นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 136 เติบโตขึ้น ตอนที่ 2
ท้องของบรู๊ดมาเธอร์ขยายขึ้นเป็นเหมือนลูกบอลกลมโตซึ่งไม่สมกับสัดส่วนอื่น ๆ ในร่างกายของมัน เปลือกของมันแทบจะระเบิดออกจากกัน และมีปีกใส ๆ โผล่ขึ้นมาจากรอยแตกนั้น ขนาดของมันในตอนนี้ได้ยืนยันแล้วว่าปีกของมันมีไว้เพียงเพื่อการประดับตกแต่งเท่านั้น
และมันก็หยุดการเคลื่อนไหว ท้องของมันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เกิดเสียงแตกเปล่งออกมาจากร่างกาย รอยแยกเริ่มปรากฏขึ้นทั่วเปลือกสีดำและขยายกว้างขึ้นเมื่อของเหลวสีเหลืองรั่วไหลออกมา ซึ่งของเหลวนั้นระเหยกลายเป็นไอทันทีเมื่อสัมผัสกับอากาศก่อนก่อตัวเป็นควันสีดำ
ทุก ๆ คนรวมถึงริชาร์ดต่างก็ตาค้างไปกับสิ่งมีชีวิตประหลาดตรงหน้านี้ ตอนนี้ขนาดของมันเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าแล้ว ! และพวกเขายังรู้สึกแสบตาขึ้นมาอย่างฉับพลันด้วย น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ขณะที่ผิวหนังของพวกเขาก็แสบและเริ่มรู้สึกถึงการเผาไหม้ แม้ว่าก๊าซส่วนใหญ่จะแข็งตัวไปแต่ส่วนที่หลงเหลืออยู่ก็เหมือนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนมากอยู่ดี
บรู๊ดมาเธอร์ส่งการสื่อสารทางจิตมาอีกครั้ง ‘ข้าปล่อยก๊าซที่เป็นกรดออกมาจำนวนมากขณะที่เติบโตขึ้น มาสเตอร์ กรุณาออกไปก่อนเถอะ’
ริชาร์ดเดินนำกลุ่มของเขาออกจากอาคารทันทีขณะที่ก๊าซหนาแน่นเหล่านั้นยังคงกระจายอยู่ทั่วห้อง ในที่สุดโฟลว์แซนด์ก็ต้องร่ายคาถากำจัดผลกระทบของฤทธิ์กัดกร่อนให้กับทุกคน
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ริชาร์ดไม่เห็นอยู่นั่นก็คือกองกระดูกขนาดใหญ่ตรงด้านหลังของบรู๊ดมาเธอร์ที่กำลังถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วโดยของเหลวที่เป็นกรด นี่คือต้นกำเนิดของก๊าซทว่าบรู๊ดมาเธอร์ไม่ต้องการให้ริชาร์ดเห็นภาพนั้น หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากกองกระดูกและซากปรักหักพังก็คือก้อนเถ้าสีดำที่ผู้พบเห็นในภายหลังไม่มีทางที่จะบอกถึงรูปแบบดั้งเดิมของมันได้เลย…
เมื่อก๊าซระเหยไปจนหมด บรู๊ดมาเธอร์ก็ขยายตัวขึ้นอีกครั้ง และในครั้งนี้มันโตขึ้นทั้งความกว้างและความยาวซึ่งล้วนเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งเมตร อีกทั้งมันยังดูจ้ำม่ำมากกว่าเดิมอีกด้วย สำหรับตอนนี้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าตรงไหนเป็นส่วนหัวหรือส่วนหางของมัน ในขณะที่ร่างกายของมันเติบโตขึ้นนั้น ก้ามหนีบและแขนขาของมันกลับไม่ได้โตขึ้นด้วย นั่นทำให้พวกมันดูเหมือนจะไม่เข้ากันสักเท่าไหร่นัก
ในเวลานี้แม้แต่การออกจากห้องก็ยากมากขึ้นไปอีกเนื่องจากตัวมันมีขนาดเพิ่มขึ้นมากเกินไป ดูเหมือนว่าในที่สุดประตูทางเข้าก็เหมือนจะกลายเป็นว่ามีขนาดเล็กเกินกว่าที่บรู๊ดมาเธอร์จะแทรกตัวผ่านไปได้ มันจึงส่งเสียงออกมาอย่างรำคาญใจก่อนจะพุ่งตัวไปและทำลายสิ่งกีดขวางข้างหน้าเพื่อให้ทะลุผ่านออกไปได้สำเร็จ
