นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 148
เมืองออสฟ้าดูจะโชคดีกว่ามาก ไม่เหมือนกับเมืองโจเว่นที่ถูกปล้นถึง 2 ครั้ง ออสฟ่าเป็นเมืองขนาดเล็กที่อยู่ติดกับภูเขา และไม่เคยต้องเจอกับการโจมตีจากผู้บุกรุกมาก่อน
ในเวลานี้เมืองโจเว่นถือว่าเป็นเมืองที่โชคร้ายอย่างมากที่ต้องเจอการโจมตีถึง 2 ครั้งติดกัน นอกจากริชาร์ดจะได้รับผลประโยชน์จากคฤหาสน์ของโคโจรวมถึงภายในค่ายฝึกของพวกเขาแล้ว เขายังได้รับภาษีจากประชากรเหล่านั้นอีกด้วย ขณะที่เงินที่กองทัพของบารอนได้รับก็มาจากเมืองเช่นกัน ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากสําหรับคนในเมืองโจเว่นที่จะบอกได้ว่าในเวลานี้พวกเขาเกลียดใครมากกว่ากัน
การหลีกเลี่ยงเมืองออสฟ่าเป็นความตั้งใจของริชาร์ดตั้งแต่ต้นเพราะเขาได้คิดล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี รวมถึงได้มีการคาดเดาสถานการณ์ต่างๆที่อยู่บนแผนที่นับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจละทิ้งเมืองที่ใกล้ที่สุดอย่างออสฟ่าไป เขาพุ่งเป้าไปยังเมืองโจเว่นก่อนซึ่งเมืองนี้เป็นดินแดนของโคโจ และเป็นไปตามการคาดการณ์ของเขา เขาสามารถที่จะเอาชนะการต่อสู้ได้ภายในครั้งเดียว อีกทั้งยังบรรลุเป้าหมายพื้นฐานมากมายที่เขาต้องการควบคู่ไปด้วย
นอกจากนี้แล้วการที่ไม่ไปแตะต้องออสฟ่าทําให้พวกเขาต่างพากันเข้าใจผิดว่าผู้บุกรุกได้เดินทางออกจากฐานทัพของตัวเองไปแล้วและเลือกที่จะไปโจมตีที่อื่นแทน ฉะนั้นผู้บุกรุกคงจะไม่กลับมาโจมตีเมืองออสฟาอีกแน่ หากพวกเขาไม่ได้รับการโจมตีจากคนเหล่านั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคงกําลังการป้องกันที่แน่นหนาไว้อีก
กองกําลังของริชาร์ดใช้ประโยชน์จากช่วงเวลากลางคืนใน การมุ่งหน้าไปยังภูเขาและพวกเขาก็เดินทางไปถึงเชิงเขา ในเช้าของวันรุ่งขึ้น ด้วยการที่ระหว่างทางมีหมู่บ้านเพียงหมู่บ้านเดียวทําให้พวกเขาขจัดร่องรอยของตัวเองได้อย่างง่ายดาย และแน่นอนว่าผู้ที่นําทางพวกเขามาที่นี่ก็คือทหารที่พ่ายแพ้ให้กับเขาในศึกก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ดี
ทันทีที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า กลุ่มของริชาร์ดก็เดินทางห่างออกจากเมืองโจเว่นแล้วถึง 30 กิโลเมตร พวกเขาใช้เส้นทางผ่านป่าขนาดเล็กจนมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงตีนเขา พวกเขาเริ่มจัดกองกําลัง พร้อมกับตั้งค่ายขึ้นมาเพื่อพักอาศัยชั่วคราว แผนการต่อไปของริชาร์ดในตอนนี้ยังคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ เพราะเขาจะต้องรอจนกว่าจะได้รับข่าวจากมาร์วิน
ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นักทว่ามีน้ําที่ใสสะอาด พื้นผิวอันเงียบสงบของน้ําสะท้อนแสงเหมือนกับไพลินที่ถูกขัดจนเป็นเงา มีลําธารสองสามสายไหลลงสู่ทะเลสาบจากระยะทางสั้นๆ และริมฝั่งของทะเลสาบก็เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่ม ม้าศึกผ่อนคลายลงหลังจากที่ต้องเดินทางมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และเหล่าทหารที่มากประสบการณ์ต่างก็พามันไป กินน้ําพร้อมทั้งให้พวกมันกินหญ้าเพื่อเป็นการเติมพลังให้กับพวกมัน
พวกเขาจอดรถม้า 2 คันไว้ที่ข้างทะเลสาบเพราะดูเหมือนว่านี่จะเป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดที่พวกเขาสามารถเดินทางด้วยรถม้าได้ สําหรับทางที่จะเดินต่อไปด้านหน้านั้นเป็นเส้นทางของภูเขาที่แม้แต่ม้าก็ยังยากที่จะเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทันทีที่หญิงสาวและเด็กที่ถูกทรมานอยู่ในรถม้าลงมาจากรถ ใบหน้าซีดเซียวของพวกเขาก็ยิ่งดูอิดโรย ดูเหมือนว่าพวกเขาแทบจะไม่มีแรงเหลือให้ยืนได้ด้วยขาของตัวเอง เด็กสาวสองสามคนในนั้นดูราวกับพร้อมที่จะเป็นลมได้ตลอดเวลา ทว่าทันทีที่พวกนางตระหนักได้ว่าคนที่มาคุมคือโอเกอร์ พวกนางต่างก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
