นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 140 เสื่อมเสีย ตอนที่ 2
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็ดังโหยหวนไปทั่ว….
— การสอบปากคำเริ่มขึ้นอีกครั้ง! —
ตามปกติแล้วเสียงของพรีสต์มักเป็นเสียงในโทนสูง ดังนั้นเสียงกรีดร้องที่แหลมและสูงของมาร์วินจึงช่วยยืนยันถึงความสามารถในการสรรเสริญเทพเจ้าของเขาได้อย่างดี ทว่ามันกลับเป็นเรื่องน่าเวทนาที่ว่า ด้วยอายุของเขาในตอนนี้แต่เขากลับยังคงเป็นเพียงพรีสต์ระดับ 3 ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการอุทิศตนของเขานั้น ‘ยิ่งใหญ่’ เพียงใด
ในตอนแรกพรีสต์มาร์วินสบถสาปแช่งริชาร์ดเสียงดังลั่น ทว่าต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นการสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าของเขาอย่างรวดเร็ว และไม่นานหลังจากนั้นก็กลายเป็นเสียงอ้อนวอนร้องขอการอภัยและตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังอยู่ตลอดช่วงเวลาแห่งความทรมาน ก่อนที่เสียงของพรีสต์หนุ่มจะเงียบลงในที่สุด กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ริชาร์ดรู้ดีว่าช่วงเวลา 5 นาทีที่เขาใช้กับวอริเออร์ที่แข็งแกร่งนั้นสามารถสังหารพรีสต์ได้อย่างแน่นอนเพราะเขาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนเหล่าทหารที่เคยผ่านสมรภูมิรบหรือพบเจอกับความตายนับไม่ถ้วนมาก่อน และถึงแม้ว่าโฟลว์แซนด์จะสามารถรักษาบาดแผลทางร่างกายของเขาได้แต่จิตใจของพรีสต์หนุ่มก็ไม่อาจรอดพ้นจากการแหลกสลาย ดังนั้น ช่วงเวลาเพียง 3 นาทีที่แสนเรียบง่ายนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างแล้ว
เมื่อริชาร์ดปล่อยมาร์วินลง เขาก็รีบไปซุกตัวอยู่ที่มุมห้องและนั่งกอดตัวเองแน่นขณะที่ร้องไห้คร่ำครวญอย่างหวาดผวาไปด้วย “เจ้าต้องการรู้อะไรอีก? ข้าบอกเจ้าไปหมดทุกอย่างแล้ว บอกหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ข้าบอกเจ้าแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับวิหาร !…”
พรีสต์หนุ่มพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองและเปรอะไปทั่วใบหน้า
“เงียบ !” โฟลว์แซนด์ออกคำสั่งด้วยท่าทีเฉยเมย แต่นั่นก็ทำให้มาร์วินหยุดร้องไห้ได้ทันที ! สำหรับเขาแล้ววิธีการทรมานของริชาร์ดนั้นไม่ได้น่ากลัวมากเท่าหญิงสาว ‘เลือดเย็น’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย นางร่ายคาถาเลสเซอร์ฮีลครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อคงสติของเขาไว้ซึ่งทำเพียงเพราะต้องการให้เขาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดในทุก ๆ การทรมานที่เกิดขึ้น
“ลุกขึ้นยืน”
พรีสต์หนุ่มเด้งตัวขึ้นจากพื้นทันที เขาใช้แผ่นหลังพิงแนบไปกับผนังเพื่อทรงตัวในขณะที่ยืนตรงตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าผนังนั้นเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“ข้าใช้คาถาเลสเซอร์ฮีลไปแล้วกี่ครั้ง ?”