นี่ทำให้ครึ่งหนึ่งของกำแพงอาคารพังลงมา เพดานได้พังลงใส่หัวของมัน รวมถึงหน้าต่างและระเบียงก็พังทลายลงด้วยจนบรู๊ดมาเธอร์ถูกฝังอยู่ข้างใต้ ทว่ามันกลับสะบัดเศษหินออกจากตัวราวกับว่าไม่ใช่อะไรที่สำคัญ
วอริเออร์ 2 คนได้รับสัญญาณเตือนจากการถล่มนั้น พวกเขาจึงรีบรุดมายังต้นตอของเสียงและก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นบรู๊ดมาเธอร์ พวกเขาเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้ขณะที่เรียกขอความช่วยเหลือและปิดล้อมเส้นทางไปยังส่วนที่เหลือของค่าย
อย่างไรก็ตาม ริชาร์ดเดินเข้ามายืนอยู่ข้างบรู๊ดมาเธอร์ก่อนยื่นมือไปตบที่เปลือกของมันเบา ๆ และพูดกับวอริเออร์ 2 คนนั้นว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอก นี่คือบรู๊ดมาเธอร์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของข้า”
วอริเออร์ทั้งสองแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา หนึ่งในนั้นตัวสั่นสะท้านอย่างเกินควบคุมขณะที่เขามองดูสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนผึ้งตัวนี้และพูดขึ้นมา “ข้ารับทราบแล้วมาสเตอร์ แต่ว่า… ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีกว่าหากท่านจะรักษาระยะห่างกับสิ่งมีชีวิตตัวนี้”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น บรู๊ดมาเธอร์ก็ยันตัวขึ้นและขยับปากไปมาใส่วอริเออร์อย่างน่ากลัว การกระทำของมันดูเหมือนจะส่งผลดีเพราะวอริเออร์คนนั้นกระโดดถอยหลังทันที อย่างไรก็ตาม มันสงบลงเล็กน้อยเมื่อริชาร์ดเคาะเบา ๆ ที่เปลือกของมันอีกครั้ง
มีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำหลังจากการต่อสู้ ริชาร์ดจึงอนุญาตให้ทุกคนที่เหลือกลับไปได้ขณะที่เขาอยู่ต่อเพื่อสื่อสารกับบรู๊ดมาเธอร์และมันก็ส่งข้อมูลทั้งหมดที่มีให้กับเขา
สิ่งมีชีวิตตัวนี้ยังอยู่ในระยะดักแด้แต่มันก็วิวัฒนาการไปได้มากกว่าครึ่งทางแล้ว เมื่อได้สังเกตเห็นมนุษย์และระบบพลังงานของเพลนนี้ มันก็เพิ่มพลังการป้องกันทางกายภาพให้กับตัวมันเองมากยิ่งขึ้น เปลือกของมันในตอนนี้สามารถรับแรงโจมตีจากวอริเออร์ระดับ 10 ได้โดยที่มันจะไม่เกิดความเสียหายใด ๆ และมีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับเมนต้าเท่านั้นที่จะสร้างความเสียหายให้กับเปลือกของมันได้ ในแง่ของการป้องกันเวทมนตร์ มันสามารถต้านทานกรด สารพิษ ความเย็น และไฟฟ้าได้เกือบจะทั้งหมด มีเพียงแค่เปลวไฟร้อน ๆ อย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถทำร้ายมันได้
พลังโจมตีสูงสุดของมันในตอนนี้คือการโจมตีทางวิญญาณกับกรดที่มันสามารถพ่นออกมา แม้ว่าสเปรย์กรดของมันจะมีระยะสั้นเพียง 10 เมตรเท่านั้น แต่หากใครสัมผัสสเปรย์ของมัน แม้แต่ทหารที่สวมเกราะครบชุดก็ต้านทานฤทธิ์กัดกร่อนได้อย่างมากก็นาทีเดียว นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวที่ช้าลงและความสามารถในการบินที่สูญเสียไปแล้ว บรู๊ดมาเธอร์ก็ถือว่าเป็นพลังที่ต้องคำนึงถึง และถึงแม้ว่าท้องที่มีขนาดใหญ่เกินไปของมันจะดูอ่อนแอ แต่มันก็มีหลายชั้นและวัสดุของมันก็คล้ายกับเปลือกแข็งซึ่งสามารถถูกตัดออกได้โดยไนท์ที่มีขวานหนัก ๆ เท่านั้น ส่วนลูกธนูของอาเชอร์อย่างโอล่าไม่สามารถเจาะทะลุมันได้
