญิงสาวที่ต่อต้านไม่ได้ [2]
ในตอนแรกริชาร์ดยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของกาตอนมากนัก แต่ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น เขาก็ได้รู้ความหมายของคำว่า ‘พบเจอพี่น้องที่น่าสนใจ’ ตามที่กาตอนบอกแล้ว ทว่าคำพูดที่มาร์ควิสกาตอนบอกกับลูกชายมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นแอบแฝงอยู่ ซึ่งริชาร์ดต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี กว่าเขาจะเข้าใจถึงความสำคัญและความลึกซึ้งของมัน
ริชาร์ดนั่งเงียบอยู่บนโซฟาเดี่ยวที่มีพนักพิงสูงใหญ่ ร่างกายของเขานิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปยังภาพวาดที่แขวนอยู่เหนือประตูห้องด้วยแววตาเรียบเฉย
ที่นี่เป็นห้องนั่งเล่นขนาดเล็กภายในปราสาทซึ่งตั้งอยู่ในปีกด้านหนึ่งของปราสาท มีเพียงแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ การตกแต่งภายในห้องนี้งดงามและหรูหรา และไม่ได้มืดมนเหมือนกับส่วนอื่นๆที่ริชาร์ดเคยเห็นมาในปราสาท แสงสว่างภายในห้องเกิดจากแสงของเทียนไขขนาดใหญ่จำนวนมาก มันสว่างไสวและให้ความรูสึกอบอุ่น ในห้องนี้มีการใช้พลังเวทมนตร์เพื่อช่วยให้ความสว่างภายในห้องคงอยู่อย่างสม่ำเสมอและตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นแล้วยังสร้างความอบอุ่นให้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ริชาร์ดนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เด่นที่สุดของชุดโซฟารับแขก ด้านข้างของเขาทั้งสองข้างมีโซฟาตัวยาว ซึ่งถูกแบ่งให้บรรดาเด็กๆทั้งชายและหญิงที่ถูกแนะนำว่าเป็นพี่น้องของเขานั่ง พี่น้องของริชาร์ดมีทั้งหมด 8 คน เป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีก 6 คน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีพี่น้องเยอะขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นลูกต่างมารดากันด้วย เมื่อนับจำนวนพี่น้องร่วมสายเลือดอาเครอนรวมกันแล้วถือว่าเป็นครอบครัวที่มีขนาดใหญ่มากทีเดียว
เด็กผู้ชายนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของริชาร์ด ส่วนเด็กผู้หญิงทั้ง 6 คนก็นั่งบนโซฟาทางฝั่งขวา ในขณะที่ริชาร์ดนั่งอยู่ตรงกลาง และถูกสายตาทั้ง 8 คู่จ้องมองมาอย่างสนใจ พวกเขามองราวกับริชาร์ดเป็นปีศาจหายาก สายตาของพวกเขาไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยความด้วยความสนใจเท่านั้น แต่ยังแอบแฝงความเย่อหยิ่งถือดี และเหนือกว่า เอาไว้ด้วย
เด็กผู้ชายทั้งสองคนมีอายุน้อยกว่าริชาร์ดเพียงเล็กน้อย สายตาของพวกเขาที่จับจ้องมาแสดงให้เห็นถึงความอยากรู้อยากเห็น ต่อต้านและเป็นปรปักษ์ต่อริชาร์ดอย่างชัดเจน การจับจ้องด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเด็กสองคนนั้นทำให้ริชาร์ดรู้สึกขนลุกขนพอง และเขายังรู้สึกได้ด้วยว่าสายตาที่ส่งมานั้นเคลือบแฝงไว้ด้วยความอาฆาต
