นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 49 การประชุม
ในอีกมุมหนึ่งของบ้านพัก ริชาร์ดและเม้าเทนซีต่างเริ่มหมกมุ่นในบทสนทนาระหว่างกันมากขึ้น นางเล่าเรื่องการออกล่าที่สนุกสนานในปีที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างกระตือรือร้น ซึ่งเป็นตอนที่นางจับช้างแมมมอธได้ด้วยตัวเอง
ถึงตอนนี้ ริชาร์ดตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป “เดี๋ยวนะ” เขาถามด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าเป็นวอริเออร์งั้นรึ ?”
คำตอบของนางชี้ชัดว่านางคิดไว้แล้วว่าจะเจอคำถามนี้ “ก็ใช่น่ะสิ ! เหล่าผู้อาวุโสยังบอกเลยว่าข้าอาจเป็นทายาทของโทเทมิควอริเออร์ในอนาคต !”
คำพูดของนางทำให้เขาเริ่มสับสนเล็กน้อย “เอ่อ… แล้ว… แล้วเจ้าเรียนเวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ ? คือ… คือว่าข้าหมายถึงว่ามันจะไม่ขัดแย้งกับเส้นทางของเจ้าจนทำให้การพัฒนาของเจ้าช้าลงอย่างนั้นเหรอ หากว่าเจ้าเรียนรู้ถึง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน ?” ริชาร์ดพูดตะกุกตะกักเพราะเขาพยายามหาคำพูดให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่ทำลายความภาคภูมิใจของนาง
“ทำไมข้าจะต้องอยากเรียนเวทมนตร์ด้วยล่ะ ? มันช่างซับซ้อนและไร้ประโยชน์… เอ่อ ข้าข้าโทษนะ ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า…” นางรีบขอโทษจนลิ้นพันกันไปหมด ทว่าในตอนนี้สายตาของนางกำลังจับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากของเขาซึ่งแววตาของนางดูเหมือนคนตะกละ
ริชาร์ดหันหลังกลับทันที และจิตใต้สำนึกได้บอกกับเม้าเทนซีว่านางได้เผลอเปิดเผยตัวเองออกไป นางนั่งลงตรงหน้าริชาร์ดทันทีและเริ่มอธิบายด้วยใบหน้าเฉยเมย “เวทมนตร์น่ะไม่มีประโยชน์สำหรับข้าหรอก ข้าสามารถทำลายคาถาที่มีระดับต่ำกว่า 5 ได้สบาย ๆ และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมาล้มข้าด้วยคาถาระดับ 6 เช่นกัน นี่ขนาดข้ายังเด็กและไม่มีประสบการณ์ยังทำได้เช่นนี้ เมื่อข้าเติบโตขึ้น ข้าก็จะสามารถหลบหลีกและป้องกันคาถาที่แข็งแกร่งได้มากขึ้นอีก”
ถึงแม้ริชาร์ดจะรู้อยู่แล้วว่าพลังของนางนั้นน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านางจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าแคลนเดอร์นั้นจะไม่ได้ด้อยไปกว่านัวแลนด์เลย
“เอาล่ะ หากว่าเจ้าไม่ได้คิดจะเรียนเวทมนตร์ งั้นทำไมเจ้าถึงมาเป็นลูกศิษย์ของมาสเตอร์ ?”
เม้าเทนซีเอานิ้วมือหมุนไปรอบ ๆ เปียช่อหนึ่งของนางก่อนจะตอบราวกับเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป “เพราะว่าชารอนเป็นถึงเลเจนดารี่เมจไงล่ะ ข้าเพียงแค่ต้องการให้คนระดับนั้นมาเป็นที่ปรึกษาให้ข้า ไม่ใช่เฉพาะนางหรอก รวมนางด้วยแล้ว ตอนนี้ข้ามีอาจารย์ที่ปรึกษาที่เป็นเลเจนดารี่ถึง 3 คนเลยนะ และยังมีท่านแม่กับท่านยายของข้าอีกด้วย เหล่าผู้อาวุโสบอกว่าเราทำเพื่อให้เรามีพื้นหลังที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวนัวแลนด์มองว่าสำคัญมาก ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากที่นี่เลย แต่มันก็คุ้มค่าแล้วที่เดินทางมาที่นี่เพื่อเป็นการเติมเต็มให้พื้นหลังดูดีน่ะ ที่ข้าจะพูดก็คือ ก็คือ… ก็คือ… สตีลร็อค !”
ร่างใหญ่ราวกับภูเขาของบาร์บาเรียนวอริเออร์รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเม้าเทนซีก่อนจะก้มลงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของนางอย่างทุลักทุเล “มันเรียกว่าการเคลือบทอง พะย่ะค่ะ”
“การเคลือบทอง อย่างนั้นเหรอ ?” นางถามกลับ “ทำไมต้องเป็นทองล่ะ ? มันมีอยู่ทุกที่ไม่ใช่เหรอ? เหล็กหยกเวทมนตร์จากนรกขุมที่ 9 จะไม่เป็นภาพลักษณ์ที่ดีกว่าหรอกเหรอ ?”
บาร์บาเรียนวอริเออร์ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน เขาถูมือทั้งสองข้างไปมาพลางทำหน้าเจื่อน ๆ ก่อนพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้นางฟัง “อาจเป็นเพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีราคาสูงและล้ำค่ามากในนัวแลนด์ ดูสิ ทุกอย่างที่นี่ถูกตีราคาด้วยทองทั้งนั้น”
เม้าเทนซีเข้าใจในที่สุด “อ้อ ถ้าเช่นนั้นข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านผู้อาวุโสบอกว่าที่นัวแลนด์น่ะ สไปเดอร์คริสตัลกับทองคำเป็น 2 สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ !” สตีลร็อคพูดเสียงอันดังพลางรู้สึกประทับใจในความเฉลียวฉลาดของหญิงสาว
ในตอนนี้ริชาร์ดรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเขายังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร หากแบล็คโกลด์อยู่ตรงนี้ด้วย เขาคงจะวิพากษ์วิจารณ์ความโง่เขลาของเหล่าบาร์บาเรียนด้วยหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ไปนานแล้ว หน่วยของสกุลเงินที่เล็กกว่านั้นไม่เหมือนกันกับสิ่งที่มีมูลค่ามากกว่า สไปเดอร์คริสตัลไม่สามารถแทนที่เหรียญทองได้ แม้แต่แบล็คโกลด์เองก็ต้องยอมรับว่าเหรียญทองกับสไปเดอร์คริสตัลนั้นอยู่ในขอบเขตที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
เวลาที่ต้องเข้าพบเลเจนดารี่เมจมาถึงอย่างรวดเร็ว ชารอนเป็นผู้ที่ให้ความสนใจกับการตรงต่อเวลาเสมอ แต่นั่นหมายถึงคนอื่นที่จะต้องตรงเวลากับนาง เพราะสำหรับตัวนางเองนั้นกลับขาดสิ่งนี้ไป ซึ่งนั่นเป็นลักษณะที่เหมือนกับมังกรมาก ความล่าช้า 1–2 ชั่วโมงที่เกิดจากนอนหลับเลยเวลานั้นเป็นเรื่องธรรมดา และเหล่าแกรนด์เมจส่วนใหญ่ก็เข้าใจสถานการณ์นี้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว เลเจนดารี่เมจไม่สามารถเสียเวลาใด ๆ ได้เลย แม้ว่าการนอนหลับจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่มานาของนางจะได้เพิ่มขึ้นก็ตาม เพราะชารอนเป็นเสาหลักของการก่อตั้งดีพบลูด้วยเพราะความสามารถที่กว้างขวางและลึกซึ้งของตัวนาง
อย่างไรก็ตาม ตามสถานการณ์โดยทั่วไปนั้น คนอื่น ๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการเข้าพบเลเจนดารี่เมจต่างก็ไม่ได้มีปัญหากับการต้องนั่งรอนางอย่างน้อยก็สัก 2–3 ชั่วโมง
ช่วงบ่ายนี้ริชาร์ดและเม้าเทนซีได้เจอทั้งโชคดีและโชคร้าย ซึ่งส่วนที่เรียกว่าโชคดีก็คือเลเจนดารี่เมจตื่นอยู่ก่อนแล้วตอนที่พวกเขาไปพบ แต่ส่วนที่เรียกว่าโชคร้ายก็คือ นางไม่ได้ตื่นด้วยตัวเอง !
ชารอนจัดการประชุมกับทั้งริชาร์ดและเม้าเทนซีในสถานที่เดียวกันซึ่งก็คือโถงต้อนรับขนาดเล็กที่มีความกว้างน้อยกว่า 200 ตารางเมตร นี่คือหนึ่งในห้องโถงที่ธรรมดาที่สุดในที่พักส่วนตัวของนาง
ขณะนี้ชารอนกำลังนอนอยู่บนโซฟาไม้ ขาของนางพาดอยู่ตรงที่พักแขน มือซ้ายพาดยาวไปบนที่นั่งโดยที่นิ้วมือก็กำลังเอื้อมไปหยิบผลไม้ในตะกร้าทองคำเป็นครั้งคราว ผลไม้เหล่านั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เองเพราะมันหล่นเข้าไปในปากของนางทีละลูก ๆ ก่อนหายเข้าไปในท้อง ท่าทางของนางในตอนนี้ไม่ได้ดูสง่างามเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพอันสวยงามจากแขนและน่องที่เรียวงามของนางนั้นทำให้มองข้ามความไม่สง่านี้ไปได้เลย ดวงตาของนางเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งทว่าม่านตาที่แวววาวนั้นไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดเลย คนที่รู้จักนางจะเข้าใจดีว่านี่เป็นสัญญาณของการนอนไม่พอ และมันก็เป็นช่วงที่นางอันตรายมากที่สุด
เสียงดนตรีหวาน ๆ และไพเราะดังก้องกังวานไปทั่วโถงต้อนรับอยู่พักหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีพลังในการกระตุ้นให้ตื่น ทว่าไม่ได้ผลกับเลเจนดารี่เมจในตอนนี้ เปลือกตาที่แสดงถึงความอิดโรยนั้นแทบจะร่วงหล่นราวกับว่านางกำลังจะงีบหลับต่ออย่างไม่รู้จบ
ทันใดนั้นเอง เส้นผมของนางก็ชี้ขึ้นราวกับมีชีวิตของมันเอง นางมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง มันเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นก่อนพุ่งตรงขึ้นไปจนสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้แก่นางจนต้องร้องออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน
ตอนนี้ชารอนลืมตาเต็มที่แล้ว แลมันก็มีแววแห่งความลุกโชนไปด้วยความโกรธจัด ลมหายใจสีสันสดใสที่พ่นออกจากจมูกของนางนั้นเต็มไปด้วยพลังงานธาตุที่ไม่สามารถทำลายได้ ธาตุต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศดูเหมือนจะถูกปลุกขึ้นในเพียงเสี้ยววินาที มันส่งเสียงเชียร์และเต้นรำอยู่ใกล้ ๆ เลเจนดารี่เมจก่อนจะค่อย ๆ ก่อตัวเป็นร่องรอยลึกลับรอบตัวนางและพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของนาง
ชารอนมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาตื่นตระหนกเพื่อมองหาศัตรู ทว่าก็ไร้เงาใด ๆ ที่สายตาจะมองเห็น จะมีก็แต่ขนมขบเคี้ยวและผลไม้เท่านั้นที่ขยับเคลื่อนไหวอยู่ ดูเหมือนว่าไม่มีเป้าหมายอื่นใดที่จะต้องทำลาย
และนางก็เหลือบมองนาฬิกาที่คงที่ขณะที่เส้นผมที่ชี้อยู่ร่วงกลับลงมาที่เดิม แต่ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ นางก็หัวเราะออกมาและเริ่มต้นเคาะที่พักแขนของโซฟาไม่กี่ครั้งเพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังนาฬิกาแบบเดียวกันกว่า 12 เรือน ซึ่งนี่คือสัญญาณเรียกตัวแกรนด์เมจของดีพบลูให้มาทำการประชุมฉุกเฉิน
หลังจากนั้นไม่นาน แกรนด์เมจทั้ง 17 คนก็มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน กลุ่มของดาร์กเอลฟ์เคลื่อนย้ายเก้าอี้ของตนเองไปตามตำแหน่งขณะที่ชารอนเคาะนิ้วมือของนางเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลด้านนอกพาผู้มาเยือนเข้ามาในห้องโถง เม้าเทนซีดึงตัวริชาร์ดเข้ามาในห้องโถงด้วยความรักใคร่ สตีลร็อค ผู้อาวุโส และผู้คุ้มกัน 2 คนเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ไม่ใช่ผู้มาเยือนทุกคนที่จะได้รับอนุญาตให้พาผู้ดูแลเข้ามาในห้องโถงเช่นนี้ได้ มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากชารอนเท่านั้น