“8 ครั้ง !” มาร์วินตอบอย่างรวดเร็ว และในวินาทีเดียวกันนั้นเองที่เขาตระหนักได้ถึง ‘ความหมาย’ ของมัน ร่างกายของพรีสต์หนุ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ คำตอบนั้นหลุดจากปากเขาไปแล้วและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่การควบคุมความหวาดกลัวของตัวเอง
ริชาร์ดส่ายหน้าน้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าโฟลว์แซนด์มีอิทธิพลในสถานการณ์นี้มากเสียยิ่งกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกลับไปทำความสะอาดเครื่องมือของเขาอย่างเงียบ ๆ ทว่าทันทีที่เขาหันหลังกลับ เสียงเรียกของโฟลว์แซนด์ก็ดังขึ้น “ริชาร์ด จัดการเขาอีกรอบ”
“ไม่นะ !” มาร์วินตะโกน “ม่ายยยยย !” เขาพุ่งตัวเข้าหาโฟลว์แซนด์ และโผเข้าคว้าต้นขาของนางในขณะที่ปากก็เริ่มอ้อนวอน “ข้าจะบอกทุกอย่าง ข้าจะ… ข้าจะทำทุกอย่าง! ได้โปรดเถอะ อย่าทำข้าอีกเลย !”
ทว่ายังไม่ทันที่มาร์วินจะคว้าตัวโฟลว์แซนด์ได้ นางก็รีบก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วและเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหนีจากอ้อมแขนของเขา จากนั้นเคลริคสาวก็น้อมตัวลงและวางนิ้วชี้ขวาไว้ตรงริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญญาณให้เขาหยุดพูด
เสียงคร่ำครวญของมาร์วินเหือดหายไปทันทีแม้เขาจะยังอยู่ในท่าทางเดิม มือทั้งสองของเขายื่นออกมาค้างไว้ในท่าทางกำลังจะโอบกอดขณะที่ตัวของเขาแข็งทื่อราวกับรูปปั้น ซึ่งในขณะนั้น ใบหน้าของเขาและเคลริคสาวอยู่ห่างกันไม่ถึง 20 เซนติเมตร
คิ้วของโฟลว์แซนด์ยกขึ้นน้อย ๆ และมาร์วินก็พยักหน้ารับช้า ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เข้าใจความหมายของนาง โฟลว์แซนด์จึงชี้ไปที่ผนังห้องอีกครั้งและมาร์วินก็ถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิมซึ่งเขาก็ทำในท่าทางแบบเดิมอีกทันทีนั่นก็คือการยืนตรงชิดผนังตัวแข็งทื่อ
“เจ้ายินดีจะทำทุกอย่างแล้วงั้นรึ ?” โฟลว์แซนด์ถามเบา ๆ
“ใช่ !” มาร์วินตอบอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นก็ยอมแพ้ซะ !”
“ได้ !” เขาตอบคำถามนั้น ทว่าช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ ? มันจะดีได้อย่างไรกัน ? เขาเป็นพรีสต์ของเนเอียนซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความกล้าหาญและยังอยู่เพียงระดับ 3 เท่านั้น หากเขาทรยศต่อเนเอียน ระดับของเขาก็จะลดลงจนไม่สามารถใช้คาถาศักดิ์สิทธิ์ได้อีกต่อไป การเป็นพรีสต์ที่ใช้คาถาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้จะมีประโยชน์อะไรกัน ?
เขาพยายามเค้นสมองใช้ความคิดมากขึ้น ผู้บุกรุกเหล่านี้เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่าเทพเจ้าแห่งเพลนนี้ หรืออย่างน้อยก็เทพแห่งความกล้าหาญ ต่อให้มันจะยังไม่สายเกินไปที่เขาจะเปลี่ยนความเชื่อของเขาเพื่อศรัทธาเทพเจ้าของเพลนอื่นแต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีจะใช้ได้ผลในการสำรวจเพลนอื่น ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนนี้ หรือต่อให้เทพเจ้าในเพลนอื่นจะแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่แต่เขาจะต้องทำงานอีกกี่ปีกว่าจะมีระดับเทียบเท่ากับระดับปัจจุบันในตอนนี้ของเขาเอง ?