โอเกอร์เต็มไปด้วยพละกําลังและมีความเฉลียวฉลาด สําหรับเพลนแห่งนี้ และพวกมันก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการกินเนื้อมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก หรือแม้แต่คนชราต่างก็ไม่ได้รับข้อยกเว้น เหล่าเชลยต่างพากันกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวก่อนที่จะถูกบังคับให้มารวมตัวกันและนั่งลง เพื่อรอให้กองกําลังทหารที่เพิ่งแปรพักตร์มาตั้งค่ายให้เสร็จ
มีเดียมแรร์ออกไปช่วยเหล่าทหารหน้าใหม่ตัดต้นไม้ ในขณะที่ทีรามิสุตั้งกระทะขนาดใหญ่เพื่อเตรียมปรุงสตูว์เนื้อที่ดีที่สุดของเขา ริชาร์ดหาที่ร่มเงาก่อนที่จะนําแผนที่ออกมากางไว้บนพื้นหญ้าเพื่อเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นเขาก็ได้รับข้อความที่เกิดขึ้นภายใต้จิตสํานึกซึ่งเป็นเสียงที่ดังมาจากบรัดมาเธอร์ “มาสเตอร์ ข้าค้นพบค่ายของพวกก็อบลิน พวกมันมีอยู่ประมาณ 200 กว่าตัว และตอนนี้ข้ากําลังจะไปจัดการกับพวกมัน”
“ตกลงตามนั้น” ริชาร์ดตอบกลับไป “ดูแลตัวเองด้วย”
สําหรับเหล่าก็อบลินนั้น พวกมันค่อนข้างที่จะอ่อนแอโดยมีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณระดับ 1 หรือ 2 เท่านั้นและพละกําลังของมันจะมีได้มากที่สุดคือระดับ 5 จุดเด่นของมันคือสามารถผสมพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี พวกมันมีอยู่ตามเพลนต่างๆ และการที่พบว่ามีก็อบลินอาศัยอยู่ภายในเพลนแห่งนี้ทําให้ริชาร์ดยิ่งรู้สึกมั่นใจมากว่าที่นี่คล้ายกับหัวแลนด์มากขึ้นทุกที ค่ายที่มีก็อบลิน 200 ตัวนั้นถือว่ามีขนาดเล็กมาก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มักเลือกที่จะเคลื่อนย้ายไปที่อื่นเมื่อพวกมันพบกับศัตรูที่ทรงพลัง พวกมันต่างรู้ดีว่าตัวเองไม่มีพลังมากพอที่จะโจมตีศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นริชาร์ดจึงไม่กังวลกับการที่ต้องปล่อยให้บรู๊ดมาเธอร์ไปจัดการด้วยตัวมันเอง ตอนนี้มันเองก็มีแร็พเตอร์ที่ถูกปรับปรุงความแข็งแกร่งอยู่ข้างกายแล้วถึง 3 ตัว ทําให้โอกาสที่มันจะได้รับชัยชนะมีสูงมาก
การค้นพบเหล่าก็อบลินของบรู๊ดมาเธอร์และการสํารวจของริชาร์ดที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ได้บอ กกับเขาว่าเพลนแห่งนี้มีแหล่งอาหารจํานวนมากและอาจจะมีเยอะกว่าหัวแลนด์ที่เขาจากมาเสียอีก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทําให้ที่นี่มีความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ที่มากขึ้น ริชาร์ดหยิบหนังสือที่ดีที่สุดที่เขาได้รับมาจากเมืองโจเว่นและเริ่มพลิก อ่านมันที่ละหน้า หนังสือที่เขาได้รับเหล่านี้มีความสําคัญต่อเขามากกว่าเงิน 1,000 เหรียญ เพราะในหนังสือสามารถทําให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับที่นี่ได้มากขึ้น และนั่นก็ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดของพวกเขาภายในเพลนแห่งนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าริชาร์ดจะเชื่อมั่นในความสามารถของบรู๊ดมาเธอร์ ทว่าเขายังคงเฝ้าสังเกตมันอยู่ตลอด อบิลิตี้พรีซิชั่นของเขาได้จําลองภาพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พันธสัญญาของเขาภายในจิตสํานึก และยังมีแถบอยู่ใกล้ๆกับภาพของสิ่งมีชีวิตนั้นๆด้วย ซึ่งแถบนั้นมีสีฟ้าและแดง ในเวลานี้แถบของบรู๊ดมาเธอร์มีครึ่งหนึ่งที่เป็นสีฟ้าและอีกครึ่งเป็นสีแดง แสดงให้เห็นถึงพลังงานสํารองของมันที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวนี้ จะเป็นตัวติดสินว่ามันจะสร้างลูกสมุนได้อีกมากน้อยแค่ไหน