ส่วนพี่สาวน้องสาวของเขาทั้ง 6 คน มีอายุแตกต่างกันออกไป เด็กสาวที่มีอายุมากที่สุดใช้หน้าอกของตัวเองในการป่าวประกาศให้รู้ถึงอายุของนาง ส่วนเด็กหญิงที่อายุน้อยที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะมีอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ สายตาที่เด็กๆเหล่านั้นใช้มองมาที่ริชาร์ดเต็มไปด้วยความสับสน ประหลาดใจ และลังเล เด็กสาวสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สาวนั่งกระซิบกระซาบถกเถียงอะไรบางอย่างพร้อมกับลอบมองริชาร์ดเป็นระยะ บางครั้งพวกนางก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา ริชาร์ดไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนางถึงหัวเราะออกมาแบบนั้น แต่เขามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่ามันจะต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องของพี่น้องอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักหลังจากนั้น ริชาร์ดก็เข้าใจว่าสายตาแบบนั้นเป็นสายตาของหญิงสาวที่กำลังมองชายที่พวกนางอยากจะร่วมหลับนอนด้วย
ริชาร์ดไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร และบรรดาพี่น้องของเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจอยากจะพูดคุยกับเขาเช่นกัน แต่เด็กพวกนั้นก็ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดจับจ้องมาที่เขาตลอดเวลา สายตาพวกนั้นทำให้ริชาร์ดรู้สึกเหมือนกำลังมีเข็มแหลมๆทิ่มแทงร่างกาย เขารู้สึกถึงความโกรธเกลียดที่แผ่ซ่านออกมาจากคนเหล่านั้นและมันดูราวกับว่าอยากจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว
แม้ช่วงเวลาของการพบหน้าพี่น้องจะเป็นช่วงสั้นๆเพียง 10 นาทีแต่ริชาร์ดกลับรู้สึกเหมือนใช้เวลาหมดไปเป็นวัน เมื่อถึงเวลาที่สาวใช้พาเขาออกมาจากห้องนั่งเล่น ริชาร์ดก็ค้นพบว่าเสื้อเชิร์ตผ้าลินินที่เขาใส่ชุ่มโชกไปทั้งตัวด้วยเหงื่อเย็นๆ
10 นาทีแห่งการพบเจอกับพี่น้องร่วมบิดาถือเป็นช่วงเวลาที่เป็นทางการอย่างหนึ่ง มันเป็นการประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ว่ายังมีเขาที่อยู่ในสายเลือดของอาเครอนอีกคน และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเขาคือหนึ่งในสมาชิกของตระกูลอาเครอนอย่างเป็นทางการ นี่เป็นการเริ่มต้นให้ทุกคนได้รู้จักกันและเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เลือกคู่ในภายภาคหน้าด้วย
ตอนเที่ยงของวันที่สองนับตั้งแต่มาถึงอาซาน ริชาร์ดก็ถูกพาเข้ามาอยู่ในขบวนเดินทางขนาดเล็กที่มีไนท์จำนวนหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่ พร้อมกับออกเดินทางจากปราสาทแบล็คโรสที่เก่าแก่และมุ่งหน้าไปทิศตะวันตก
ตั้งแต่มื้อค่ำวันนั้นจนถึงตอนนี้ริชาร์ดก็ไม่ได้เจอกับมาร์ควิสกาตอนอีกเลย การได้พบเจอพ่อของตัวเองเกิดขึ้นง่ายกว่าที่เขาคิดไว้และก็เยือกเย็นกว่าที่คิดเช่นกัน ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาริชาร์ดไม่เคยคิดอยากจะพบผู้ชายคนนั้นมาก่อน และเหล่าพี่น้องที่เขาได้เจอทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาก็เป็นเพียงลูกชายธรรมดาๆคนหนึ่งของมาร์ควิสกาตอนเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อออกเดินทางออกจากอาซาน เขากลับรู้สึกราวกับสูญเสียอะไรบางอย่างไป
ริชาร์ดลอบกำมือแน่นจนเล็บของเขาจิกลงไปกลางฝ่ามือ ในดวงตาของเขาปรากฎเป็นภาพซ้อนของเหตุการณ์สองอย่าง ภาพแรกที่ปรากฎเป็นภาพของเหล่าพี่น้องของเขาที่นั่งอยู่บนชุดรับแขกเมื่อวาน และมันซ้อนทับกับอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพเปลวไฟที่ลุกโชน ทันใดนั้นริชาร์ดก็รู้สึกว่าการตายของแม่ไม่ได้มีความยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย
ขบวนไนท์มุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตกของเกาะ ผู้นำขบวนคุ้มกันริชาร์ดยังคงเป็นมอร์เดร็ด การเดินทางระยะไกลในครั้งนี้ทำให้เหล่าไนท์พูดคุยกันน้อยลงพร้อมกับรีบเร่งเดินทางอย่างเงียบเชียบเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
การเดินทางนั้นเงียบสงบและเป็นไปอย่างต่อเนื่องกว่า 20 วัน พวกเขาใช้เวลาไปเนิ่นนานกว่าครั้งที่ริชาร์ดเดินทางจากรูสแลนด์มายังปราสาทแบล็คโรส การเดินทางครั้งนี้ต้องผ่านเขตภูมิประเทศที่สลับซับซ้อน พวกเขาผ่านป่ามืด ข้ามแม่น้ำโรมันที่มีความยาวมากที่สุดเป็นอันดับสองของแผ่นดินหลัก ผ่านเทือกเขาแห้งแล้งอีกเป็นเวลานับสิบวัน รวมถึงต้องผ่านเขตแดนภายใต้ความดูแลของพวกขุนนางนับสิบจึงจะมาถึงสถานที่เป้าหมาย –– ‘ดีพบลู’ –– หอเวทมนตร์ในอาณาเขตของ — เลเจนดารี่เมจชารอน — ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและพลังลึกลับของตัวมันเองซึ่งทำให้ผู้คนที่ผ่านเข้ามาสัมผัสได้ถึงความกดดันที่น่ากลัวบางอย่าง
เวลานี้ริชาร์ดกำลังยืนประจันกับตัวอาคารซึ่งเป็นหอคอยสูงใหญ่ของดีพบลู เขาพบว่าหอเวทมนตร์แห่งนี้มีความสูงไม่น้อยกว่า 500 เมตรและมีความวิจิตรงดงามอลังการที่ไม่แพ้ความยิ่งใหญ่ของมัน อาคารหลังนี้ถือเป็นอาคารหลัก และถูกสร้างในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่มีความพิเศษไม่ธรรมดา เนื่องจากตัวอาคารนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน มันทอดตัวจากเขาเอฟเวอร์วินเทอร์ไปจนจรดแม่น้ำสายหนึ่งของอ่าวโฟล ส่วนค้ำยันระหว่างเสาและเพดานหรือครีบค้ำยันถูกประดับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ด้วยการแกะสลักเป็นลวดลายงดงามอ่อนช้อยและประณีต ส่วนยอดด้านบนมีลักษณะโค้งแหลม และบรรจบเข้าหากันเป็นซุ้มประตูโค้งอย่างสวยงาม ด้านบนยอดหอคอยถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆของธาตุต่างๆและพลังงานลึกลับลอยปกคลุมห้อมล้อมบริเวณยอดหลังคา จนทำให้หอเวทมนตร์ตรงหน้าดูราวกับว่ากำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องด้านบน
ใช้เวลาเพียงครู่เดียวริชาร์ดก็ได้พบกับชารอน ผู้ซึ่งเป็นถึงเมจในระดับเลเจนดารี่* และดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์ของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ นางเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งและนางคือบุคคลที่มาร์ควิสกาตอนเลือกให้เป็นอาจารย์ให้กับลูกชาย
*ระดับของเมจเรียงตามลำดับจากต่ำไปสูง 1. เมจ 2. เกรทเมจ 3. แกรนด์เมจ 4. เลเจนดารี่เมจ
ตอนที่ริชาร์ดเผชิญหน้ากับชารอนครั้งแรก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าบุคคลผู้นี้ไม่ได้ตอบรับที่จะเป็นอาจารย์สอนวิชาให้กับเขา แต่การเดินทางมาของเขาในครั้งนี้เป็นความปรารถนาของกาตอนทั้งหมด