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ดูเหมือนว่ามาร์วินไม่ได้เกิดความสับสนลังเลใจใด ๆ เพราะเขาย่อมรู้ดีว่าความแตกต่างระหว่างระดับ 1 และ 3 ก็ไม่ได้มากมายอะไรนักและพวกมันล้วนไร้ค่า เพียงแต่ถูกจัดให้อยู่ในมาตรฐานที่ต่างกันเท่านั้นเอง
โฟลว์แซนด์หันไปยิ้มกับริชาร์ดแล้วพูดขึ้น “ดูสิ เขายอมแพ้แล้ว ช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้”
ในตอนนั้นริชาร์ดก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน มันง่ายดายมากก็จริง แต่ความง่ายนี้เองที่กำลังจะเป็นปัญหาเพราะมันทำให้คำพูดของเขาดูมีค่าแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น และผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดก็คือโฟลว์แซนด์และดูเหมือนว่าอิทธิพลของนางจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ โฟลว์แซนด์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้มาร์วินและสั่งให้เขาวาดรูปสัญลักษณ์ของเทพแห่งความกล้าหาญบนนั้น มาร์วินดูสับสนแต่เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของนางจึงใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเข้าไปในเครื่องหมายนั้นด้วยและทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะทำอะไรตุกติกต่อหน้าพรีสเทสผู้สามารถร่ายคาถาเลสเซอร์ฮีลถึง 8 ครั้งอย่างง่ายดายได้
หลังจากนั้นโฟลว์แซนด์ก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นให้มาร์วินและออกคำสั่ง “อ่านมันซะ !”
เมื่อเห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่ไม่กี่บรรทัดบนกระดาษแผ่นนั้น มือของมาร์วินก็เริ่มสั่นเทา ใบหน้าของพรีสต์หนุ่มซีดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดเขาก็อ่านจบ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่โฟลว์แซนด์ก่อนจะมองดูริชาร์ด ‘ในครั้งนี้เครื่องมือเปื้อนเลือดของริชาร์ดบรรลุวัตถุประสงค์ของพวกมันได้ในที่สุด’ —ใบหน้าของมาร์วินซีดเผือดในขณะที่เริ่มอ่านข้อความบนกระดาษทีละวลีด้วยเสียงสั่นเครือ นี่คือย่อหน้าที่เขียนในภาษาของเทพเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่มีเหมือนกันในเพลนที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนนี้ และมันคือสิ่งแรกที่เขาต้องเรียนรู้เมื่อเริ่มต้น ‘การฝึกฝน’
คำพูดเหล่านี้… เป็นคำสาปแช่งต่อเทพเจ้าของเขาที่เลวร้ายที่สุด !
“ข้าขอสาบานด้วยจิตวิญญาณของข้า… ข้าจะละทิ้งสิ่งที่เจ้าเรียกมันว่าความรุ่งโรจน์และโยนมันลงดิน…” เมื่อพูดต่อมาร์วินก็ยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้น “…นั่นคือคำสาบานของข้า !” เมื่อพูดจบเขาก็รู้สึกถึงความอ่อนแอที่เต็มแน่นอยู่ภายในใจ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างน่ากลัวเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในร่างกายของเขาเริ่มเผาไหม้! ความเจ็บปวดในร่างกายที่เกิดขึ้นจากพลังที่แผดเผานั้นอาจไม่เลวร้ายเท่าการทรมานของริชาร์ด แต่ความรู้สึกทรมานที่บาดลึกอยู่ในจิตใจกลับไม่ได้แตกต่างกันเลย !
