นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 44 ความขัดแย้ง
ในเวลานี้ ริชาร์ดเกลียดคนที่พยายามเข้ามาขัดขวางเขาเสียเหลือเกิน เพราะนั่นมันทำให้เขานึกถึงพาพิน
แม้ว่าพาพินจะเป็นคนที่มีความดีความชอบอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นคนทำลายวันครบรอบการจากไปของแม่ของเขา การระเบิดที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเรื่องที่สตีเว่นทำกับเขา แต่เหตุผลหลัก ๆ ที่ริชาร์ดกระตือรือร้นอยากจะกำจัดสตีเว่นนั่นก็เป็นเพราะเรื่องเกี่ยวกับเอริน
สำหรับการลอบสังหารเขาก่อนหน้านี้ ริชาร์ดไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เขารู้ดีว่ายังไงวันที่เขาต้องลงสนามรบเพื่อต่อสู้กับสตีเว่นก็ต้องมาถึงอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว หากเปรียบเทียบกับการพิชิตเพลน การลอบสังหารที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในใจของเขาตอนนี้มีสิ่งเดียวที่เขายังคงเก็บไว้นั่นคือการซักถามอย่างโหดร้ายที่นายาปฏิบัติกับบลัดแพร์รอท แม้ว่าเขายังไม่รู้เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดของใบมีดแห่งความพิบัติ แต่สำหรับเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่นัก สิ่งสำคัญที่เขาต้องการคือการเตรียมตัวให้คุ้นชินกับการที่ต้องเห็นเลือดจากศัตรูในอนาคตมากกว่า
ถึงแม้ว่าริชาร์ดจะไม่ชอบที่มีคนมาขัดขวางเส้นทางของเขา แต่มันก็เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองก็เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในตอนนี้สตีเว่นเองก็เป็นคนที่เขาอยากจะเผชิญหน้าน้อยที่สุดด้วย
วันนี้เขาได้พบกับสตีเว่นโดยบังเอิญ ดราก้อนวอล็อคยังคงมีรอยยิ้มที่สง่างาม เขายื่นมือออกมาตรงหน้าด้วยท่าทางที่ไร้ที่ติก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะริชาร์ด เจ้ามาที่นี่เพื่อการประมูลเช่นกันงั้นรึ ?”
เขามองหน้าสตีเว่นและยื่นมือออกไปจับมือก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า ? สิ่งเดียวที่ทำให้รอยยิ้มของเจ้าจะขยายกว้างขึ้นได้ คงเป็นการที่จะไม่ต้องเห็นหน้าข้าอีกไม่ใช่หรือ ?”
สตีเว่นหุบยิ้มทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจากที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลายเป็นปรากฏความโกรธผสมความประหลาดใจขึ้นมา ไม่มีใครคาดคิดว่าริชาร์ดจะพูดจาไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ คำพูดและการกระทำของริชาร์ดนั้นดูไม่เหมาะสมอย่างมาก โซแลมและอาเครอนต่างก็เป็นตระกูลขุนนางยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ตระกูลอาเครอนจะมีเพียงกาตอนเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงอำนาจก็ตาม
นี่เป็นหนึ่งในเส้นทางหลักของเทศกาลกลางฤดูร้อน ดังนั้น ภายในนี้จึงเต็มไปด้วยกิจกรรม และเนื่องจากช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลแล้ว ชาวต่างถิ่นจึงเริ่มหลั่งไหลเข้ามาที่นี่มากขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะขาดความมั่งคั่งและสถานะที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้พวกเขายังไม่สามารถเข้าสู่ภายในใจกลางดีพบลูได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่เดินดูรอบ ๆ จากชายแดนสู่ชั้นล่างของหอคอยหลักซึ่งมีแผงลอยค้าขายของสำหรับนักเดินทางเท่านั้น แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้มาจากดีพบลู แต่หากวางขายอยู่ภายในดีพบลู สินค้าเหล่านี้ก็ถือว่ามีคุณภาพอยู่ในขั้นที่สามารถรับได้
ฝูงชนเริ่มรวมตัวกันจนเกิดเป็นความตึงเครียดราวกับจะระเบิดออก แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สตีเว่นได้วางแผนการไว้อยู่แล้ว เขาต้องการทำให้ริชาร์ดเกิดความอับอายต่อหน้าสาธารณชนแม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้เขาได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ก็ตาม สตีเว่นระงับความโกรธและถอนมือของเขาออกมาอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่วางตัวว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมอาเครอนถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วนัก ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำทุกอย่างได้รวดเร็วในเวลาเพียงแค่ทศวรรษเดียว ในขณะที่ตระกูลอื่น ๆ ต่างก็ต้องใช้เวลากว่า 1,000 ปีถึงจะสามารถทำได้สำเร็จ”