แววตาของเลเจนดารี่เมจสว่างขึ้นทันทีเมื่อเห็นเหล่าผู้มาเยือนที่กำลังเดินตรงเข้ามา สายตาของนางชำเลืองมองผ่านสตีลร็อค ผู้อาวุโส และผู้คุ้มกันไปทีละคน นางพบว่าไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับสตีลร็อคและผู้คุ้มกันทั้ง 2 คนนั้น และแม้ว่าก้าวเดินของผู้อาวุโสจะดูช้าไปในตอนแรก แต่เขาก็เร่งฝีเท้ามาจนเท่ากับเม้าเทนซีได้
แกรนด์เมจทั้ง 17 คนยืดตัวขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก การที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงมานาที่ซ่อนเร้นกระจายอยู่ในอากาศนั้น จากประสบการณ์ของพวกเขาทำให้รับรู้ได้ว่าผู้คุ้มกัน 2 คนของเม้าเทนซีอยู่ในระดับ 18 ส่วนสตีลร็อคนั้นอยู่ระดับที่สูงกว่า ในระยะประชิดเช่นนี้ เพียงแค่ 3 คนนั้นก็สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วหากพวกเขาไม่ป้องกันตัวเอง และยังมีผู้อาวุโสที่ดูชาญฉลาดอยู่ข้าง ๆ อีก ซึ่งพวกเขามองเห็นได้ไม่ชัดนัก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหญิงสาวจะดูเด็กและบอบบางแต่ออร่าความป่าเถื่อนและหดหู่ของนางนั้นก็ถูกปล่อยออกมาอย่างแรงกล้าจนทำให้นางดูเหมือนอสูรร้ายที่มีอายุน้อย
เนื่องจากปกติแล้วชารอนไม่ค่อยเรียกประชุมฉุกเฉินสักเท่าไหร่นัก เหล่าแกรนด์เมจจึงรู้ว่าจะต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาได้เห็นผู้ติดตามของหญิงสาว ทุกคนต่างก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าเมจสับสนก็คือทำไมเลเจนดารี่เมจจึงไม่ซ่อนความไม่เป็นมิตรไว้เพราะเห็นได้ชัดว่าริชาร์ดสนิทสนมกับหญิงสาวบาร์บาเรียนคนนี้ อย่างไรก็ตาม คนที่สนใจในรายละเอียดเหล่านี้มากพอจะสามารถรวมเรื่องราวเข้าด้วยกันและเชื่อมโยงความโกรธจัดของชารอนเข้ากับวันแห่งโชคชะตาที่ผ่านมาได้
ริชาร์ดสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาดและน่าอึดอัดได้เช่นกันโดยเขาสัมผัสถึงมันได้ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถง ลางบอกเหตุของพายุฝนฟ้าคะนองที่ใกล้ชิดเข้ามา รวมถึงเมื่อเขายกศีรษะขึ้นและได้สบตากับสายตาที่ทิ่มแทงของชารอนมันทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงดึงมือที่ยังจับกับมือของเม้าเทนซีไปด้านหลังอย่างเงียบ ๆ และทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลังจากที่เม้าเทนซีปล่อยมือเขาและโค้งคำนับอย่างสุภาพต่อหน้าชารอนและกลุ่มแกรนด์เมจก่อนจะถอยกลับมายืนที่มุมหนึ่ง ดุลยพินิจที่คาดไม่ถึงของนางทำให้เขาประหลาดใจ ด้วยพละกำลังมหาศาลที่นางมี หากว่านางไม่ยอมปล่อยมือเขา เขาก็คงไม่มีทางที่จะหนีไปที่ไหนได้ไม่ว่าจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ตาม
เม้าเทนซีเดินตรงเข้าไปหาชารอนและนั่งลงบนโซฟาใหญ่ตรงข้ามนางโดยอัตโนมัติก่อนจะเอนหลังพิงพนักในท่าสะดวกสบาย น่าประหลาดใจที่เม้าเทนซีไม่ได้สง่างามน้อยไปกว่าเลเจนดารี่เมจเลย
ชารอนเหลือบมองแววตาของฝ่ายตรงข้ามและถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร ?”
“เรียกข้าว่า ‘เม้าเทนซี’ ข้าเป็นนักเรียนที่จ่ายเงินเอง ท่านคือที่ปรึกษาของข้าใช่หรือไม่ ?” หญิงสาวตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางสง่างามของนางนั้นยังคงเทียบเท่ากับชารอน
“รึ ? นักเรียนของข้าอย่างนั้นรึ ?” ชารอนหัวเราะพลางทำหน้าบูดเบี้ยว “ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยสนใจศักยภาพของนักเรียนที่จ่ายเงินเรียนเองสักเท่าไหร่ แต่เจ้าเป็นบาร์บาเรียนวอริเออร์ที่เป็นผู้สืบทอดของโทเท็มศักดิ์สิทธิ์ ทำไมเจ้าถึงอยากจะเรียนเวทมนตร์จากข้าล่ะ ? หากข้าจำไม่ผิด พลังที่ดีที่สุดของเหล่าโทเท็มคือการลบล้างเวทมนตร์ไม่ใช่หรือ ?”
“ข้าก็ไม่ได้มีแผนที่จะเรียนเวทมนตร์จากท่านหรอก ข้ามาที่ดีพบลูเพราะท่านเป็นเลเจนดารี่เมจ และอันที่จริงแล้วจุดประสงค์ของข้าก็คือการที่จะได้เคลือบทอง !”