การประเมินผลนี้มาจากตัวของบรู๊ดมาเธอร์เองหลังจากการต่อสู้วันนั้นได้จบลง การวิเคราะห์ที่ชัดเจนและเรียบง่ายทำให้ริชาร์ดต้องประหลาดใจเพราะมันเป็นการย้ำเตือนเขาถึงความเฉลียวฉลาดที่มันมี หัวของมันมีขนาดใหญ่เท่ากับมนุษย์ธรรมดาทว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้บอกกับเขาว่านั่นไม่ใช่ส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายของมัน สมองในร่างกายของมันนั้นมีมากกว่า 12 ก้อนและสมองส่วนใหญ่ก็ได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยโดยเปลือกหนาตรงบริเวณหน้าอก และการที่มันยังอยู่ในระยะตัวอ่อนนั้นทำให้มันต้องกินอาหารจำนวนมาก เมื่อรายงานข้อมูลทั้งหมดเสร็จสิ้นก็เหมือนจะถึงเวลาอาหารของมันอีกครั้ง มันจึงขออนุญาตริชาร์ดเพื่อไปออกล่าต่อ
‘เจ้าจะจับเหยื่อได้อย่างนั้นหรือ ?’ ริชาร์ดถาม ‘หรือข้าควรจะให้โอล่าไปกับเจ้าด้วย ?’ เขาค่อนข้างสงสัยในความเร็วของบรู๊ดมาเธอร์ในตอนนี้ มันเคลื่อนที่ได้ช้าและการจู่โจมทางวิญญาณกับสเปรย์กรดของมันก็มีระยะทางค่อนข้างจำกัด
‘ตอนนี้ข้าสามารถเพาะพันธุ์ลูกสมุนได้แล้ว พวกมันจะทำหน้าที่จับเหยื่อมาให้ข้าเอง ซึ่งเนื้อและเลือดเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับข้าในระยะนี้’ บรู๊ดมาเธอร์ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเป็นนัยทำให้ริชาร์ดนึกถึงศพหลายร้อยศพในค่ายได้ทันที เขาลดเสียงของเขาให้เบาลงก่อนจะเอ่ยว่า ‘ห้ามล่ามนุษย์ แต่นอกเหนือจากนั้นข้าไม่สนใจพอที่จะอยากรู้ เอาล่ะ เจ้าต้องการอะไรอีกหรือไม่ ข้าจะพยายามหามาให้เจ้าให้ได้’
‘ไม่เป็นไร แค่มีพวกลูกสมุนก็พอแล้ว’
เมื่อได้รับอนุญาต บรู๊ดมาเธอร์ก็ค่อย ๆ คลานออกจากฐานอย่างช้า ๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่พอใจกับความเร็วของตนเองเท่าไหร่นักเพราะมันกระพือปีกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นประโยชน์ แล้วเมื่อมันพอจะบินขึ้นได้แต่ก็ตกลงมาเมื่อไปได้ไม่ถึง 10 เมตรอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ มันจึงต้องคลานต่ออีกครั้ง
ในส่วนของเหล่าวอริเออร์ แม้ได้รู้ว่านี่เป็นอสูรที่มีสัญญาเชื่อมโยงกับมาสเตอร์ของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าตกใจไว้ได้ พวกเขาเคยเห็นอสูรที่ทรงพลังมาแล้วมากมายในสนามรบอย่างเช่นม้าของกาตอนซึ่งถือเป็นเป็นอสูรที่สง่างามแต่กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้อย่างบรู๊ดมาเธอร์นั้น มันทำให้ทหารที่มีประสบการณ์อย่างพวกเขาเกิดความรู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนและมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย