นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 163 บันทึก
นครแห่งบาป – City of Sin
เล่ม 2 ตอนที่ 163 บันทึก
ในสมุดไดอารี่หน้าถัดจากเหตุการณ์นั้นเป็นการบันทึก ความสนใจของเอสเซียนบนเพลนนี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาคัมภีร์และหนังสือหลายเล่ม รวมถึงการใช้ตําแหน่งของเขาในการศึกษาคัมภีร์ต้องห้าม เขากําหนดแรงบันดาลใจของตัวเองลงในสมุดและการศึกษาวิจัยของเขาระบุไว้ว่ามีการบุกรุกเพลนนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งผลกระทบของผู้บุกรุกก็มีความหลากหลายแตกต่างกันไป และถึงแม้มีผู้บุกรุกไม่มากนักที่เป็นมนุษย์ ทว่าก็ไม่ได้หายากเช่นกัน
คําทํานายจากเทพแห่งความกล้าหาญและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับการบุกรุกเพลนมากนัก แต่ก็ยังมีร่องรอยบางอย่างอยู่บ้าง ปัจจัยที่สําคัญบางอย่างจะถูกส่งมากับคําทํานายเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือจํานวนของพวกเขา
การบุกรุกที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนักอย่างเช่นการบุกรุกโดยกลุ่มของริชาร์ดที่สมาชิกส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 10 หรือต่ำกว่านั้นเป็นกรณีหายากอย่างยิ่ง ในอดีตเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 13 จัดว่าเป็นภัยคุกคามที่ไม่รุนแรง ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงถึง 15 จะถูกจัดว่าเป็นความอันตราย และสําหรับผู้บุกรุกที่อยู่ในระดับมากกว่านั้นนับว่าเป็นความอันตรายอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม จํานวนของผู้บุกรุกไม่ได้มีความสําคัญมากนักเนื่องจากระดับเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงพลังของพวกเขา และแม้แต่ผู้บุกรุกกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบุกรุกที่นี่มาก็ยังมีจํานวนไม่ถึง 100 คน ดังนั้นจํานวนของผู้บุกรุกจึงแทบไม่ถูกกล่าวถึงในไดอารี่เลย
ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่มีผู้บุกรุกคนใดที่สามารถเทียบเท่ากับเทพเจ้าของเพลนได้ ยอดฝีมือระดับสูงคนใดก็ตามในเพลนล้วนสามารถกําจัดพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยมือเดียว ทว่าพวกเขามักปล่อยให้เหล่าคนชั้นล่างจัดการแทน
อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นอยู่ข้อหนึ่งนั่นก็คืออสูรดวงดาว 3 ตัวที่เคยบุกมาจากเพลนอื่น หลังจากการสู้รบกันอย่างรุนแรงทําให้ยอดฝีมือของเพลนนี้ตายไปเกือบทั้งหมด แม้แต่เทพองค์หนึ่งก็ยังล่มสลายไป และทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปก็ถูกแยกตัวออกจากส่วนที่เหลือก่อนลอยไปตามทะเลและกลายเป็นเกาะที่โดดเดี่ยว มันต้องใช้การเสียสละอย่างใหญ่หลวงกว่าจะสังหารอสูรทั้ง 3 ตัวนั้นได้และทําลายประตูมิติที่เชื่อมต่อกับเพลนอื่นที่พวกมันอาจใช้เป็นทางเข้ามา
เหล่าเทพเจ้าของเพลนนี้ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้นมากนักและการสืบสาวราวเรื่องใด ๆ ก็ไม่เกิดขึ้นอีกแม้แต่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นความลับที่สุดก็ยังกล่าวถึงมันเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น เอสเซียนได้เขียนข้อความที่เรียบง่ายเอาไว้ในตอนท้ายของข้อความทั้งหมด: สงครามบนเพลนนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างนั้นหรือ ?