ในเวลานี้บรู๊ดมาเธอร์อยู่ห่างจากเขา 30 กิโลเมตรและมันก็เพียงต้องจัดการกับเหล่าก็อบลินขนาดเล็กเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งแร็พเตอร์ที่อยู่กับเขาให้ไปช่วยเสริม ในทางกลับกัน เขาปล่อยให้พวกมันกระจายออกไปตามป่าเพื่อล่าหาอาหารด้วยตัวของพวกมันเอง
ห่างจากจุดที่ริชาร์ดอยู่ไกลออกไประยะหนึ่ง โอล่ากําลังหมกมุ่นอยู่กับการเขียนจดหมายเพื่อส่งไปให้บารอนฟอร์ซ่าโดยมีโฟลว์แซนด์คอยกํากับดูแลอยู่ข้างๆ แม้ว่าเอลฟ์บาร์ดจะยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาใหม่ในเพลนแห่งนี้ทว่าความสามารถในการเข้าใจศิลปะของเขาทําให้เขาเขียนสัญลักษณ์ของภาษาต่างเพลนออกมาได้อย่างสวยงาม เนื้อหาภายในจดหมายเขียนไว้อย่างเรียบง่ายโดยมีเนื้อหาประมาณว่า “การเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการเรียกร้องค่าไถ่เพื่อที่จะแลกกับเหล่าภรรยาและบุตรของเซอร์โคโจ หากบารอนฟอร์ซ่าเต็มใจที่จะจ่ายเงินเป็นจํานวนมากพอ เขาก็จะสามารถไถ่ตัวของเหล่าทาสกลับไปได้ การตัดสินใจทําเช่นนั้นจะทําให้บารอนฟอร์ซ่าสามารถรักษาศักดิ์ศรีและชื่อเสียงในหมู่ลูกน้องของเขาไว้ได้
ริชาร์ดรู้ดีว่าการเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งไปมีโอกาสที่เขาจะไม่ได้อะไรกลับมา แม้ว่าบารอนจะเต็มใจจ่ายเงินค่าไถ่ แต่ด้วยสถานะของพวกเขาซึ่งเป็นผู้บุกรุกจากเพลนอื่นก็ทําให้พวกเขาถือเป็นศัตรูกับเทพเจ้าของเพลนนี้ หากบารอนกล้าติดต่อแลกเปลี่ยน เขาก็จะถูกเทพแห่งความกล้าหาญตีตราว่าเป็นผู้ที่ดูหมิ่นเทพเจ้า
แน่นอนว่าเนเอียนไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะเป็นเทพแต่แขาก็ไม่สามารถรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกได้ในเวลาพร้อมๆกันได้ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นเทพเจ้าระดับสูงสุดก็ยังไม่สามารถทําเช่นนั้นได้ หูและตาของเนเอียนก็คือเหล่า เคลริคที่อยู่ภายในอาณาเขตของเขา การที่บารอนจะจ่ายเพื่อปิดปากเคสริคพวกนั้นแน่นอนว่าย่อมจะมีราคาที่สูงและทําให้เขาเสียหายหนักกว่าการปฏิเสธค่าไถ่ในครั้งนี้แน่
วอเตอร์ฟลาวเวอร์เดินไปเดินมาอยู่ในป่าตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้า และห่างออกไปไม่ไกลนัก แกงดอร์กําลังเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ขวานของเขาวางอยู่ข้างตัวซึ่งดูเหมือนว่ามันจะอิ่มกับการได้กินเลือดสดๆไปก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้เขาดูเป็นคนที่เฉื่อยชาและเกียจคร้านในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันเคลื่อนย้ายไม้ไปสับที่ด้านข้างของทะเลสาบเพื่อใช้ในการสร้างค่าย
“พวกนั้นทํางานกันหนักจริง ๆ” แกงดอร์พูดอย่างผ่อนคลาย
“ข้าไม่ชอบคนพวกนั้น” วอเตอร์ฟลาวเวอร์ตอบกลับโดยปราศจากความกระตือรือร้น และทันใดนั้นนางก็กวาดดาบในมือของตัวเองเป็นแนวขวางแล้วพูดขึ้นด้วยความกระหายเลือด “พวกนั้นเกลียดพวกเรา ถ้ามีโอกาสพวกนั้นจะต้องฆ่าพวกเราในทันทีอย่างแน่นอน”
แกงดอร์ยักไหล่ “ส่วนใหญ่เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวและเป็นพวกขยะทั้งนั้น ข้าเชื่อว่ามาสเตอร์รู้เรื่องนี้ดี ข้าว่ามาสเตอร์ก็ไม่ได้นึกอยากจะได้รับความเคารพจากคนพวกนั้นหรอก มีเพียงความกลัวเท่านั้นที่จะทําให้พวกมันเชื่อฟังได้เพราะคนที่มีความกล้าหาญมันตายไปด้วยขวานของข้าหมดแล้ว”