นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 6 ตระกูล
ในระหว่างการเดินทางไกล ริชาร์ดก็ได้ตระหนักว่าพ่อของเขาคือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เขากำลังมองดูคาบสมุทรอาซานที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งมีเมืองที่มีประชากรมากกว่า 100,000 คน เมืองถูกสร้างขึ้นไปตามแนวชายฝั่ง มันดูเหมือนกับเส้นโค้งที่ยืดไปถึงหมู่เกาะของทะเลอเพนไนน์ บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือมีความสูงชัน แผ่นดินที่มีลักษณะเป็นชิ้นแคบๆและยาวนี้เหมือนกับอสูรที่กำลังนอนหลับกั้นกลางระหว่างสวรรค์กับทะเล
บ้านและถนนของอาซานถูกวางอย่างมีระบบ กำแพงสูงกว่า 20 เมตรถูกสร้างขึ้นล้อมรอบเมืองเพื่อป้องกันภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัย ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์และน้ำจืดที่มีอยู่ตลอดทั้งปีซึ่งไหลผ่านชานเมือง มีแม่น้ำไรน์เป็นแม่น้ำสายสำคัญตัดผ่านกลางเมืองและไหลลงสู่ทะเล มันมอบความอุดมสมบูรณ์ให้กับเมืองนี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ปราสาทแบล็คโรสตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเหนือเขตเมือง ด้วยการก่อสร้างที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ทำให้สามารถเป็นที่อยู่ของนักรบมากกว่า 3,000 ชีวิตได้ เครื่องเหวี่ยงหินมากมายถูกสร้างอยู่ตามหอคอยและแนวกำแพงของปราสาท แม้กระนั้น จนถึงตอนนี้พวกมันแต่ละอันก็ยังไม่เคยถูกใช้เลยสักครั้ง ไม่เคยมีศตรูที่ผ่านกำแพงของเมืองเข้ามาได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องบุกปราสาท
ปราสาทของแต่ละเมืองมักจะถูกออกแบบมาอย่างดีที่สุด สถาปนิกจะประณีตและระมัดระวังในทุกรายละเอียด มีการเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มกลไกที่ซับซ้อนเพื่อสร้างระบบป้องกันที่มั่นคงปลอดภัย เชิงเทินหรือใบเสมาบนกำแพงปราสาทที่ทำจากไม้สามารถยืดและหดได้ และทางเข้าเมืองที่เหมือนกับอุโมงค์มีประตูระบายน้ำอย่างน้อยๆ 5 บานที่มีความลึกมากกว่า 10 เมตร และมีกับดักอื่นๆอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่ากันว่าเพียงแค่ใช้ทหาร 1000 คน ก็สามารถป้องกันปราสาทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบตราบใดที่พวกเขายังมีเสบียงเพียงพอ
นักเดินทางจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชมเมืองนี้ แต่ละคนก็มีแรงจูงใจของตัวเอง แต่พวกเขาทั้งหมดต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าสถาปนิกที่ออกแบบปราสาทแบล็คโรสเป็นนั้นเป็นอัจฉริยะ แม่ทัพจากตระกูลชั้นสูงเคยถูกเชิญมาเพื่อวิเคราะห์ระดับการป้องกันของปราสาทแห่งนี้ และเขาก็สรุปว่าแม้จะด้วยกองทัพที่มีอาวุธชั้นดีพร้อมด้วยทหารอีก 50,000 คน และยุทโธปกรณ์ที่ดีที่สุดก็ไม่ง่ายเลยที่จะฝ่าแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของปราสาทไปได้ ด้วยกำลังรบในระดับที่ว่ามานี้ หากจะบุกยึดปราสาทให้สำเร็จก็ยังต้องแลกมาด้วยความเสียหายที่ต้องจ่ายในราคาแพง
อย่างไรก็ตามปราสาทนี้ก็ยังไม่เคยถูกทดสอบ ลอร์ดคนก่อนไม่เคยสนใจในระบบการป้องกัน และแม้ว่าพวกเขาจะมีกองทัพที่อ่อนแอกว่าศัตรู แต่พวกเขาก็จะใช้ข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่มีฐานที่มั่นอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่เพื่อสังหารศัตรู โดยจะใช้รูปแบบของสงครามกองโจร และไม่ว่าจะเจอกับศัตรูแบบไหนพวกเขาก็ไม่เคยแพ้
ความบ้าระห่ำของอาเครอนเป็นที่รู้จักกันดีในสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครอยากที่จะต่อกรกับคนบ้าเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อตระกูลมีผู้หนึ่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่สุดตลอดกาล เคยมีคนพูดว่าการรวมกันระหว่างความบ้ากับความอัจฉริยะช่วยเพิ่มความยิ่งใหญ่ของตระกูลได้เป็นทวีคูณ ดยุกโจเซฟแห่งคาบสมุทรเรน่อนเคยเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาเครอน กองทัพทหาร 20,000 คนของเขาพ่ายแพ้ให้กับกองทัพของอาเครอนในการสู้รบที่ยาวนานและรุนแรง มีผู้รอดชีวิตกลับมาไม่ถึง 10 คน และนี่ไม่ใช่กองทัพธรรมดาทั่วๆไปเพราะกองทัพของโจเซฟได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในกองทัพที่ดีที่สุดในทวีป