ผู้เข้าชมงานเทศกาลที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาเริ่มเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ชื่อเสียงเกี่ยวกับการก้าวกระโดดที่รวดเร็วของอาเครอนกระจายไปทั่วสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ และข่าวดังกล่าวก็ถึงหูอีกสองจักรวรรดิมาแล้วเช่นกัน
ริชาร์ดยังคงอดกลั้นต่อการยั่วยุของสตีเว่น เขาจ้องหน้าสตีเว่นและตอบโต้กลับไป “อาเครอนมักเสแสร้งกับฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาเป็นปกติอยู่แล้ว”
สตีเว่นหน้าถอดสีหลังจากได้ยินในสิ่งที่ริชาร์ดกล่าว ซึ่งคำพูดนั้นทำให้คนของสตีเว่นทนฟังไม่ได้ วอริเออร์ก้าวออกมาข้างหน้า มือจับดาบที่เอวด้วยท่าทางพร้อมโจมตีก่อนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าบังอาจมากที่กล้าฉีกหน้าตระกูลโซแลม ! เหิมเกริมเกินไปแล้ว !”
ริชาร์ดไม่แม้แต่จะหันไปมองวอริเออร์ผู้นั้น สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่สตีเว่และกล่าวต่อไป “ข้าหลงคิดว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้เจ้าฉลาดขึ้น แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังโง่เขลาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แรงกดดันมันมหาศาลจนทำเจ้านอนไม่หลับเลยไม่ใช่รึ !? หากไม่ได้เห็นปฏิกิริยาของข้า ?”
“ฮ่า ๆ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร !” สตีเว่นเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ทว่ากลับดูไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย
คำพูดของริชาร์ดเสมือนเป็นการโจมตีจากกลุ่มแอสซาซินซึ่งก็คือ ‘ไม่คาดฝัน และตรงเข้าไปที่จุดตาย’ นี่คือวิธีการแสดงความรู้สึกในแบบชนชั้นสูงที่ซ่อนความตั้งใจไว้ในคำพูดซึ่งสตีเว่นเองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี คำพูดของริชาร์ดทิ่มแทงจิตใจของเขาและมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบขยับไปไหนไม่ได้
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาครู่หนึ่ง… ส่วนคนที่มุงดูต่างก็เงียบเสียงลง แต่ละคนต่างรอคอยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“หากเจ้าไม่รู้จักบลัดแพร์รอท งั้นเจ้าก็ควรจะดูแลสุนัขของเจ้าให้ดี อย่าปล่อยให้มันมาเพ่นพ่านและเปล่งเสียงร้อง มันน่ารำคาญ !” เมื่อเห็นสีหน้าของสตีเว่นที่ไม่ค่อยสู้ดี ริชาร์ดก็ยังคงกล่าวต่อไป “อีกอย่าง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ดูเหมือนว่าสงครามระหว่างโซแลมและอาเครอนจะเพิ่งเริ่มขึ้น ข้าสงสัยเสียจริงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง ?”
“ฮ่า ๆ นั่นมันอลิซ อาเครอน ไม่ใช่กาตอน !” สตีเว่นหัวเราะ
“ก็จริง” ริชาร์ดพยักหน้า
เสียงหัวเราะจากคนดูดังขึ้นจนทำให้สตีเว่นคิดขึ้นมาได้ว่าเขาเผลอพูดอะไรออกไป หากเป็นกาตอน ในเวลานี้ทั้งโซแลมและไนออลก็คงจะถูกทำลายจนไม่เหลือซากไปนานแล้ว และการต่อสู้ก็คงจะไม่กินระยะเวลานานเช่นนี้
แต่หากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นการที่ต้องเผชิญหน้ากับกาตอน เหล่าขุนนางอื่น ๆ ของจักรวรรดิเซเคร็ดทรีก็คงจะไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน โจรเล็ก ๆ อย่างอลิซเป็นเพียงกระแสลมที่พัดกระหน่ำเข้ามาทว่าพลังของกาตอนนั้นเป็นเหมือนดั่งผู้รุกรานที่เข้มแข็งและทรงพลัง การเมืองเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง
แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมากที่ไวเคานต์จากตระกูลอาเครอนจะสามารถทำลายกองกำลังทั้งหมดของมาร์ควิสไนออลรวมถึงกองกำลังเสริมของดยุกโซแลมได้ !