ไม่นานนักริชาร์ดก็ถูกพามายังห้องโถงเวทมนตร์ของชารอน เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้สวยงามราวกับอยู่ในความฝัน บนฝาพนังและพื้นห้องระยิบระยับไปด้วยสีฟ้าครามที่เปล่งประกายคล้ายคริสตัล จากจุดที่เขายืนอยู่ภายในห้องโถงนี้สามารถมองลึกเข้าไปด้านในได้ทุกพื้นที่ แต่ทว่าพื้นที่เหล่านั้นกลับลึกจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปด้านในสุดได้ บนพื้นและฝาผนังแทบทุกจุดถูกประดับด้วยวัตถุกลมที่มีความแวววาววิบวับ พวกมันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มองดูคล้ายฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างสนุกสนานและมีชีวิตชีวา
บัลลังก์งดงามภายในห้องโถงถูกแกะสลักจากก้อนคริสตัลแท้ขนาดใหญ่ เมื่อชารอนขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น เท้าของนางจะอยู่ระดับเดียวกับคางของมอร์เดร็ดพอดี แต่สูงเลยศีรษะของริชาร์ดขึ้นไป ด้วยตำแหน่งและสถานภาพที่สูงส่งของนางจึงทำให้ไม่มีใครมองว่าการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ไร้มารยาท
ผมยาวสีทองของชารอนถูกปล่อยพริ้วตามธรรมชาติ ชุดยาวตามแบบของสตรีสูงศักดิ์ที่หรูหราและสง่างามเผยให้เห็นไหล่และเนินอกขาวผุดผ่อง ผิวพรรณของชารอนดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ ผิวที่เนียนละเอียดดูนุ่มละมุนทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นเกิดความรู้สึกอยากจะเข้าไปขบกัดผิวนุ่มๆนั่นสักครั้ง โดยเฉพาะบรรดาหนุ่มๆทั้งหลาย และแน่นอนว่าส่วนที่พวกเขาอยากจะกัดมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นเนินอกอวบอิ่มของนาง รูปร่างและหน้าตาของชารอนดูเหมือนกับหญิงสาววัย 17-18 ใบหน้าเล็กที่เคร่งขรึมเต็มไปด้วยความงามแบบคลาสสิก รูปโฉมงดงามที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์คริสตัลมองดูคล้ายเป็นดั่งเทพธิดาผู้สง่างาม
ทุกคนที่ได้เห็นชารอนครั้งแรกแทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมและดูอ่อนเยาว์เช่นนี้จะเป็นถึงเมจในระดับเลเจนดารี่ ทุกคนในที่แห่งนี้ แม้แต่เมจที่อ่อนวัยที่สุดต่างก็รู้ว่าดีพบลูถูกก่อตั้งขึ้นมาเกินกว่าร้อยปีแล้ว
มือของชารอนวางซ้อนกันอยู่บนเข่ามน ปลายนิ้วเรียวยาวแต่ละนิ้ว งดงามด้วยเล็บยาวที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต แต่ละเล็บถูกเคลือบด้วยวัสดุที่ทำจากทองคำเวทมนตร์ที่ด้านบนประดับตกแต่งด้วยลวดลายและอัญมณีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นอัญมณีที่หายากในตำนานและอัญมณีเหล่านั้นยังถูกลงอาคมเอาไว้ด้วย คนอื่นๆต่างพากันเข้าใจว่าเล็บของนางในแต่ละนิ้วเป็นส่วนที่มีพลังที่แข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับเครื่องมือเวทมนตร์หรือไอเทมศักดิ์สิทธิ์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า นอกจากชารอนจะใส่คาถาและพลังต่างๆเข้าไปไว้ในเล็บทั้ง 10 นิ้วแล้ว!นางยังใส่พลังเวทมนตร์คาถาเข้าไว้ในเครื่องประดับทุกชิ้นด้วย ทั้งต่างหู สร้อยคอ หรือแม้แต่เชือกรัดเส้นผมล้วนมีอาคมพิเศษเช่นเดียวกับเล็บของนาง !
บัลลังก์คริสตัลนั้นแพรวพราวมากเสียจนทำให้ริชาร์ดตระหนักได้ถึงความล้ำค่าของมัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อว่าหอเวทมนตร์แห่งนี้ก็มียังมีค่ามากกว่าบัลลังก์คริสตัลนี้หลายร้อยเท่า คริสตัลที่ประดับอยู่บนฝาผนังและพื้นล้วนสูงค่า และถูกเหล่าเมจใช้เวทมนตร์ระดับสูงกำกับลงไปทั้งสิ้น!