ถือเป็นความโชคดีที่เขาอยู่เพียงระดับ 3 เท่านั้น เพราะหากเป็นระดับ 10 การเผาไหม้ของพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจรุนแรงจนทำให้เขาถึงตายได้ ในฐานะคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้าองค์นี้ คำสาปแช่งจะเป็นตัวดึงดูดความสนใจขององค์เทพมาที่เขาจนอาจจะพูดได้ว่าเนเอียนกำลัง ‘ให้ความสนใจ’ กับมาร์วินในตอนนี้มากกว่าช่วงเวลาอื่นในชีวิตของเขาที่ผ่านมาทั้งหมด
โฟลว์แซนด์เปิดหนังสือแห่งกาลเวลาและพลิกหน้ากระดาษของมัน จนกระทั่งเมื่อถึงหน้าหนึ่งก็หยุดลงแล้วเกิดเป็นลำแสงฉายออกมาจากหนังสือหน้านั้น ลำแสงเจิดจ้าก่อตัวเป็นทรายแห่งกาลเวลาที่เปล่งออร่าของความสูงศักดิ์ซึ่งมาจากความประสงค์ของเทพเจ้าสูงสุด
“ปลดปล่อยความคิดของเจ้าซะและใช้จิตวิญญาณทั้งหมดเพื่อรับความเมตตาจากเทพเจ้าองค์ใหม่ของเจ้า สิ่งที่เจ้าเห็นตอนนี้คือสิ่งที่เจ้าจะเคารพบูชาไปชั่วชีวิต” เสียงของโฟลว์แซนด์นั้นเคร่งขรึมขณะที่มาร์วินที่กำลังถูกเผาไหม้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองนั้นไม่อาจทนต่อไปได้อีกจึงคุกเข่าลงต่อหน้ากลุ่มควันนั้นและเริ่มสวดภาวนาเสียงดัง เมื่อคำภาวนาและคำอธิษฐานจากปากของเขาพรั่งพรูออกมา พวกมันก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งขึ้นโอบล้อมรอบตัวเขาและเริ่มแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาทันที และนี่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกที่ช่วยระงับความร้อนที่มีอยู่
ทันใดนั้นเองทั่วทั้งร่างของมาร์วินก็เปล่งแสงเรือง ๆ สีทองอ่อนออกมาแล้วเกิดเป็นเปลวไปสีทองลุกโชติช่วง เขามองมือทั้งสองของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา ! หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาสั้น ๆ แห่งความทรมานที่เขาต้องสูญเสียคุณธรรมและความภาคภูมิใจทั้งหมดไป เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการหายไปของพลังของเนเอียน ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเมื่อมันคงที่ เขาก็พบว่าตัวเขาก้าวเข้าสู่ระดับ 6 แล้ว!
อย่างไรก็ตาม เปลวไฟสีทองที่ลุกโชนอยู่ทั่วร่างของเขาก็ดูเหมือนจะมีสีที่จางกว่าที่ควรและมีกลิ่นคล้ายบางอย่างที่กำลังเน่าเปื่อยโชยออกมาบาง ๆ ซึ่งแตกต่างจากพลังของโฟลว์แซนด์อย่างสิ้นเชิง
มาร์วินยกมือขึ้นมาตรงหน้าและจ้องมองมันอย่างใกล้ชิด ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทาขึ้นอีกครั้งขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามเอ่ยถามอย่างยากลำบาก “ข้า… เสื่อมเสียแล้วหรือ ?”
โฟลว์แซนด์ปิดหนังสือแห่งกาลเวลาลงและพูดอย่างเฉยเมยเช่นเดิม “อือ ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าเป็นพรีสต์ที่เสื่อมเสียแล้ว ทีนี้ก็สัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าได้รับซะ !”