เสียงหัวเราะของผู้คนทำให้สตีเว่นตระหนักขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนของโซแลม ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ผู้คนในที่นี้ก็คงจะไม่ไว้หน้าดยุกโซแลมและดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ไม่ได้เกรงกลัวตระกูลโซแลมด้วยเช่นกัน และยิ่งเขาสังเกตเห็นจำนวนคนที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่ก็ทำให้เขารู้สึกแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
สตีเว่นระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก เขาคุ้นเคยดีกับกฎการต่อสู้ระหว่างขุนนางและเขาก็เข้าใจเกี่ยวกับการจับเวลาเป็นอย่างดี ทว่าริชาร์ดไม่ได้สนใจกฎเหล่านั้น เขาเลือกที่จะพูดทุกอย่างที่เขาต้องการ และคำพูดแต่ละคำที่พูดออกมาก็เปิดเผยให้เห็นถึงความลับที่สกปรกและมืดมนของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่แยแส
นั่นทำให้สตีเว่นรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก อาเครอน ! มีชื่อเสียงมากไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตามและมันคงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว แต่สำหรับตระกูลโซแลมที่มีประวัติศาสตร์อันดีมายาวนานกว่า 8 ศตวรรษ มันทำให้พวกเขาต้องคอยตระหนักถึงชื่อเสียงไม่ว่าจะทำสิ่งใด สตีเว่นรู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะริชาร์ดได้ด้วยการด่าทอหรือโต้เถียงและเขาก็ไม่อยากลดตัวเองลงไปอยู่ในระดับล่างได้เช่นกัน นอกจากนั้น จากสงครามครั้งล่าสุดนั่นก็สร้างความสูญเสียให้กับโซแลมมามากพอแล้ว ชื่อเสียงที่เคยเป็นเหมือนกับอาวุธป้องกันภัยคุกคามที่ทรงพลังที่สุดก่อนหน้านี้มันจางหายไปจนหมด
ทุกคนรู้ดีว่าเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปคุกคามหรือข้องแวะกับตระกูลอาเครอนเพราะคนเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนบ้าคลั่ง หากเลือกที่จะต่อสู้ก็จะต้องพบกับภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัว และหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้พวกเขาได้เห็นคือมาร์ควิสไนออล
หากพูดตามกฎของตระกูลของเขา เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้วก็ถือว่าสตีเว่นยังไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวหรือเย่อหยิ่งเท่าไหร่นัก เหล่าขุนนางมีความแตกต่างจากกลุ่มสามัญชนอย่างมาก เพราะพวกเขาแก้ไขข้อขัดแย้งผ่านการต่อสู้บนสนามและในศาล สิ่งเหล่านี้คืออาณาจักรของเหล่าขุนนางที่มีความอัปยศอดสูอยู่ไม่น้อย หากเขาสามารถออกจากวงโคจรนี้ได้ เขาก็จะไม่ต้องมาอดทนกลัวเสียหน้า และมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่าหากต้องมาตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้
แต่ถึงอย่างไรสตีเว่นก็อายุยังไม่ถึง 18 ปี ความอดทนอดกลั้นและตรรกะด้านความคิดของเขาก็ยังไม่ได้สูงเท่าไหร่นัก นั่นทำให้เขาหลุดปากถามออกไป “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับผู้หญิงที่ชื่อเอรินมีอะไรลึกซึ้งต่อกัน เป็นการตัดสินใจที่ดีจริง ๆ นางดูไม่เลวเลยนี่”
ริชาร์ดมองสตีเว่นด้วยสายตานิ่งสงบ เขาพยักหน้าและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ข้ายอมรับในสิ่งที่เจ้าพูด แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้ากังวล มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังจะเผชิญนี้ ในตอนนี้เจ้าเตรียมรับมือกับตัวเองยังไงล่ะถ้าเจ้าแพ้การแข่งขันในครั้งนี้ ?”
สตีเว่นเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างใจเย็น “ถ้างั้นรึ ? สมมุติว่ามันต้องมี ‘ถ้า’ จริง ๆ ล่ะก็…”
ยังไม่ทันที่สตีเว่นจะพูดจบ ริชาร์ดก็พูดแทรก “หึ ๆ อาจจะมีคนที่มีพรสวรรค์ในการสร้างรูนมากกว่าข้า ทว่าเจ้าไม่ใช่หนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน เจ้าจงคิดให้ดีว่าเจ้าจะทำยังไงหากเจ้าแพ้”
สตีเว่นไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขารู้ว่านี่เป็นความจริงที่เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ ! ความหวังเดียวที่เขามีสำหรับการแข่งขันคือทรัพยากรจำนวนมาก ความแข็งแกร่งของครอบครัวเขา และความชื่นชอบที่อาจจะได้รับจากชารอน คำพูดของริชาร์ดทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมากับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หากเขาพ่ายแพ้จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ? เงินลงทุนของตระกูลโซแลมที่ทุ่มให้กับเขากว่า 20,000,000 เหรียญล่ะจะทำยังไง แม้แต่มารดาและมาร์ควิสที่ร่วมกันช่วยก็ไม่สามารถแบกรับภาระที่จะเกิดขึ้นได้หากเขาพ่ายแพ้การต่อสู้ในครั้งนี้
ต้องยอมรับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นไปได้ที่น่าหวาดกลัว หากอาเครอนสนับสนุนริชาร์ดขึ้นมา เขาจะทำยังไง ? แล้วถ้าหากชารอนเลือกที่จะเข้าข้างริชาร์ดล่ะ ? การประเมินผลของ ‘ความนุ่มนวลและเอร็ดอร่อย’ นั้นเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเขาซึ่งยากที่เขาจะลืมมันไป
นอกจากนี้การต่อสู้ของรูนไนท์ในดินแดนของไนออลก็แสดงให้เห็นว่ารูนมาสเตอร์ของอาเครอนแซงหน้าเซนต์เคลาส์ไปไกลโขแล้ว แม้ว่าเคลาส์จะเรียกตัวเองว่าเซนต์ทว่าเขาก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ระดับเกรทรูนมาสเตอร์ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตระกูลอาเครอนจะมีคนที่ถึงระดับนี้อย่างน้อย 1 คนแล้ว
ความเป็นจริงทั้งหมดที่เขาตระหนักขึ้นมาได้นี้บอกกับเขาว่าโอกาสที่เขาจะได้รับชัยชนะนั้นไม่ได้สูงอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ และแม้ว่าการแข่งขันจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีก 2–3 เดือนซึ่งถือว่าเขายังพอมีเวลาอยู่ แต่ที่ผ่านมาเขาก็ใช้ทรัพยากรไปไม่น้อยเลย และยิ่งเขาไม่อยากพ่ายแพ้มากเท่าไหร่ การลงทุนที่จมลงไปก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น… เมื่อคิดถึงเรื่องการลงทุน เขาก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าช่วงเวลาครึ่งปีมันมากเกินไปสำหรับเขา
หลังจากที่เห็นท่าทางของสตีเว่น ริชาร์ดก็หัวเราะเบา ๆ และก้าวเดินต่อเพื่อไปตามเป้าหมายที่เขาวางแผนไว้ ดราก้อนวอล็อคหลีกทางให้กับริชาร์ด ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อไปเพราะมันรังแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเขาและตระกูล นอกจากนี้ เขายังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของใครบางคนที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้เข้าชม ซึ่งบุคคลผู้นั้นมักปรากฏตัวอยู่บนรายงานที่เขาเห็นจนคุ้นตา หากเขาทำอะไรโดยใช้เพียงแต่อารมณ์ ผลที่ออกมามันคงไม่ดี
คำพูดของริชาร์ดเป็นเหมือนหมัดของคนเถื่อนที่ชกเข้าใส่กระจกที่เต็มไปด้วยสีสันงดงามแล้วเผยให้เห็นความโหดร้ายที่แท้จริงในภายหลัง สตีเว่นทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างไม่ใช่เรื่องที่น่ารับรู้เท่าไหร่นัก มันออกจะบั่นทอนและขัดขวางความก้าวหน้าของเขาเสียมากกว่า ทว่าในตอนนี้เขารู้สึกว่าริชาร์ดทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
ริชาร์ดเดินผ่านวอริเออร์โดยจ้องหน้าเขาด้วยสายตาราวกับกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง ความน่ากลัวของริชาร์ดเป็นดั่งกริชคมที่จ่อมาที่ตัวของวอริเออร์ผู้นั้นซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเข้าใกล้กับสัตว์ร้าย วอริเออร์ก้าวเท้าถอยไปขณะที่มือคว้าไปจับดาบข้างเอวของตัวเองแน่น
ขณะเดินผ่าน ริชาร์ดเกิดความรู้สึกหลายอย่างในตัวของเขา มันผสมผสานกันทั้งความรู้สึกธรรมดา ความรู้สึกเคือง และความรู้สึกอยากทำร้าย และด้วยเออรัพชั่นกับพรีซิชั่นของเขาทำให้เขามองเห็นถึง 5 วิธีการที่สามารถทำให้วอริเออร์ผู้นี้บาดเจ็บสาหัสได้ในระยะประชิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมา เขากลัวว่าพลังสายเลือดที่ดุร้ายในตัวเขาจะตื่นขึ้นและเขาจะทำเรื่องที่เขาเองก็ควบคุมไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นมันก็ยากที่เขาจะแก้ปัญหาที่ตามมาได้
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถควบคุมสติตัวเองไว้ได้สำเร็จ เขาทำราวกับว่าเขาไม่เห็นท่าทางของวอริเออร์ที่กำลังใช้มือจับดาบข้างเอวและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สุนัขก็คือสุนัข แม้ว่าข้าจะเอาหน้ามาอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ยังไม่กล้าแตะมัน”
วอริเออร์หน้าแดงด้วยความโกรธพร้อมทั้งหันไปหาสตีเว่น สตีเว่นหายใจอย่างรุนแรงก่อนที่เขาจะส่ายหน้าตอบกลับไป วอริเออร์เก็บดาบข้างเอวลงด้วยความจำใจ เขามองดูริชาร์ดที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกโกรธเคือง
เสียงถกเถียงของคนรอบข้างเริ่มดังขึ้น โดยไม่ได้สนใจสตีเว่นหรือคนของเขาเลยแม้แต่น้อย และเนื้อหาในบทสนทนาของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลโซแลมมีความสุขเลยสักนิด วอริเออร์ถึงกับสูญเสียความกล้าที่จะดึงดาบออกมา การกระทำของคนเหล่านี้ทำให้คนของโซแลมรับรู้ได้ว่าในที่นี้ไม่มีใครไว้หน้าพวกเขาอีกต่อไป และยังมีอีกหลายคนที่พร้อมที่จะฆ่าเขาได้เพียงแค่การโจมตีเดียว เขาจำตราสัญลักษณ์ของตระกูลอาเครอนและพันธมิตรอื่น ๆ ของพวกเขาได้ และรู้ดีว่าเหตุผลเดียวที่พวกเขายังไม่ลงมือทำอะไรก็เป็นเพราะเกรงใจชารอน ไม่ได้เป็นเพราะเกรงกลัวโซแลมแต่อย่างใด
สตีเว่นไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้คนของเขาออกจากจุดนี้โดยไม่สนใจรับแคตตาล็อกสำหรับการประมูลอย่างที่เขาตั้งใจไว้ในตอนแรก
หลังจากที่พวกเขาออกมาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คนแล้ว วอริเออร์ก็เอ่ยปากถามออกมา “นายน้อย เหตุใดท่านถึงไม่ให้ข้าฆ่ามัน ? ท่านก็แค่โยนความผิดทุกอย่างมาให้ข้าหากท่านมีปัญหา !”
สตีเว่นแสดงท่าทีเคร่งขรึม เขายังคงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เคลริคหัวเราะเยาะวอริเออร์ผู้นั้น “ฮ่า ๆ ๆ อ่อนหัดซะจริง ! เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้งั้นรึ ? หากเจ้าทำเช่นนั้นตระกูลอาเครอนจะประกาศสงครามกับโซแลมอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่านายท่านจะตัดหัวของเจ้าส่งไปให้พวกเขาแล้วก็ตาม”
สตีเว่นถอนหายใจออกมาโดยมีสีหน้าเป็นกังวล “ทุกคนที่มีชื่อของอาเครอนต่างเป็นพวกบ้า หยุดยั่วยุกับคนอย่างพวกนั้น ที่นี่คือดีพบลู ไม่ใช่ดินแดนของเรา เจ้าอยู่กับข้ามานานหลายปีข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเจอกับปัญหา”
ดราก้อนวอล็อคเดินกลับเข้าที่พักของเขาด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าและสิ้นหวัง วอริเออร์เป็นคนสุดท้ายที่ก้าวเดิน และในขณะเดียวกันเขาก็ได้เห็นสายตาที่เยาะเย้ยแต่ก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าซึ่งเกิดขึ้นในสายตาของเคลริค