ทันใดนั้น ริชาร์ดที่ยืนอยู่ในห้องโถงเวทย์มนต์รู้สึกได้ว่าความสามารถในการรับรู้ของตัวเองขยายขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก พลังงานบางอย่างเริ่มพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังไหลไปตามทางเดินที่แปลกประหลาด และหลังจากที่พลังงานถูกดูดกลืนเข้ามาในร่างกายของเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง ส่วนลึกภายในจิตสำนึกของริชาร์ดก็เกิดเสียงคล้ายเสียงบางอย่างแตกออกอย่างฉับพลัน มันเหมือนกับสิ่งขวางกั้นที่อยู่ด้านหน้าถูกทุบให้แตกเป็นเสี่ยงๆ และมันทำให้การรับรู้ของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยถูกผูกมัดและถูกจำกัดไว้ได้รับการปลดปล่อยออกมา
ในวินาทีต่อมาริชาร์ดก็สัมผัสได้ถึงมหาสมุทรแห่งพลังเวทมนตร์ !
มันเป็นทะเลขนาดใหญ่สีฟ้าคราม แต่มืดมิด เต็มไปด้วยคลื่นที่หมุนวนอยู่ที่ก้นทะเล ซึ่งทั้งหมดดูเหมือนเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ทันใดนั้นเองก็มีปลาวาฬขนาดยักษ์ปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ริชาร์ดคิดว่าหากเขาตกลงไปในนั้นเขาก็คงจะถูกกลืนหายไปทันทีอย่างแน่นอน แต่เสี้ยววินาทีต่อมาเขากลับต้องตกใจเมื่อพบว่าในเวลานี้ตัวเองกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำของมหาสมุทรกว้างใหญ่นั้น อยู่ในขณะนี้!
ความสับสนชั่วขณะทำให้ใบหน้าของริชาร์ดซีดเผือด ร่างกายของเขาเริ่มสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเหมือนจริงมาก และเขาก็ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร มันเหลือเชื่อกว่าจะเกิดขึ้นจริงแต่ก็ดูเสมือนจริงมากกว่าจะเป็นแค่ภาพลวงตา สิ่งที่เกิดขึ้นกับริชาร์ดในตอนนี้ยากเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ในเวลานี้มอร์เดร็ดกำลังสอบถามและพูดคุยกับชารอนถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนของริชาร์ด
“มาสเตอร์ฝากข้อความมาบอกกับท่านว่า รบกวนท่านช่วยใช้หัวใจและจิตวิญญาณของท่านในการสอนนายน้อยด้วย ถือว่าเห็นแก่ช่วงเวลาที่ผ่านมาในอดีตที่เคยมีต่อกัน”
“เวลาที่ผ่านมาในอดีต ? อืม ข้านึกขึ้นได้แล้ว มาร์ควิสผู้นั้นที่อยู่ในตระกูลพวกเจ้ายังติดหนี้ค่าวัตถุดิบข้าอยู่!”
“นั่นดูเหมือนจะจ่ายเงินต้นไปหมดแล้วนะครับ ? ”
“แล้วดอกเบี้ยล่ะ ? ”
และเพราะมอร์เดร็ดรู้ดีว่าความชาญฉลาดทางด้านการคำนวนของเขาไม่สามารถเทียบได้กับเมจในระดับเลเจนดารี่ได้อย่างแน่นอน เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เขาเสี่ยงโยนไพ่ใบที่สองออกมา “นายน้อยริชาร์ดเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อย่างมากนะท่าน”
“เหอะ! อัจฉริยะเป็นสิบๆคนมาดีพบลูเพื่อเรียนรู้เวทมนตร์จากข้าทุกปี! แม้แต่พวกเคลริค ข้าก็ยังปฏิเสธไปถึงสามถึงสี่คนแล้ว”
ในที่สุดมอร์เดร็ดก็ทำหน้าจริงจังมากขึ้นพร้อมกับโยนไพ่ตายใบสุดท้ายออกมา “ในร่างกายของนายน้อยมีสายเลือดของอาเครอนซึ่งมีความบริสุทธิ์เหนือกว่าผู้ใหญ่บางคน อย่างน้อยในยุคนี้ ในอาเครอนก็ยังไม่มีใครเทียบได้”
หญิงสาวผู้เป็นถึงเลเจนดารี่เมจยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ดวงตาของนางกลับทอประกายสว่างไสวคล้ายกับนางได้เห็นมังกรที่มีเกล็ดเป็นอัญมณีขนาดใหญ่อยู่ภายในห้องโถง แม้น้ำเสียงของชารอนจะยังคงสงบนิ่งแต่ทุกคนต่างก็มองออกว่านั่นเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น “ถึงเป็นแบบนั้น แล้วข้าจะทำอะไรได้งั้นหรือ ?”
“ท่านสามารถเหยียบย่ำเขาได้ในแบบที่ท่านต้องการ!” สิ่งนี้ดูไม่เหมือนสิ่งที่มอร์เดร็ดผู้เคร่งขรึมและหัวโบราณจะพูดออกมาได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำพูดนี้เป็นคำพูดของมาร์ควิสกาตอน ถึงอย่างนั้นสิ่งที่มอร์เดร็ดกล่าวและแสดงท่าทางออกมาทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่การแสดงเพื่อให้สมบทบาทเท่านั้น แท้จริงแล้วบุคลิกและสิ่งที่เขาแสดงออกมาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตใจของเขาโดยสิ้นเชิง
และในตอนนั้นเองที่ทั้งชารอนและมอร์เดร็ดเริ่มตระหนักถึงอาการแปลกๆของริชาร์ดขึ้นได้ ชารอนมองไปที่ริชาร์ดพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “เด็กคนนี้สามารถเชื่อมต่อกับพลังมายาของอ่างเก็บน้ำภายในห้องโถงเวทมนตร์แห่งนี้ของข้าได้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ อืม..ดูท่าว่าน่าจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่บ้าง”
“แน่นอน!” มอร์เดร็ดตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจของเขากลับคิดว่าหอเวทมนตร์ที่ทำมากจากคริสตัลที่เต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ลึกลับและแข็งแกร่งมากขนาดนี้ แม้แต่ไนท์อย่างเขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ แล้วมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายกับริชาร์ดที่มีแม่เป็นผู้มีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร ? คำพูดที่ผู้หญิงตรงหน้าพูดออกมาดูเหมือนว่าจะพูดเกินความจริงไปสักหน่อย
“แต่แค่นี้ยังไม่พอ” ชารอนพูดต่อไปอีกว่า “เพลน 2 แห่งที่อยู่ในมือของเจ้ากาตอนนั่นดูเหมือนจะไม่เลวเลยนะ ข้าต้องการผลกำไรใน 10 ปีที่เขาจะได้จากเพลนพวกนั้น จะอันไหนก็ได้”
“10 ปี ตามเวลาของเพลน ? ”
“ไม่! เวลาของนัวแลนด์”
มุมปากของมอร์เดร็ดกระตุกเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้ารับ สิ่งต่อรองนี้มากเกินกว่าที่มาร์ควิสกาตอนสั่งเอาไว้มาก แต่ในตอนนี้ก็คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับข้อตกลงนี้แต่โดยดี ในโลกใบนี้นัวแลนด์ไม่ใช่เพลนแห่งเดียวบนโลกแต่นัวแลนด์เป็นหนึ่งในเพลนที่อยู่อันดับต้นๆ
ตามกฎของโลก การไหลของเวลาในนัวแลนด์จะเดินช้ากว่าเวลาของเพลนอื่นๆ 10 ปีในนัวร์แลนด์อาจเทียบเท่ากับหนึ่งศตวรรษของเพลนส์เล็กๆ แม้บรรดาศักดิ์ในตำแหน่งมาร์ควิสจะร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่ถูกนำมาต่อรองในครั้งนี้นั้นอาจจะเป็นรายได้ครึ่งหนึ่งของกาตอนเลยก็ว่าได้ ชารอนรู้ดีว่าการต่อรองเช่นนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการขยายตัวอำนาจในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน เป้าหมายต่อไปของกาตอนในตอนนี้คือการได้สร้างฐานอำนาจของเขาในเมืองหลวงของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ เมืองในตำนานเฟาสต์และเพื่อสร้างฐานอำนาจในสถานที่เหล่านี้ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากร และไม่ว่าในตอนนั้นเขาจะต้องใช้ทรัพยากรมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เขาควรจะเตรียมพร้อมไว้ก็คือทรัพยากรในจำนวนที่ ‘มากเกินพอ’
ถึงตอนนี้มอร์เดร็ดก็นึกขึ้นมาได้ว่าในกลุ่มของชนชั้นสูงในสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ มีผู้ขนานนามชารอนอย่างลับๆไว้ว่า ‘ผู้ดูดเลือด’
คติพจน์ของนางเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือ ถึงข้าจะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ข้าจะต้องเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุด
ชารอนพูดต่อหลังจากนั้นว่า “ข้าจะช่วยกาตอนในพิธีขอพรจากมังกรนิรันดรในครั้งหน้า”
มอร์เดร็ดเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงเพราะข้อเสนอนี้ของชารอนเป็นไปตามที่มาร์ควิสกาตอนคาดการณ์เอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมอร์เดร็ดก็ยังรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง เนื่องจากเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่การตกลงของทั้งสองฝ่ายกลับราบรื่นและจบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการตรวจสอบกันหลายครั้งหรือใช้เวลายาวนานในการต่อรองเลย
เป็นการตกลงที่ง่ายดายมากเกินไป!