ตระกูลอาเครอนมี 2 มาร์ควิส และ 7 เอิร์ล * ซึ่งเป็นตระกูลที่กำลังพัฒนาขึ้นมาในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีไวเคานต์และบารอนอีกเป็นจำนวนมาก ตระกูลนี้ถือครองดินแดนกว่า 25 ล้านเอเคอร์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ครอบครองประวัติศาตร์ที่เก่าแก่และยาวนาน แต่ความแข็งแกร่งและอิทธิพลของพวกเขาในสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่น้อยๆ มันน่าแปลกที่แม้ว่าพวกเขาจะได้ตำแหน่งสูงๆหลายตำแหน่ง แต่ภายในตระกูลกลับไม่มีผู้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นดยุก และไม่ต้องพูดถึงแกรนด์ดยุก แต่พวกเขาก็มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ เมจที่ทรงพลัง วอริเออร์ที่แข็งแกร่ง และบรรดาคลาสแปลกๆอย่างเช่นดราก้อนวอล็อค, เฮลไรเดอร์ และชาโดว์ชาแมน ซึ่งนับว่าเป็นกองกำลังที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย
* ตำแหน่งขุนนางเรียงตามลำดับจากต่ำไปสูงดังนี้ 1. บารอน 2. ไวเคานต์ 3. เอิร์ล 4. มาร์ควิส 5. ดยุก 6. แกรนด์ดยุก
ความสงบสุขในทวีปนัวแลนด์ไม่มีจริง นัวแลนด์นั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งสงคราม เผ่ามนุษย์ครอบครองพื้นที่ไม่ถึงครึ่งทวีป แต่ก็ทำสงครามกับเผ่าอื่นอย่างต่อเนื่องเพื่อแย่งชิงดินแดนและความอยู่รอด อย่างไรก็ตามการทำสงครามของมนุษย์ไม่เหมือนกับสงครามของปีศาจ แม้พวกปีศาจจะสู้รบกับเผ่าอื่นๆ แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาจะรบราฆ่าฟันกันเองในเผ่าพันธุ์ด้วย ไฟแห่งสงครามที่ไม่มีวันดับ และการสู้รบที่ไม่มีที่สิ้นสุดบนทวีปแห่งนี้ สั่นสะเทือนลึกลงไปถึงใต้ท้องมหาสมุทร รวมถึงลุกลามไปยังทวีปอื่นๆด้วย
แต่ด้วยความโกลาหลที่เกิดขึ้นในดินแดนนี้ ก็คงจะไม่ยากนักที่อาเครอนจะมีดยุกและแกรนด์ดยุกเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ชั่วอายุคนนี้ พวกเขาแค่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด สร้างระบบการปกครองที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบกฎหมาย การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และแบ่งปันกำไรอย่างทั่วถึง อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของดยุกในตอนนี้ของสหพันธ์ก็มีที่มาจากวิธีการแบบนี้
การผงาดขึ้นมาของอาเครอนนั้นไม่ได้ด้อยกว่าใคร แต่ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ยาวนานของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่ได้มีความมั่งคั่ง รวมถึงกำลังและอำนาจ เทียบเท่ากับตระกลูอื่นๆ และอีกปัญหาหนึ่งก็คือพวกเขาบ้าเกินกว่าที่จะได้รับความเคารพจากคนอื่นๆ
ผู้นำคนปัจจุบันของอาเครอนก็คือ มาร์ควิสกาตอน เขาเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยม เมื่อ 15 ปีก่อน คนผู้นี้ยังเป็นเพียงวอริเออร์ระดับ 3 แต่เขาก็สามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาต่อจากนั้น ในตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาโค่นล้มปราสาทซิลเวอร์มูน และกวาดล้างเผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งป่าเอฟเวอร์ไนท์ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านั้น ผู้กล้ามากมายเหยียบเข้าไปในป่าเอฟเวอร์ไนท์ก่อนเขา แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดที่มีฝีมือเก่งกาจพอที่จะทำได้สำเร็จได้ด้วยการใช้รูนไนท์เพียง 50 คน และทหารอีก 1000 คน
กาตอนได้เป็นมาร์ควิสตั้งแต่อายุ 33 ปี เขาย้ายเข้ามาที่ปราสาทแบล็ครูสและปกครองอาซานซึ่งเป็นอาณาเขตของผู้นำแห่งอาเครอน ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาถูกเป็นที่โจทย์จันและเล่าขานกันราวกับเป็นตำนาน คนมากมายบอกเล่าเรื่องราวกันปากต่อปาก และบางคนก็ยังเขียนออกมาเป็นหนังสืออีกด้วย ทว่าในความเป็นจริงนั้น อิทธิพลของเขาครอบคุมแค่ปราสาทแบล็คโรสและดินแดนที่เขาช่วงชิงมา สมาชิกตระกูลคนอื่นๆมักจะ ‘เพิกเฉย’ หรือบางครั้งก็ ‘ละเลย’ ต่อคำสั่งของเขา หากไม่ได้เป็นผู้ครอบครองปราสาทแบล็คโรสแล้วล่ะก็ ผู้นำอย่างมาร์ควิสกาตอนก็แทบจะไร้ความหมาย
นักประวัติศาสตร์หลายคนศึกษาเกี่ยวกับตระกูลอาเครอนและสรุปเหตุผลว่าเหตุใดอาเครอนจึงไม่มีดยุกเลย นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขามักจะมีกบฏในสายเลือดเกิดขึ้นเสมอ ไม่มีอาเครอนคนไหนที่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้คนอื่น แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นบิดาของเขาเองก็ตาม!
