นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 24.2 ฤดูร้อนที่เป็นดั่งฤดูหนาว [2]
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ภาพเหมือนถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้าแบล็คโกลด์
คนแคระเกรย์ให้มาเอสโตรนั่งรออยู่เป็นเวลาเกือบ 40 นาที ก่อนที่เขาจะจะคลานออกมาจากกองอัญมณีที่อยู่บนโต๊ะซึ่งมีมากจนเกือบจะถึงทางเข้า เขาฟังคำอธิบายของมาเอสโตรเพียงครู่หนึ่ง ดีพบลูเป็นโลกแห่งเวทมนตร์และเม็ดเงินเท่านั้น งานศิลปะจึงไม่ถือเป็นสิ่งที่น่าจะให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก คนแคระก้าวเท้าข้างหนึ่งเหยียบขึ้นไปบนกองเหรียญทองและอีกข้างถูกยกสูงขึ้นด้วยเวทมนตร์ ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขาดูเหนือกว่าจิตรกรในตอนนี้
คนแคระไม่ได้สนใจคำพูดของมาเอสโตรผู้นี้เท่าไหร่นัก เขาให้จิตรกรข้ามเนื้อหาส่วนอื่น ๆ เพื่อเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อได้ยินเกี่ยวกับผลงานของริชาร์ดซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านชารอนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เขาจึงใช้มือหยาบกระด้างของเขาที่เป็นดั่งเกล็ดของสัตว์ป่าเปิดกระดาษห่อของภาพวาดนั้นออก
ความเงียบทำให้รับรู้ได้ว่าแกรนด์เมจผู้นี้กำลังพิจารณาภาพวาดนี้อยู่อย่างตั้งใจ ริมฝีปากของเขาพึมพำบางอย่างออกมา มาเอสโตรมองดูคนแคระผู้นั้นด้วยความประหลาดใจเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าแบล็คโกลด์จะสามารถชื่นชมความงามของศิลปะชิ้นนี้ได้
คนแคระเงยหน้าขึ้นมา แล้วเปล่งเสียงด้วยความขุ่นเคืองว่า “แค่นี้ ? ”
“เอ่อ ? ใช่…” มาเอสโตรกล่าวออกมาด้วยความสับสน
“ภาพนี้ยังลงสีไม่เสร็จรึ ?”
“…” มาเอสโตรแทบจะไม่สามารถควบคุมการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติของตัวเองได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะตอบออกไปอย่างนุ่มนวลว่า “…นี่เป็นภาพร่าง”
ทันใดนั้นคนแคระก็ตระหนักขึ้นมาได้พร้อมกับมองไปที่ภาพร่างอีกครั้ง “อืม…ยังไม่เติบโตเต็มที่ ใบหน้าของนางก็อยู่ในระดับปานกลาง… แน่นอนว่าจะต้องมาจากมุมมองของมนุษย์ ถ้าข้าตัดสินโดยใช้หลักพื้นฐานของสตรอมแฮมเมอร์ เดี๋ยวก่อนนะ โอ้ ! ข้าเห็นแล้ว กล่องเก็บความร้อน ! นี่เป็นของพิเศษที่เตรียมไว้ให้กับริชาร์ด และรายละเอียดมันสมบูรณ์โดยไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว… เหมือนของริชาร์ดมากเลย เจ้ารู้จักแกรนด์เมจโลตอนคนที่สอนวงเวทย์ให้เขาไหมล่ะ ในอาทิตย์นี้เขามาชื่นชมสรรเสริญริชาร์ดถึง 3 ครั้งเลยนะ ถ้ารวมทั้งปีนี้… เท่าที่ข้าจำได้ก็ราว ๆ 50 หรือ 70 ครั้งเลยล่ะ ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้จะไม่ได้สรรเสริญเยินยอใครมาเกือบจะ 10 ปีแล้วนะ !”
มาเอสโตรไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของเขาได้ และก็ไม่สามารถตะโกนใส่หน้าของแบล็คโกลด์ได้เช่นกัน เขาพยายามที่จะพูดแนะคนแคระอีกครั้งด้วยความอดทน “เจ้าดูให้ดี มันมีสิ่งล้ำค่าที่จับได้ในงานชิ้นนี้…”
คนแคระมองดูอยู่หนึ่งวิ ผ่านไปสามวิ… แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าภาพวาดชิ้นนี้ยังขาดสีสัน อารมณ์ของมาเอสโตรแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมนเช่นเดียวกับภาพวาดของริชาร์ดพร้อมกับเดินออกจากห้องทำงานของแบล็คโกลด์ไป เขาไม่เคยรู้สึกเสียความมั่นใจในตัวเองเช่นนี้มาก่อน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนผู้นี้จึงชื่นชมกับอัญมณี ของวิเศษ และของเก่า เหตุใดจึงไม่มีศิลปะในหัวใจเอาเสียเลย ? ความคิดเห็นของเขาในฐานะคนนอกนั้นช่างทำลายความสวยงามของศิลปะเสียจริง !
ประตูทองสัมฤทธิ์ที่เรียบง่ายแต่สง่างามซึ่งเป็นประตูห้องทำงานของแบล็คโกลด์ได้ปิดลง ประตูนั้นมีความสูงเป็น 2 เท่าของปกติในบริเวณนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสูงส่ง ความมั่งคั่ง และสถานะของเขา สร้างความอิจฉาให้กับคนอื่น ๆ ไม่น้อย แต่แน่นอนว่าคนเหล่านั้นต่างก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดคนแคระที่สูงเพียงครึ่งเดียวของมนุษย์จึงต้องการห้องทำงานที่สูงเช่นนั้นกัน
แบล็คโกลด์หัวเราะเยาะหลังจากที่ประตูปิดลง พร้อมกับกล่าวพึมพำว่า “ของง่าย ๆ แบบนั้นจะทำให้มาสเตอร์มีความสุขได้อย่างไรกัน ? ” และที่เขามั่นใจมากเช่นนี้ก็เพราะในตู้เก็บของของเขายังมีไอเท็มอีกกว่า 67 อย่างที่สามารถสร้างความสุขให้กับชารอนได้มากกว่าภาพวาดนี้
คนแคระเดินกลับไปยังกองอัญมณี แต่อยู่ ๆ เขาก็หยุดแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับนำภาพวาดของริชาร์ดออกมาเปิดดูอีกครั้ง เขาตรวจสอบอยู่ 10 กว่านาทีก่อนที่จะเก็บมันไว้ในตู้เล็ก ตู้เล็กนั้นมีของลักษณะเดียวกันวางไว้อยู่ภายใน แต่มีของเพียงแค่ 5 ชิ้นเท่านั้นที่อยู่ภายในนี้ เขานำภาพวาดของริชาร์ดวางไว้ตู้ที่ 2 ความแตกต่างระหว่างตู้ 2 ใบนี้คือ ตู้แรกจะถูกนำส่งถึงมือของเลเจนดารี่เมจเพื่อตรวจสอบ ในขณะที่อีกใบจะถูกส่งลงถังขยะในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
…
ฤดูร้อนของริชาร์ดผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันถัดไปก็จะถึงเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สิ่งที่ทำให้เห็นว่าฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะมาถึงคือภายในอ่าวโฟลจะไม่มีปลาว่ายไปมาเหมือนกับฤดูอื่น ๆ และผู้คนกว่าล้านคนที่อาศัยใกล้กับบริเวณนี้ก็จะจัดงานเฉลิมฉลองกันในวันนี้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเลที่ทำให้พวกเขามีชีวิตรอดในฤดูหนาวที่ยาวนาน ดีพบลูที่ตั้งอยู่ถัดจากอ่าวโฟลก็จะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ยังคงไม่มีความหมายสำหรับริชาร์ดอีกเช่นเคย ในแต่ละวันของเขายังคงหมดไปกับการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์หรือไม่ก็ทำสมาธิและฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเพิ่มมานา เขาหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มจิตใจของเขาในเวลานี้ได้ และเพื่อไม่ให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่านเหมือนที่ผ่านมา
เอรินมาถึงที่พักของริชาร์ดตรงเวลาในช่วงค่ำคืนก่อนถึงเทศกาล นางค้นพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยกกล่องใส่อาหารโดยใช้มือเดียว และในอนาคตขนาดของมันก็คงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นางนั่งมองดูริชาร์ดกินอาหารอย่างเงียบ ๆ
ในเวลานี้เรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตามที่ทั้งสองเคยตกลงกันไว้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว และทั้งสองก็พูดคุยกันน้อยลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันเอรินไม่ได้รับเหรียญจากริชาร์ดแม้แต่เหรียญเดียว แต่ไม่ว่านางจะพยายามปกปิดความเศร้าเพียงใด ใบหน้าของนางก็ยังเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงนางก็ยังคงเลือกที่จะเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขาอีกเช่นเคย ซึ่งนั่นทำให้ริชาร์ดเจ็บปวดหัวใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาไม่สามารถปลอบใจนางได้
ริชาร์ดกลืนของหวานคำสุดท้ายลงไปพร้อมกับมองหน้าของนาง เขาอยากจะขอบคุณนางเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ เขามองไปยังร่างกายของนาง ซึ่งปกติเขาก็จะเห็นและรับรู้ตัวเลขสัดส่วนที่ประเมินได้จากร่างกายของนาง แต่ทว่าครั้งนี้ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของนางทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ บัดนี้ร่างกายของนางได้เปลี่ยนไปแล้ว !
