นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 164 การครอบครอง
นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 164 การครอบครอง
จุดอ่อนที่สําคัญของเอสเซียนก็คือเขายังขาดอํานาจ อย่างน้อยเขาต้องเป็นสันตะปาปาของวิหารแห่งความกล้าหาญให้ได้ซะก่อนถึงจะมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ได้ ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้นความปรารถนาของเขาก็มีความเป็นไปได้อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะโดยปกติแล้วสันตะปาปาต้องอยู่ระดับ 18 ขึ้นไป เพื่อให้สามารถสยบพวกคาร์ดินัล” ที่อยู่ในระดับ 16 และ 17 ได้ ปกติแล้วไฮ พรีสต์ในระดับ 17 ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนขั้นเป็นสันตะปาปาหรือถ้าไม่ได้ก็จะยังคงอยู่ในสถานะคาร์ดินัลได้ แต่นั่นก็ถือเป็นข้อจํากัดที่ใหญ่หลวงสําหรับเอสเซียนเพราะแม้แต่การจะก้าวเข้าไปถึงระดับ 15 ก็ไกลเกินกว่าจะเป็นไปได้แล้ว หลังจากการต่อสู้กันทําให้ริชาร์ดรู้ว่าหากพรีสต์ผู้นี้เข้าสู่ระดับ 15 ได้ก็นับเป็นโชคดีของเขาแล้ว
*คาร์ดินัล = เป็นสมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปาทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา
สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเอสเซียนแอบค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามของเพลนและมิติเวลาอยู่อย่างลับๆและนั่นคงไม่เป็นที่โปรดปราณของเนเอียนนักการเติบโตก้าวหน้าของเขาจึงหยุดชะงักลงดังนั้นพรีสต์ผู้ซึ่งพยายามเปิดประตูสู่ความลึกลับของเพลนไร้ขอบเขตอาจจะต้องสูญหายไปตลอดกาลในทรายแห่งกาลเวลาโดยกลายเป็นสิ่งไร้ตัวตนที่ไม่มีค่าความสําคัญอะไรเหตุผลที่แท้จริงสําหรับการปิดผนึกสมุดไดอารี่เล่มนี้ก็คือเขามองเห็นความตายของตนเองที่จะเกิดขึ้นและหนึ่งวันก่อนหน้านั้นเขาวางแผนเปิดใช้งานเวทมนตร์แห่งการทําลายล้างเพื่อทําให้ไดอารี่ที่เขา ทุ่มเทด้วยเลือดและหยาดเหงื่อเล่มนี้หายสาบสูญไปจากเพลนนี้พร้อมกันกับตัวเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ มักไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เอสเซียนคิดไม่ถึงว่าริชาร์ดจะกล้าบุกไปยังดินแดนของฟอร์ซ่าอย่างเด็ดเดี่ยวและโจมตีวิหารแห่งความกล้าหาญทําให้สมุดไดอารี่ของเขาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้บุกรุกยิ่งไปกว่านั้นก็คือริชาร์ดเป็นรูนมาสเตอร์ ที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งมากเพราะเขาสามารถถอดรหัสและขจัด สลักที่ปิดผนึกออกได้อย่างง่ายดายทําให้ในที่สุดไดอารี่เล่มนี้ก็ถูกเปิดออกได้ในเพลนเฟเลอร์
เรื่องน่าประหลาดใจสําหรับริชาร์ดคือเขาค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับ“กระดาษที่ไม่สามารถทําลายได้”ที่เขาเพิ่งได้มาจากแท่นพิธีในวิหารของเมืองเฟเลอร์ข้อมูลนั้นถูกเขียนไว้ตรงส่วนท้ายของไดอารี่ และมันระบุว่า กระดาษแผ่นนี้เป็นไอเท็มสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากเพลนอื่นที่ถูกค้นพบโดยนักผจญภัยซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังมันเป็นส่วนหนึ่งของ – หนังสือแห่งการครอบครองซึ่งเอสเซียนได้บันทึกไว้ว่ามีทั้งหมด 9 หน้าเมื่อทั้ง 9 หน้านั้นถูกค้นพบหนังสือเล่มนั้นก็จะถูกรวมขึ้นใหม่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ว่ากันว่าพลังส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้จะปรากฏให้เห็นได้เมื่อมีการบรรจบกันของ 2 หน้า ทว่าแม้แต่เอสเซียนเองก็ไม่รู้ว่าหนังสือที่สมบูรณ์จะให้พลังอะไรกับผู้ครอบครองมันได้บ้างถึงแม้ว่าจะนับรวมกับแผ่นกระดาษที่ริชาร์ดค้นพบแล้ววิหารแห่งความกล้าหาญก็มีหน้ากระดาษของหนังสือแห่งการครอบครองอยู่เพียง 2 หน้าเท่านั้น
หน้าหนังสือเหล่านี้จะปรากฏขึ้นสุ่ม ๆ ระหว่างรอยแยกของกาลเวลาซึ่งเป็นส่วนที่เวลามีความบิดเบือนมากที่สุดไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นของใครหรือมีต้นกําเนิดมาจากที่ใด หรือแม้กระทั่งว่าเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตใดเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาและแน่นอนว่ารวมถึงเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้เกิดความเสียหายด้วย
กระดาษเพียงหน้าเดียวนี้สามารถใช้เป็นที่จัดเก็บคาถาระดับ 6 หรือต่ํากว่านั้นได้ 1 คาถาซึ่งมันจะคงอยู่ได้เพียงเดือนเดียวอย่างไรก็ตามมันสามารถนํากลับมาใช้งานซ้ําได้กระดาษเพียงหน้าเดียวไม่ได้มีประโยชน์อื่นมากนัก พวกเขาจึงจําเป็นต้องใช้ 2 หน้าถึงจะสามารถเปิดใช้งาน “พลังส่วนหนึ่งของหนังสือ” ได้ ทว่าสําหรับริ ชาร์ดที่กําลังจะเลื่อนขั้เป็นระดับ 9 กระดาษเพียงแผ่นเดียวนี้จึงถือเป็นเครื่องมือเวทมนตร์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งสําหรับเขาเพราะมันจะช่วยให้เขาสามารถใช้คาถาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเพิ่มขึ้นได้อีก 1 ครั้งรวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาได้ถึง 1 ใน 3 ด้วย
ในที่สุดริชาร์ดก็เข้าสู่ระดับ 9 อย่างเป็นทางการหลังจากวันที่เขาปลดผนึกบนไดอารี่ของเอสเซียนได้สําเร็จ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็ตัดสินใจอัพเกรดคาถาเนเจอร์เบ็คคอนให้เป็นระดับ 5 คาถาเนเจอร์เบ็คคอนนี้สามารถอัพเกรดได้จนถึงระดับ 9 โดยคาถานี้จะใช้ในการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่ซึ่งแต่ละระดับจะสามารถอัญเชิญสิ่ง มีชีวิตออกมาได้แตกต่างกัน
เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็สามารถเข้าใจคาถาที่อัพเกรดใหม่นั้นได้อย่างถ่องแท้ หลังจากนั้นเขาก็นําหน้ากระดาษของหนังสือแห่งการครอบครองที่ได้มาออกมาศึกษา กระดาษแผ่นนี้ดูแตกต่างจาก การม้วนกระดาษเวทมนตร์โดยทั่วไปเพราะคาถาไม่ได้ถูก “เขียน ลงไปบนนั้น แต่มันทําหน้าที่เป็นเสมือน “ภาชนะบรรจุ” หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงหนังสือที่เขาเคยอ่านเมื่อตอนที่อยู่ในดีพบลู เผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดบางเผ่าไม่ได้ใช้คําพูดในการสื่อสารแต่จะสื่อสารกันผ่านอักขระหรือการใช้พลังจิต อาจจะเป็นไปได้ว่ากระดาษหน้านี้ที่เขาได้มาจากทรัพย์สินของเอสเซียน ถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าพันธุ์ประเภทนั้น
หลังจากที่เขาทําการพิจารณาอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเริ่ มการทดลองเขาถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือขณะร่ายคาถาเนเจ อร์เบ็คคอนออกมาเมื่อการร่ายคาถาที่สมบูรณ์แบบไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด ๆสิ้นสุดลงแล้วเขาก็รู้สึกว่าสายเลือดเอลฟ์ในตัวเขากําลัง ไหลเวียนอย่างมีชีวิตชีวากําไลงาช้างเปล่งแสงเรืองอ่อน ๆ ขณะที่ ความอบอุ่นเบาบางถูกถ่ายเทผ่านผิวหนังพลังแห่งสายเลือดและ กําไลถูกหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาเพื่อช่วยในการสร้างคาถาระดับ 5 ซึ่งคาถานั้นส่องประกายอยู่บนฝ่ามือของเขาแต่แทนที่จะถูกร่ายออกมามันกลับถูกส่งเข้าไปในหน้าของหนังสือแห่งการครอบครองนั้นแทน
ภาพเสมือนจริงของหมาปาหลายตัวปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าในตอนแรก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับหมูป่าที่มีเกราะคล้ายเกล็ดบนหลังและไหล่ อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของพวกมันมีมาก ซึ่งก็นําไปสู่ความสามารถในการต่อสู้ที่เพิ่มมากขึ้นพวกมันให้ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวแม้จะเป็นเพียงภาพที่ถู กวาดขึ้นมาก็ตาม
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นริชาร์ดกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ! เขายกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองมันใกล้ ๆ อีกครั้งและสํารวจภา พวาดนั้นอย่างละเอียด นี่คือรูปวาดละเอียดอ่อนที่เหมือนจริงมากของหมาปา 5 ตัว หมาป่า 5 ตัว ใช่แล้ว ! – 5 ตัว ! –
โดยปกติแล้วการร่ายคาถาเนเจอร์เบ็คคอนมักจะสามารถอัญ เชิญสิ่งมีชีวิตได้ครั้งละประมาณ 1-3 ตัวเท่านั้นซึ่งด้วยพรสวรรค์ของริชาร์ด การร่ายคาถา การเคลื่อนไหวของมือและการถ่ายโอนมานาของเขานั้นสมบูรณ์แบบราวกับตําราทําให้การใช้คาถาในการอัญเชิญของเขาตามปกติจะมีประสิทธิภาพถึงขีดสูงสุดซึ่งก็คือ 3 ตัว และยิ่งเมื่อรวมกับบัฟจากสายเลือดเอลฟ์ของเขาและกําไลงาช้างก็จะทําให้มันเพิ่มขึ้นได้อีกจนมากถึง 4 ตัว ทว่าในตอนนี้เขา พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้วเพราะมีสิ่งมีชีวิตที่อัญเชิญได้มีจํานวนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีก 1 ตัว
ริชาร์ดคิดทบทวนถึงกระบวนที่ใช้ร่ายคาถาอีกครั้งหนึ่งและได้ ข้อสรุปว่าตอนนี้สายเลือดเอลฟ์ของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นหมาป่าพวกนี้เทียบเท่ากับแร็พเตอร์ที่พัฒนาพลังแล้วทําให้เนเจอร์เบ็คคอน เป็นคาถาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในตอนนี้
ทว่าเขาไม่รู้ว่าบัฟแบบนี้จะใช้กับการอัญเชิญในแบบอื่น ๆ ได้ หรือไม่ หากว่ามันเป็นไปได้ก็จะทําให้คาถาอัญเชิญในระดับที่สูงขึ้ นยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นอีก การอัญเชิญเดม่อนไวเวิร์นและโกเล็ม เป็นคาถาที่ทรงพลังมาก แต่ยิ่งการอัญเชิญนั้นทรงพลังมากเท่าไหร่อัตราการประสบความสําเร็จในการร่ายคาถาก็ยิ่งลดน้อยลงและถึง แม้จะสามารถร่ายออกมาได้ก็จะอัญเชิญออกมาได้เพียงตัวเดียวเท่านั้นหากบัฟสามารถใช้ได้กับคาถาอัญเชิญระดับสูงเหล่านี้ก็จะ ช่วยส่งเสริมความได้เปรียบแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาจะสามารถรู้เรื่องผลลัพธ์ที่แท้จริงของเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเข้าสู่ระดับ 13 หรือ 14 แล้วเท่านั้น