ซึ่งความสงสัยนั้นเกิดขึ้น 12 ปีหลังจากที่เขาเริ่มต้นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเพลนอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นคลาสใดก็ตาม แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับ 16 จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวดบนเพลนนี้ เมจจะกลายเป็น แกรนด์เมจ วอริเออร์จะกลายเป็น เซนต์วอริเออร์ ส่วนพรีสต์จะกลายเป็น ไฮพรีสต์ สําหรับเอสเซียนนั้น เขาเป็นเพียงพรีสต์ผู้หนึ่ง ที่เหนือกว่ามาตรฐานเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าตลอดชีวิตนี้เขาจะสามารถเข้าสู่ระดับ 16 ได้หรือไม่ ทว่าสมุดไดอารี่สั้นกะทัดรัดเล่มนี้ทําให้ริชาร์ดรู้ว่าพรีสต์เอสเซียนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เขาเป็นอัจฉริยะและความเฉลียวฉลาดของเขานั้นก็เหนือกว่าความศรัทธาของเขาไปมาก
รายละเอียดในสมุดไดอารี่ของปีที่ผ่านมาระบุไว้ว่าเอสเซียนได้เริ่มค้นหาวัตถุโบราณ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาจัดการดูแลวิหารตรงขอบเขตของไวท์ร็อคดัชชี่ที่เรียกว่า – ดินแดนแห่งความโกลาหลซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูเขาที่ฐานของริชาร์ดปักหลักอยู่
ดินแดนแห่งความโกลาหลครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 10,000 ตารางกิโลเมตรในพื้นที่ที่มีขอบเขตล้อมรอบ สถานที่นี้อันตรายมากเนื่องจากมีทั้งภูเขาสูง หน้าผาสูงชัน หุบเหวลึก และสันเขาซึ่งมองเห็นได้ทั่วไป มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงโดยส่วนใหญ่จะเป็นอสูรที่ทรงพลังอาศัยอยู่ไปทั่วทั้งพื้นที่
ดินแดนแห่งความโกลาหลอยู่ระหว่างพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์และที่ราบสูงเรดร็อค และถ้าขึ้นไปทางทิศเหนือจะเป็น – ดินแดนเปื้อนเลือด ความบิดเบี้ยวของเวลาไม่ใช่เรื่องผิดปกติบนเพลนนี้ และสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดก็มักจะล่องลอยมาตามรอยแยกของมิติเป็นปกติอยู่แล้ว นี่ทําให้ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีชนเผ่าแปลกประหลาดมากมายเพียงใดเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่บ้าง เอสเซียนต้องการค้นหาร่องรอยของสาเหตุที่ทําให้เกิดรอยแยกที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นผ่านเข้ามาเพราะเขาต้องการใช้ร่องรอยเหล่านั้นในการแก้ปริศนาลึกลับของเพลน
พรีสต์ผู้นี้มีความทะเยอทะยานมาก เขาต้องการค้นพบแก่นแท้ของเพลนและกาลเวลารวมทั้งค้นหาวิธีการที่จะเชื่อมต่อกับเพลนอื่น เขาตระหนักว่าพลังอํานาจโดยรวมของเพลนอาจเสื่อมโทรมลงจากการบุกรุกครั้งแล้วครั้งเล่า และยังคาดเดาได้อีกด้วยว่าสิ่งนี้ทําให้เหล่าเทพเจ้าของเพลนนั้นอ่อนแอลงเช่นกัน
เทพเจ้าจะส่งคําทํานายออกมาเมื่อมีผู้บุกรุกทุกกลุ่มเข้ามา ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าไร พวกเขาก็จะมีข้อมูลให้มากขึ้นเท่านั้น พวกเขาต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อให้ได้คําพยากรณ์เหล่านี้และการจะได้ข้อมูลที่มีความชัดเจนนั้นจะต้องใช้พลังงานจํานวนมหาศาล
พลังงานที่กําลังร่วงโรยบนเพลนนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงสมมติฐานของเขา เพลนยังไม่ได้ฟื้นตัวจนถึงจุดสูงสุดอย่างที่เคยเป็นก่อนการสู้รบกับอสูรดวงดาวเหล่านั้น และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังอยู่เพียง 1 ใน 3 ของความรุ่งเรืองดั้งเดิม สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือไม่มีเทพเจ้าองค์ใหม่องค์ใดเข้ามาแทนที่เทพเจ้าองค์เก่าที่ล่มสลายไปแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการก่อตั้งวิหารขึ้นเลยแม้จะมีผู้เรียกร้องอยากให้สร้างก็ตาม