เมื่องานชิ้นสำคัญที่สุดของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว มอร์เดร็ดก็เตรียมตัวเดินทางออกจากดีพบลูทันที ขณะที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องเสี้ยววินาทีหนึ่งเขาก็ลอบหันกลับไปมองริชาร์ดอีกครั้ง ในแววตาของเขามีแต่ความสับสน เขาไม่แน่ใจนักว่าการที่ต้องเอาผลกำไรทั้งหมดร้อยกว่าปีของเพลนมาแลกกับเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่สมควร แต่เขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงอดที่จะนึกสงสัยไม่ได้เหมือนกัน
หลังจากนั่งมองมอร์เดร็ดจากไป ชารอนก็สะบัดมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณ เหล่าเมจระดับ 12 จำนวน 18 คนก็ทยอยออกไปจากห้องโถงอย่างเงียบๆ เหลือเพียงนางและริชาร์ดที่ยังคงดิ้นรนเพื่อต้านทานพลังเวทมนตร์ แม้ว่าทั้งตัวของเขาจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแต่ริชาร์ดก็ยังคงยืนหยัดอยู่เช่นนั้น ความอดทนที่เขาถูกฝึกมาตั้งแต่เล็กๆมีประโยชน์มากที่สุดแล้วในวันนี้
เลเจนดารี่เมจบนบัลลังก์คริสตัลเคาะนิ้วเบาๆ เล็บของสองนิ้วชนกันจนเกิดเสียง ติ้ง! ขึ้นครั้งหนึ่ง พลังเวทย์มนตร์ที่ซ่อนอยู่ในอ่างเก็บน้ำมายาที่อยู่ใต้ดินก็ค่อยๆลดลง ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นภายในจิตสำนึกของริชาร์ดก็หายวับไป พลังเวทย์ทั้งหมดก็ไหลกลับเข้าภายในร่างกายของริชาร์ด ด้วยวิธีการแบบนี้แม้แต่คนที่ ‘ไม่มี’พรสวรรค์ทางเวทมนตร์ก็ยังสามารถแสดงความสามารถที่ ‘โดดเด่น’ ออกมาได้
นี่เป็นแค่อุบายเล็กๆของชารอนเท่านั้น และมอร์เดร็ดเองก็มองออกเพราะชารอนไม่ได้คิดที่จะปกปิดตั้งแต่ต้น และความสามารถและทักษะต่างๆของนางยังมีอีกมากมาย เพียงแต่นางแค่ไม่นึกอยากจะใช้มันก็เท่านั้น แม้ว่าชารอนจะใช้ทริคเพื่อสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ในเมื่อมอร์เดร็ดก็ได้ในที่ต้องการ มันจึงไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก เห็นได้ชัดว่าแม้ไนท์ผู้นั้นจะมองกลอุบายของนางออกแต่เขาก็ไม่คิดที่จะพูดถึงหรือทักท้วง แค่ ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้
ริชาร์ดที่ควบคุมลมหายใจได้เป็นปกติแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปยังชารอน เขาตกใจเล็กน้อยแม้ว่าชารอนจะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปมาก แต่ความสง่างามอันน่าประทับใจของนางก็ยังทรงพลังและอันตรายมากกว่าปีศาจร้าย ลักษณะภายนอกของนางดูๆไปแล้วราวกับหญิงสาววัยเพียงแค่ 17-18 เท่านั้น หญิงสาวที่ดูอ่อนเยาว์และมีผิวขาวและอวบอั๋นจนน่ากัดคนนี้จะมาเป็นอาจารย์ของเขาตั้งแต่วันนี้จริงๆหรือ ?
