นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 31.1 ดีพบลูอาเรีย [1]
ทุก ๆ ปีในวันสุดท้ายของเดือนเมษายน ดวงจันทร์ทั้ง 7 ดวงของนัวแลนด์จะเรียงรายอยู่บนฟากฟ้าอันงดงามยามค่ำคืน ในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตของใครหลาย ๆ เลยคนก็ว่าได้ ผู้คนต่างเรียกมันว่า ‘วันแห่งโชคชะตา’
วันแห่งโชคชะตานี้เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของหลาย ๆ ประเทศบนพื้นทวีป และเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลาย ๆ ชนเผ่าที่มีสติปัญญาต่ำ รวมถึงกลุ่มคนที่ฝึกเวทมนตร์
เป็นที่กล่าวขานกันว่าวันนี้เคยเป็นวันที่เทพเจ้าจะรับฟังเสียงของผู้ที่เลื่อมใสในพระองค์ โดยเทพเจ้าอาจส่งตัวแทนหรือแม้กระทั่งแปลงร่างมาแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้คนเพื่อรับฟังพวกเขา ผู้ที่นับถือศรัทธาในพระองค์จะได้รับรางวัลตอบแทน ในขณะที่ผู้ที่ไม่นับถือพระองค์จะไม่ได้รับอะไรเลย มีเพียงคนที่เคยเดินทางข้ามเพลนเท่านั้นที่รู้ว่าความเชื่อก็จะเป็นได้เพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าพลิกผันชีวิตก็ได้เกิดขึ้นกับหลาย ๆ คนจริง ๆ ในวันแห่งแห่งโชคชะตานี้ รูนไนท์ของอลิซสามารถทลายแนวป้องกันที่เกิดจากการร่วมมือกันของโซแลมและไนออลได้โดยอาศัยการลอบจู่โจมอันแสนชาญฉลาด แม้เผชิญหน้ากับเหล่ารูนไนท์ของกองทัพที่รวมตัวกันนั้นจะทำให้นางเสียเปรียบในสัดส่วน 20 ต่อ 18 คน แต่นางกลับสูญเสียรูนไนท์ไปเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ !
มันเป็นการสู้รบที่จะชี้ชะตาของทั้งสองฝ่าย ไวเคานต์อลิซวางหมากให้รูนไนท์ของนางเป็นทหารแนวหน้า และเจาะทะลุผ่านแนวป้องกันของฝ่ายตรงข้ามราวกับมีดร้อน ๆ ที่เจาะผ่านก้อนเนยทำให้เกิดช่องว่างใหญ่ ๆ ขึ้นที่แนวป้องกันที่แข็งดั่งเหล็กของพวกเขา ซึ่งมันลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายการต่อสู้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายนาง ฝ่ายศัตรูกว่า 10,000 ชีวิตถูกจับตัวเป็นเชลยและทหารม้าชั้นดีกว่า 1,000 คนของพวกเขาต่างก็ล้มตายไปในการต่อสู้ ในที่สุดตระกูลโซแลมก็ประกาศถอยทัพ ขณะที่ไนออลส่งทูตออกมาในทันทีเพื่อเจรจาสงบศึก
ธรรมเนียมหรือกฎของทหารตั้งแต่สมัยโบราณชี้ชัดว่าการเจรจาสงบศึกใด ๆ จะขึ้นอยู่กับผลของการสู้รบก่อนหน้านั้น มาร์ควิสไนออลลงเอยด้วยการสูญเสียดินแดนกว่า 3 ส่วนของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับ 10 ปีแห่งสันติภาพ เขายอมมอบดินแดนที่อลิซต้องการเพื่อจะได้ขึ้นเป็นเอิร์ลให้กับนางไป ตอนนี้เขาจึงคงเหลือแค่คำแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากจักรพรรดิของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
การต่อสู้ระหว่างเหล่ารูนไนท์ลงเอยด้วยทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ แต่แน่นอนว่าย่อมมีการพูดถึงในเรื่องของความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างมากของกองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ชัยชนะตกเป็นของอลิซ ผู้คนเริ่มคาดเดากันไปถึงรูนมาสเตอร์ปริศนาที่ทำงานให้กับอลิซ เพราะไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร เขาได้นำหน้าเซนต์เคลาส์ผู้โด่งดังไปไกลโข