ตลอดระยะเวลา 13 ปีของการค้นคว้า ในที่สุดเอสเซียนก็ได้ข้อสรุปใหม่ขึ้นมานั่นก็คือ เพลนแห่งนี้ไม่ใช่เพลนเดียวที่มีเทพเจ้าความคิดนี้เป็นเรื่องที่ต้องห้ามอย่างที่สุดภายใต้คําสอนของเทพเจ้า หากสมุดไดอารี่เล่มนี้รั่วไหลออกไป เขาจะต้องถูกจับเผาทั้งเป็นอย่างแน่นอน
เขาเชื่อว่าเนื่องจากสงครามเพลนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างเพลนนับไม่ถ้วน ดังนั้นแหล่งทรัพยากรและพลังจึงเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง ผู้คนจะต้องคิดหาวิธีในการเปิดประตูมิติไปสู่เพลนอื่นหากพวกเขาคิดจะทําลายภาวะการเข้าตาจนแล้วบุกรุกเพลนเหล่านั้นให้สําเร็จ การขโมยความมั่งคั่ง ทรัพยากร และพลังอํานาจของเพลนเหล่านั้นเป็นหนทางเดียวที่จะทําให้เพลนของตนเองแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นวิธีเดียวที่จะทําให้แน่ใจได้ว่าพลังของพวกเขาจะไม่ถดถอยอีก
ข้อมูลพวกนี้ทําให้ริชาร์ดพูดไม่ออก จริง ๆ แล้วเพลนนี้มีชื่อว่า – เฟเลอร์ตามที่เทพเจ้าได้บอกไว้ ริชาร์ดรวบรวมจากสมุดไดอารี่ได้ว่าบ่อยครั้ง “ผู้บุกรุก” กลุ่มต่าง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาพิชิตเพลนนี้ทว่าพวกเขาบังเอิญมาลงเอยที่นี่ผ่านทางรอยแยกของห้วงอวกาศเท่านั้น แต่สําหรับอสูรดวงดาวนั้น พวกมันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่สามารถเปิดประตูมิติในห้วงอวกาศได้เอง และเดินทางไปตามเพลนนับไม่ถ้วนเพื่อจุดประสงค์บางอย่างซึ่งนี่เป็นวิธีเช่นเดียวกับที่ชารอน มาสเตอร์ของเขาใช้
สงครามระหว่างเพลนนั้นหยั่งรากลึกภายในจิตใจของชาวนัวแลนด์ ตระกูลใดก็ตามที่ยืนหยัดต่อการทดสอบของเวลาต่างก็มีทรัพยากรของเพลนอื่นอย่างน้อย 1 เพลนสํารองไว้ เพราะเหตุนี้จึงทําให้สงครามในหัวแลนด์รุนแรงกว่าสงครามในเพลนรอง
ครั้งแรกที่ริชาร์ดได้พบกับกาตอน มาร์ควิสผู้นี้มักจะจัดสรรกําลังคนเพื่อทุ่มไปพิชิตเพลนใดเพลนหนึ่งอยู่เสมอ เนื่องจากความสําคัญของสงครามระหว่างเพลนทําให้เรื่องเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก พวกเขาจําเป็นต้องใช้แผนการต่อสู้ที่เป็นมาตรฐานตั้งแต่ช่วงแรกที่แทรกซึมเข้าไป รวมถึงการตั้งรกราก การขยายอํานาจ ไปจนถึงการพิชิตเพลนทั้งหมด
ดังนั้นในหัวแลนด์จึงมีเพียงคนระดับสูงในสังคมเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างเพลน และทฤษฎีกับกลยุทธ์ในการพิชิตเพลนก็มักแพร่กระจายอยู่แค่วงในของชนชั้นสูงเท่านั้น ส่วนสามัญชนจะไม่ได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าว ความรู้ของริชาร์ดเองก็มาจากห้องหนังสือของกาตอนและการกระทําทั้งหมดของเขาก็คือการพยายามปรับทฤษฎีที่เขาเรียนรู้มาเพื่อให้นําไปปรับใช้ให้ได้จริง หากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือเขายังห่างไกลจากการคิดค้นวิธีการพิชิตเพลนในแบบของตัวเอง
เอสเซียนค้นพบความสําคัญของสงครามระหว่างเพลนโดยที่ตัวเขาเองยังไม่เคยเผชิญกับสงครามในเฟเลอร์ด้วยซ้ำ ดังนั้นการเรียกเขาว่า “อัจฉริยะ” ยังจะเป็นการดูถูกเขาเกินไปด้วยซ้ำ เพราะการมองการณ์ไกลของเขานั้นเฉียบแหลมและวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเขาก็ยอดเยี่ยมซึ่งเขาได้มาจากรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ริชาร์ดมั่นใจว่าหากเอสเซียนมีเวลามากพอ เขาอาจจะกลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติได้อย่างแน่นอน
ทว่าถึงอย่างไร เอสเซียนก็เป็นเพียงแค่พรีสต์อยู่ดีและริชาร์ดก็รู้สึกเสียดายทุกครั้งที่นึกถึงประเด็นนี้