“พ่อของเจ้า ‘ขาย’ เวลาสองสามปีของเจ้าให้กับข้าแล้ว” เลเจนดารี่เมจใช้คำว่า ‘ขาย’ ในคำพูดของนางด้วยความหมายที่คลุมเคลือ ซึ่งริชาร์ดผู้ที่ไม่ได้มีทักษะในการฟังในระดับสูงก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายโดยนัยนั้นได้ และเป็นเพราะขณะที่ครูสอนเวทมนตร์ผู้ยิ่งใหญ่และนักฆ่าตัวยงกำลังเจรจากันเรื่องราคา หนุ่มน้อยริชาร์ดต้องรับมือกับความทรมานที่เกิดจากพลังเวทมนตร์ที่ต้องการจะกำจัดเขาออกไปจากที่แห่งนี้จึงทำให้เขาไม่ได้ฟังข้อต่อรองของทั้งสอง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นนักเรียนของข้าและเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของข้าทุกคำ ไม่ว่าข้าจะสั่งให้เจ้าทำอะไรก็ตาม” น้ำเสียงของชารอนเต็มไปด้วยความดุดันและเยือกเย็น
“ครับ” ริชาร์ดรับคำอย่างสุภาพ ในระหว่างที่เดินทางมาเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบและหน้าที่ของผู้เรียนเวทมนตร์มาแล้ว
ชารอนกระดิกนิ้วอีกครั้ง เมจระดับสูง 2 คนก็ปรากฎตัวขึ้น ทั้งสองพาริชาร์ดออกไปจากห้องโถง หลังจากที่ชารอนรับเขาเป็นนักเรียนแล้ว ริชาร์ดก็แสดงความเคารพด้วยกิริยาที่นอบน้อมและมีมารยาท โดยที่เขาไม่ได้เงยหน้ามองอาจารย์คนใหม่ของเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีกเลย เพราะเขารู้ดีว่าการทำแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไร้มารยาทมากที่สุด และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ริชาร์ดไม่เห็นกิริยาท่าทางของเลเจนดารี่เมจที่มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด มันเป็นสายตาของหมีหิวโหยที่มองเห็นปลาแซลม่อน มันทั้งดูหิวกระหายและเต็มไปด้วยความโลภที่ปะทุออกมาอย่างรุนแรง
ไม่ง่ายเลยที่ชารอนจะสะกดกลั้นอารมณ์ของนางไว้และรอจนกว่าทุกคนจะออกไปนอกห้องโถงนี้ทั้งหมด และถ้าหากว่าช้ากว่านี้อีกนิด นางก็คงจะห้ามเสียงหัวเราะของตัวเองไว้ไม่อยู่อีกต่อไป บัดนี้ใบหน้าเรียวเล็กของผู้เป็นถึงเมจในระดับเลเจนดารี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข นางคลี่ม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกเผยให้เห็นแผนที่เวทมนตร์สามมิติซึ่งเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เวทมนตร์มากมายที่ระบุพิกัดของสถานที่นับร้อย
ชารอนกวาดตามองไปยังเครื่องหมายของมังกรขนาดใหญ่สิบกว่าตัวที่อยู่บนแผนที่ด้วยความสนใจ นางตัดสินใจแล้วว่าจะปล้นรังมังกรสองสามรังเพื่อเฉลิมฉลองวันที่สุดแสนจะมีความสุขเช่นนี้
“วันนี้จะทำอะไรดีนะ อืม… อ่าใช่…ปล้นมังกร เอ….จะปล้นมังกรตัวเดียว หรือว่าจะปล้นสักสองสามตัวดีล่ะ!?” เลเจนดารี่เมจผู้เลอโฉม รำพึงกับตัวเองด้วยความรู้สึกรื่นรมย์