ทว่าด้วยระดับในปัจจุบันของเขา เขาสามารถทําการทดลองอัญ เชิญอันเดดได้ เขารีบข่มความตื่นเต้นเอาไว้ก่อนตั้งสมาธิและร่ายคา ถาออกมาทันทีแต่ก็น่าเสียดายที่หลังจากแสงไฟวาบขึ้นเขาก็พบว่ามีโครงกระดูกเพียง 3 โครงเท่านั้นที่ขยับไปรอบ ๆ ห้องซึ่งนั่นชี้ให้เขาเห็นแล้วว่าบัฟใช้กับอันเดดไม่ได้
เขาสงบใจของตัวเองลงแล้วตัดสินใจดีดนิ้วเพื่อยกเลิกคาถาใน ที่สุด เพียงแค่บัฟสําหรับคาถาเนเจอร์เบ็คคอนก็มากเกินพอแล้ว เขานั่งลงอีกครั้งแล้วพิจารณาหมาป่าทั้ง 5 ตัวที่อยู่ในแผ่นกระดาษที่ฉีกออกมาจากหนังสือพร้อม ๆ กับยอมให้ตัวเองรู้สึกภาคภูมิใจน้อย ๆ นับตั้งแต่กาตอนบอกเขาว่าชารอนมีพลังสายเลือดแห่งซัมมอนเนอร์ เขาก็กระตือรือร้นที่จะแสดงคาถาเหล่านี้ให้นางได้เห็น
เลเจนดารี่เมจก็ไม่สามารถทําได้ดีกว่าหมาปา 5 ตัวในระดับเดีย วกันใช่ไหม ? แม้จะนับรวมกับอบิลิตี้ทางสายเลือดที่เพิ่มขึ้น มานางก็สามารถทําการอัญเชิญได้อย่างมากก็น่าจะเพียง 6 ตัวริชาร์ดนึกสงสัยขึ้นมาว่าหากมาสเตอร์ของเขาได้มาเห็นความสําเร็จข องเขาในวันนี้ เขาจะได้รับความสุขของชารอนเป็นจํานวนสักเท่า ไหร่ ? แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหตุการณ์ใน “ค่ําคืนแห่งโช คชะตา” นั้นก็ได้ผุดขึ้นมาในความคิดของเขาอีกครั้งภาพแห่งความฝันอันงดงามทว่าเสมือนจริงของดีพบลูอาเรียฉายชัดขึ้นในความคิดของเขาซึ่งมันได้ย้ําเตือนว่าตัวเขากําลังแบกรับความคาด หวังของมาสเตอร์อยู่
ในตอนนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ ซึ่งการจะทําตาม “คําสัญญา” ที่เขามีต่อผู้หญิงที่สําคัญที่สุดในชีวิตของเขาทั้ง 2 คนให้สําเร็จนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทําให้ลุล่วงก่อนจึงยังมีอยู่อีกมากมายนัก
ในที่สุดเมื่อจิตใจของเขาสงบลง เขาก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้และ กางแผนที่ออกมาเพื่อไตร่ตรองถึงสิ่งต่อไปที่เขาจะต้องทํา
ในความเป็นจริงแล้วความรู้ในทฤษฎีส่วนใหญ่ของเขาเกี่ยวกับ การบัฟให้คาถาอัญเชิญนั้นถูกต้องเพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาคาด การณ์ผิดไปนั่นคือ อบิลิตี้ของชารอนทรงพลังกว่าที่เขาคิดไว้มาก
มันคงจะเป็นอนาคตที่ยาวไกล เมื่อใดที่เขาได้เห็นมาสเตอร์ของ เขาร่ายคาถาระดับเลเจนดารี่ซัมมอนเรดดราก้อน” เขาจะตระ หนักได้ว่าพรสวรรค์ของชารอนมีคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการประการแรกคือการเพิ่มจํานวนสิ่งมีชีวิตที่อัญเชิญได้ ประการที่ 2 เป็ นการเพิ่มระดับของสิ่งมีชีวิตที่อัญเชิญออกมาได้1-3 ระดับ และป ระการสุดท้ายคือการลดมานาที่ใช้สําหรับร่ายคาถาอัญเชิญให้น้อย ลงดังนั้นหากชารอนที่อยู่ในระดับ 9 ต้องสู้กับริชาร์ดที่อยู่ในระดับ 9 เท่ากันในตอนนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งคู่ถูกจํากัดอยู่ที่คาถาเนเจอร์เบ็คคอนเหมือน ๆ กัน – หมาปา 5 ตัวของเขาก็จะต้องเผ ชิญกับหมียักษ์จํานวนมากกว่า 10 ตัวเลยทีเดียว –