พรีสต์จะต้องเผชิญกับการลงโทษอันศักดิ์สิทธิ์หากพวกเขาสาปแช่งเทพเจ้าของตนเอง ซึ่งที่พบได้มากที่สุดก็คือการที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกเผาไหม้จนหมดและหากพวกเขาสามารถผ่านมันไปได้โดยไม่ตาย พวกเขาก็จะมาสามารถศรัทธาในเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้ทว่าเทพเจ้าเหล่านั้นก็อาจจะไม่รับพวกเขาก็ได้เช่นกัน แต่ในทางกลับกันเทพเจ้าที่ชั่วร้ายมากก็พร้อมจะตอบรับพรีสต์ที่ ‘เสื่อมเสีย’ ได้ตลอดเวลา
ปัญหาก็คือแม้ว่าพรีสต์เหล่านี้จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าองค์ใหม่ของพวกเขาทว่าสัญลักษณ์เครื่องหมายของเทพเจ้าองค์เก่าจะไม่ถูกลบไป นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกว่า ‘เสื่อมเสีย’ เพราะพลังของพวกเขาไม่ได้มีไว้เพื่อเผยแผ่ความเชื่อและศรัทธาอีกต่อไปแต่กลับมีไว้เพื่อการกำจัดผู้นับถือเทพเจ้าองค์อื่นๆ
ดวงตาของมาร์วินจับจ้องหนังสือแห่งกาลเวลาในมือของโฟลว์แซนด์อย่างหลงไหล และในเวลาเดียวกันเท้าของเขาก็ก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความปรารถนาที่จะสัมผัสมัน ทันใดนั้นสายตาของโฟลว์แซนด์ก็สาดประกายขึ้นในทันทีที่เขาเข้าใกล้และจากนั้นมาร์วินก็รู้สึกว่าปลายนิ้วของเขากำลังถูกเผาไหม้ ! และมันกำลังเรืองแสงสีทองอ่อน ๆ ความเจ็บปวดที่ปลายนิ้วนั้นหนักหนาจนเหงื่อเย็น ๆ ผุดท่วมตัวของพรีสต์หนุ่มภายในพริบตา และเขาก็เริ่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“เจ้าสามารถเผาพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ด้วยหรือ ?” ริชาร์ดประหลาดใจ
โฟลว์แซนด์พยักหน้า “พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เสื่อมเสียของเขาอยู่ในการควบคุมของข้า การเผาไหม้ของพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 จะทำให้เขาอ่อนแอลงไปก็จริง แต่ว่าด้วยการที่อยู่ในระดับ 6 ก็ทำให้ในตอนนี้หากเขาคิดทรยศเทพเจ้าองค์ใหม่มันจะทำให้เขาถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงคำเตือนเล็ก ๆ เท่านั้น เอาล่ะ ตอนนี้การลงโทษเสร็จสิ้นแล้ว เราสามารถหยุดได้”
เปลวไฟที่เผาไหม้นิ้วมือของมาร์วินหายไปขณะที่โฟลว์แซนด์พูด มันไม่ได้ทิ้งร่องรอยการบาดเจ็บใด ๆ ไว้ให้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่รุนแรงราวกับจิตวิญญาณแตกสลายก็ได้ถูกสลักลึกลงไปในใจของ — พรีสต์ผู้เสื่อมเสีย — ไปแล้ว
“กลับไปหาพวกเชลยและฟังว่าพวกเขาจะพูดอะไร” โฟลว์แซนด์ออกคำสั่งและมาร์วินก็เดินตามทหารออกไปทันที
หลังจากที่มาร์วินเดินออกไป ริชาร์ดก็ไม่สามารถกดเก็บความอยากรู้เอาไว้ได้อีก “เขาเชื่อมต่อกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของมังกรนิรันดรได้ยังไง ? ในเมื่อตอนที่อยู่เพลนนี้เขาก็แทบจะไม่มีพลังอะไรเลย”
โฟลว์แซนด์ยกหนังสือแห่งกาลเวลาในมือของนางขึ้นชูให้ริชาร์ดดู “หนังสือแห่งกาลเวลาช่วยให้ข้าเชื่อมต่อกับมังกรนิรันดรได้โดยตรง ไม่ว่าข้าจะอยู่บนเพลนใดก็ตาม”
แม้โฟลว์แซนด์จะพูดเช่นนั้น แต่ริชาร์ดกลับรู้สึกว่าความง่ายดายในการที่พวกเขาสามารถควบคุมมาร์วินไว้ได้ แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากหนังสือแห่งกาลเวลาแต่เขาคิดว่าเป็นเพราะ ‘โฟลว์แซนด์’ มากกว่าตัวนางต่างหากที่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดของความมีประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาจึงส่งโฟลว์แซนด์ไปพักผ่อนขณะที่ตัวเขาเองก็กลับไปที่ห้องเพื่อทำสมาธิและฟื้นฟูมานาของเขาต่อไป