ในรูปแบบความคิดของริชาร์ด การเปลี่ยนแปลงในนาทีนั้นทำให้เขาคิดว่ามันได้รับการยกระดับขึ้นมา ตัวเลขที่เรียงตัวอยู่ด้านหน้าเขาบ่งบอกว่าหน้าอกของนางมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทว่ามันกลับไม่ได้มีขนาดเท่ากันซึ่งนี่ดูผิดปกติจากสิ่งที่ควรจะเป็นราวกับว่านางได้รับบาดเจ็บมา
การเคลื่อนไหวของนางผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะขาของนางที่สั่นไหวเป็นครั้งคราว ทำให้ดูเหมือนกับว่าการนั่งบนเบาะที่หุ้มด้วยผ้าหนา ๆ จะทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ดวงตาของนางปูดบวมขึ้นเล็กน้อยและดูแดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เสื้อคลุมของนางหนาขึ้นกว่าปกติ มันถูกปกปิดร่างของนางไว้อย่างแน่นหนา แต่บางครั้งที่นางเคลื่อนไหว ตัวผ้าคลุมก็ถูกเปิดออกจนเผยให้เห็นรอยจูบที่ต้นคอของนางอย่างชัดเจน นางหายใจแรงกว่าเคยเมื่อเห็นว่าริชาร์ดจับจ้องไปตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายของนางอย่างพินิจพิเคราะห์
ร่องรอยต่าง ๆ บนร่างกายของนางทำให้ริชาร์ดรับรู้ขึ้นมาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย
“เจ้า… นอนกับคนอื่นมาเหรอ ?” ริชาร์ดถามด้วยเสียงที่แหบแห้งจนแม้แต่เขาก็แทบจะไม่ทันได้สังเกตตัวเองว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ในวัย 11 ปีของเขา เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหล่าขุนนางเริ่มเรียนรู้อะไรในวัย 7-8 ปี ทว่าในครึ่งปีที่ผ่านมาหญิงสาวตรงหน้าได้สอนอะไรให้กับเขาไม่น้อย เขาได้เรียนรู้แล้วว่าชายและหญิงมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร
ใบหน้าของเอรินแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนทันที ลำตัวของเธอสั่นคลอน นางเอามือปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าพร้อมกับพูดออกมาว่า “ใช่ เมื่อคืนนี้”
ริชาร์ดสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับหลับตาลงเพื่อปฏิเสธการมองเห็นตัวเลขที่ทำลายล้างอยู่ภายในวิสัยทัศน์ของเขา “ทำไม ?” เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ
“ข้าต้องการเงิน”
“ข้าก็มีเงินมากมาย”
ตั้งแต่ที่ริชาร์ดสังเกตว่าเอรินเปลี่ยนไป เขาเป็นเหมือนนกที่แตกออกมาจากเปลือกของมัน เขาเริ่มที่จะเรียนรู้โลกภายนอก เขาเรียนรู้ว่าไม่ควรตัดสินใครจากพื้นฐานในตัวเอง ดูได้จากค่าใช้จ่ายของเขาในแต่ละเดือน เขามีรายรับที่เรียกได้ว่าสามารถทำให้สิบกว่าชีวิตในดีพบลูอยู่ได้อย่างสุขสบาย
เอรินมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของริชาร์ดพร้อมกับส่ายหัว “ข้าไม่อยากได้เงินของเจ้า”
นางเก็บกวาดของบนโต๊ะอย่างทุกวันพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตู ก่อนจะหันกลับมาพูดกับริชาร์ดว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป พรุ่งนี้จะมีคนอื่นมาส่งอาหารให้เจ้าแทนข้า… ไว้เจอกันใหม่เมื่อมีโอกาส…”
ประตูปิดลงอย่างช้า ๆ ริชาร์ดนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่อ่อนโรย เขาดึงผมตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน ทว่าอบิลิตี้ของเขาบอกกับเขาว่าทุกสิ่งที่เกิดเมื่อสักครู่นี้นั้นเป็นเรื่องจริงที่แสนจะทรมาน และมีสิ่งหนึ่งในตอนนี้ที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยนั่นก็คือเหตุใดเอรินจึงไม่ต้องการเงินของเขา…