อลิซเป็นผู้ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ทว่าชื่อของกาตอนนั้นกลับเป็นที่พูดถึงกันไปทั่วทั้งทวีป ในวันแห่งโชคชะตาครั้งนี้ กาตอน อาเครอน เลือกที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่เฟาสต์ เมืองหลวงของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์
เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เฟาสต์นั้นมักอาบด้วยเหล็กและคราบเลือดอยู่เสมอ มีหลายคนพยายามที่จะขัดขวางเส้นทางของผู้มาเยือนทั้งเปิดเผยและแบบลับ ๆ บ้างก็ถึงขั้นส่งคนไปสังหารผู้มาเยือนใหม่โดยตรง
นับเป็นกฎของข้อแรกในสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ และได้กลายเป็นประเพณีสืบต่อกันไปแล้วว่า ผู้ที่ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันและเอาตัวรอดจากการซุ่มโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าได้นั้น ไม่สมควรก้าวเท้าเข้าไปในเมืองหลวงของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายหากเกิดการโจมตีหรือต่อสู้กันเมื่อมีใครสักคนมุ่งหน้าเข้าสู่เฟาสต์
เรื่องเช่นนี้ดำเนินมามากกว่าหลายร้อยปีแล้ว ความรุ่งโรจน์ของเหล่าคนที่สามารถเข้าสู่เฟาสต์ได้สำเร็จล้วนมีเบื้องหลังเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบและการนองเลือด และผู้คนมักจะจดจำได้เฉพาะผู้ที่ทำสำเร็จเท่านั้น ไม่ใช่คนที่สูญหายไประหว่างทาง
การตัดสินใจของกาตอนก่อให้เกิดการพูดถึงไปทั่วทั้งทวีป ตระกูลอาเครอนเคยมีอำนาจต่อรองกับเฟาสต์มาก่อนก็จริง แต่ก็ไม่เคยมีความปรองดองต่อกันมากพอที่จะทำให้เข้าใจกันได้ ในฐานะของผู้นำนั้น กาตอนเป็นได้เพียงตัวแทนของตัวเขาเองเท่านั้น ในสายตาของราชวงศ์ชั้นสูง การที่เขายิ่งใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย พวกเขามองว่ากาตอนไม่มีรากฐานที่มา ทั้งเพลนลับส่วนตัว ความมั่งคั่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด รูนไนท์ที่ครบถ้วน กองทหารที่ยอดเยี่ยม และความสามารถที่พัฒนาได้อีกในอนาคต สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลามากกว่าจะได้มา
การขาดรากฐานมักทำให้คนที่มีอำนาจอย่างพุ่งพรวดนั้นล้มลงได้อย่างรวดเร็ว และในสายตาของพวกเขาแล้ว กาตอนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดที่โง่เขลาอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าถึงอย่างไร หนทางสู่เฟาสต์ของกาตอน อาเครอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เขาแตกต่างจากตระกูลอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ที่นำกองกำลังทหารทั้งหมดมาฝ่าแนวป้องกันเพราะเขานั้นทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทหารทั้งหมดในหลายเพลนต่างประจำการอยู่ที่เดิมเพื่อป้องกันการบุกรุก และแม้แต่อำนาจของเขาเองในฐานะผู้นำของตระกูลก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้
— ในตอนที่กาตอน อาเครอน เริ่มออกเดินทางนั้น เขามีรูนไนท์ข้างกายเพียงแค่ 13 คน ! และเป็นเรื่องที่คนทั้งสหพันธ์ศักดิ์ล้วนประหลาดใจ เพราะเขาสามารถปรากฏตัวขึ้นตรงทางเข้าของเฟาสต์ได้ในเวลาเที่ยงตรงของวัน —