การศึกษาพวกนี้ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด และนักประวัติศาสตร์พวกนั้นก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นมันจึงยากที่พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนหรือการต้อนรับที่ดีจากอาเครอน พวกเขาทำได้เพียงแค่ทำการค้นคว้าโดยไม่ได้พูดคุยหรือเคยมีการสัมพาษณ์คนในตระกุลอาเครอนเลย พวกนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และนักวิจัยของอาเครอนเองก็ไม่เคยได้รับการสนับสนุน และในท้ายที่สุดพวกเขาก็หนีไม่พ้นต้องกลายเป็นขอทานข้างถนนไป
มีข่าวลือว่าผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเปิดดูงานวิจัยของพวกเขาแบบผ่านๆเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่พวกเขาส่งผลงานวิจัยไปให้ และหลังจากนั้นก็สั่งให้สมาชิกในตระกูลเลิกสนับสนุนเหล่านักประวัติศาสตร์ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่คนในตระกูลอาเครอนที่มักจะกบฏยอมทำตามคำสั่ง เหตุผลก็เพราะว่าแม้ว่ารายงานพวกนั้นจะเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ หรือข้อมูลที่ไม่มีการอ้างอิง แต่ข้อสรุปของงานวิจัยนั้นคือ ‘ความจริง’
หมู่บ้านรูสแลนด์อยู่ห่างจากอาซาน 3000 ไมล์ การเดินทางไปยังเมืองแห่งนั้นจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งเดือน มอร์เดร็ดเล่าประวัติศาสตร์ให้ริชาร์ดฟังระหว่างการเดินทาง พร้อมกับบอกข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีและอำนาจต่างๆในแผ่นดินหลัก ในตอนที่พวกเขามาถึงอาซาน ริชาร์ดก็รู้เรื่องราวของตระกูลของเขามากขึ้น
คำว่า ‘ตระกูล’ เป็นสิ่งแปลกใหม่ของหนุ่มน้อยที่ไม่เคยเข้าใจแม้แต่คำว่าพ่อมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ทว่ามันกลับสำคัญมากสำหรับการจะกลายเป็นไนท์ผู้ยิ่งใหญ่ และมันยังมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า มันไม่ใช่แค่การมีสายเลือดโดยตรง หรือเป็นญาติทางสายเลือดห่างๆเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีชนชั้นสูงและไนท์มากมายที่ล้วนแล้วแต่ถือว่าเป็นสมาชิกของตระกูล
‘สายเลือด’ เป็นตัวเชื่อมโยงทุกคนในตระกูลเข้าด้วยกัน แต่สายเลือดก็มีหน้าที่ที่เหนือกว่านั้นอีกด้วย สายเลือดที่ต่างกันออกไปก็จะมีอบิลิตี้ที่แตกต่างกัน และการรวมตัวกันของพวกเขาก็เป็นผลให้เกิดพลังอำนาจใหม่ บางคนก็จะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และคนจำนวนมาก็ต้องตายจากการไล่ตามพวกเขา ดังนั้นการแต่งงานของเหล่าเชื้อพระวงศ์จึงมีความสำคัญและมีความหมายมากในนัวแลนด์ มันไม่ใช่แค่เกมส์การเมือง แต่มันเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และพลังอำนาจให้ลูกหลาน
ริชาร์ดยืนอยู่หน้าทางเข้าปราสาท ตอนนี้เขาน่าจะเข้าใจในรากฐานของอาเครอนแล้ว ทว่าเขากลับพบว่าตัวเองสับสนมากกว่าที่เคย ข้อมูลที่มอร์เดร็ดให้เขามามันเหมือนกับจิ๊กซอชิ้นเล็กๆ ที่ไม่สามารถเอามาต่อกันได้