นั่นเป็นครั้งแรกที่กาตอน อาเครอน ก้าวเท้าเข้าสู่เฟาสต์ และนั่นก็เป็นนิมิตหมายบ่งบอกว่าจากนี้เป็นต้นไป ตระกูลอาเครอนจะกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในทวีป
วันแห่งโชคชะตานั้นก็ถือเป็นวันที่พิเศษของริชาร์ดเช่นกัน ในเวลา 5 ทุ่มของคืนนั้น เขาถูกเรียกตัวให้ไปพบชารอน ซึ่งสัญชาตญาณของเขาก็ได้บอกกับเขาว่าการพบกันครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่พิเศษ
ดีพบลูดูสว่างไสวอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันสวยงามที่อ่าวโฟล กลุ่มควันสีฟ้าลอยออกมาจากหอคอยและกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ เมื่อมองจากระยะไกลมันดูเหมือนหอคอยคริสตัลสีฟ้าที่สง่างามและลึกลับซึ่งตั้งสูงตระหง่านอยู่ตรงปลายสุดของอ่าวโฟล พื้นที่รอบ ๆ ดีพบลูมีกองไฟที่กำลังลุกโชนอย่างดุเดือดถูกก่อไว้นับพัน มันดูราวกับแสงสว่างจากดวงดาวบนฟากฟ้าหากมองลงมาจากด้านบนของหอคอย ผู้คนต่างไม่สนใจอากาศที่หนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิและออกมารวมตัวกันร้องเพลง เต้นรำ หรือแม้กระทั่งดื่มกันอย่างสนุกสนานเพื่อชื่นชมกับแสงสว่างที่มีเพียงครั้งเดียวของปีในดีพบลู
คนกลุ่มเหล่านี้ส่วนมากอาศัยอยู่แถบชานเมืองโดยมีดีพบลูเป็นเหมือนเสาหลักของความแข็งแกร่ง ตราบที่ดีพบลูยังตั้งตระหง่านอยู่ได้ ความภาคภูมิใจของพวกเขาก็จะไม่มีวันหายไปไหน
ถึงกระนั้น แม้เป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองทว่าภายในดีพบลูกลับเงียบสงัด เหล่าแกรนด์เมจล้วนเพิกเฉยต่อเทศกาลนี้เพราะต่างก็เคยพบเห็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มาแล้วมากมาย สำหรับพวกเขาแล้ว โลกของเวทมนตร์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องมึนงงและสูญเสียตัวตนไปกับเทศกาลและการเฉลิมฉลองที่ไร้ความหมายพวกนี้
เมื่อถึงเวลาเข้าพบชารอน ตุ๊กตาเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดประตูเหล็กบานหนักให้ริชาร์ดเดินเข้าไป ภายในเผยให้เห็นบันไดทอดยาวเป็นเกลียว มันถูกออกแบบตกแต่งตามความชื่นชอบของเหล่าคนชั้นสูงในดีพบลู บานประตูนั้นมีสีแดงอมน้ำตาลที่ดูสูงสง่าและเรียบง่ายด้วยรูปแบบลายเส้นตามธรรมชาติ ความงดงามที่เก่าแก่นี้แสดงให้เห็นถึงต้นกำเนิด ดินแดนรกร้างแห่งการทำลาย และการสิ้นหวังที่แสนทารุณ
ขั้นบันไดที่สวยงามและประณีตนั้นมีแสงเปล่งออกมาทั่วทุกพื้นที่ ในตอนแรกดูเหมือนไม่มีอะไรทว่าเมื่อผู้ใดจ้องมองไปที่แสงเหล่านั้นใกล้ ๆ ก็จะเกิดความรู้สึกวิงเวียนและสับสนขึ้นมาจนไม่สามารถบอกได้ว่าแสงเหล่านั้นคืออะไรและมาจากอะไร รูปปั้นบนราวจับชวนให้หลงใหลนั้นโดดเด่นขึ้นอีกเมื่อผสมผสานกับแสงสลัว ๆ จนดูราวกับผลงานศิลปะที่น่าตกตะลึง ความสูงของขั้นบันไดที่ยืนอยู่ทำให้ริชาร์ดรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา นี่เป็นพื้นที่ที่สูงที่สุดในดีพบลูแล้ว และพื้นที่ที่สูงกว่านั้นจะหมายถึงพื้นที่ส่วนตัวของชารอนที่แม้แต่แกรนด์เมจก็ไม่สิทธิ์ล่วงล้ำเข้าไป -นี่เลเจนดารี่เมจต้องการพบเขาในพื้นที่ส่วนตัวของนางเลยเชียวหรือ ?