นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 135 เติบโตขึ้น ตอนที่ 1
ในตอนนี้สถานการณ์ภายในฐานทัพเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มีทหารผู้หนึ่งหนีจากการโจมตีได้ด้วยการซ่อนตัวอยู่ในมุมแห่งหนึ่งของฐานทัพและกำลังพยายามที่จะหนีต่อไปโดยการปีนกำแพง ทว่าเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่หน้าประตูจึงแอบมองดูก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดผวาขณะที่ริมฝีปากเปิดอ้าออกเพื่อเปล่งเสียงร้องออกมาแต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดให้ได้ยิน
ร่างของทหารผู้นั้นสั่นอย่างควบคุมไม่ได้และท่าทางของเขาก็มีแต่ความแข็งทื่อ เลือดพรั่งพรูออกจากหูของเขาพร้อมกับที่มีของเหลวสีเขียวไหลออกมาจากใต้ประตูซึ่งของเหลวสีเขียวนั้นมันฉีดใส่ปากของเขาอย่างรวดเร็ว
ของเหลวเขียว ๆ นั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง มันสามารถยับยั้งเสียงกรีดร้องของทหารได้ทันทีที่แก๊สจำนวนมากปะทุออกมาจากปาก ความรวดเร็วที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิต ศีรษะของเขากระแทกพื้น ส่วนมือทั้งสองข้างก็บีบลำคอของตนเองด้วยอาการทุรนทุราย ทว่าทันใดนั้น ใบมีดแหลมคม 2 เล่มที่อยู่ตรงหัวของบรู๊ดมาเธอร์ก็ยื่นเข้ามาปักที่น่องของทหารก่อนจะลากร่างของเขาเข้าไปในบ้านทันที
บรู๊ดมาเธอร์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในช่วงเวลาสั้น ๆ และในเวลานี้มันก็มีอบิลิตี้ในการพ่นกรดแล้ว
……
เหล่าทหารที่ยอมจำนนก่อนหน้านี้ถูกกักขังอยู่ภายในห้องใต้ดินที่อยู่ในบาร์ โดยที่ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่พันไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ในจำนวนคนเหล่านั้นมีไนท์ฝึกหัด 2 คนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแต่พวกเขาก็ได้รับคาถาในการรักษาขั้นพื้นฐานด้วยเช่นกันซึ่งนั่นทำให้เหล่าเชลยรู้สึกผ่อนคลายลงจากเดิม ทว่าในเวลาเช่นนี้ พรีสเทสคงไม่เต็มใจที่จะใช้คาถาศักด์สิทธิ์ในการรักษาคนเหล่านี้แน่หากพวกเขาต้องจบชีวิตจากการถูกสังหาร เวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บกวาด วอริเออร์อาเครอน 2 คนเดินตามทีรามิสุออกไปนอกฐานทัพเพื่อนำตัวเชลยอีก 2 คนซึ่งเป็นไนท์ฝึกหัดที่ได้รับบาดเจ็บและพรีสต์ที่หมดสติกลับเข้ามายังฐานทัพ ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามที่ได้รับมอบหมายไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกวาดฐานทัพ การเก็บสะสมของในสงคราม รวมถึงการหาศัตรูที่ยังแอบซุกซ่อนอยู่
ส่วนเหล่าศัตรูที่พยายามหนีจากการต่อสู้ในวินาทีสุดท้ายก็ถูกโอล่าจับได้ในที่สุด ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถจับกุมผู้หลบหนีได้เพียงลำพัง ทว่าในเวลาเช่นนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังหลงเหลือพลังในการออกสำรวจและตรวจสถานการณ์โดยรอบ
ในที่สุดการต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลงและกองกำลังของริชาร์ดก็สามารถหลุดพ้นจากการปะทะครั้งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ แน่นอนว่าปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือโฟลว์แซนด์ เลนส์ออฟไทม์ของนางช่วยให้พวกเขาสามารถฆ่าฮิวเบิร์ตได้ และในช่วงเวลาที่พวกเขาจนมุม นางก็ได้ใช้เกรทเทอร์ฮีล 7 ครั้ง ฮีลธรรมดา 12 ครั้งและเลสเซอร์ฮีลอีก 30 กว่าครั้ง ดูเหมือนว่านางจะเป็นผู้ให้ชีวิตที่สองของคนในกองกำลังนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่โฟลว์แซนด์ทำพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่านางมีประโยชน์ในฐานะของเคลริค คาถา 1 ใน 3 ที่นางนำออกมาใช้ถูกเก็บเอาไว้ภายในหนังสือแห่งกาลเวลา
ริชาร์ด แกงดอร์ และวอเตอร์ฟลาวเวอร์มีส่วนในการต่อสู้เท่า ๆ กัน แกงดอร์เป็นคนที่เข้าประชิดกับเมนต้าและมีบทบาทในการต่อสู้จนถึงลมหายใจสุดท้ายของเมนต้า ในขณะที่ริชาร์ดจัดการกับเหล่าทหารในกองทัพของเมนต้าได้เป็นจำนวนมาก และดูเหมือนว่าริชาร์ดจะสามารถล่าคนเหล่านั้นได้มากที่สุดในสนามรบครั้งนี้ด้วย ส่วนวอเตอร์ฟลาวเวอร์นั้น นางจัดการกับคนอื่น ๆ ที่เหลือ และแน่นอนว่า 5 คนในจำนวนที่นางสังหารคือเหล่าไนท์ฝึกหัดรวมไปถึงทหารฝีมือดีคนอื่น ๆ ที่เหลือด้วย
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว คนที่มีบทบาทในการสนับสนุนการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกคนคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอลฟ์บาร์ดโอล่า บทเพลงแห่งสงครามของเขาสามารถช่วยพวกเขาทั้งสามในการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี มันสามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ของพวกเขาจากระดับ 10 เป็นระดับ 11 ได้ แม้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีบทบาทอะไรมากทว่าบทเพลงของเขาก็ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ นอกจากนี้โอล่ายังฆ่าศัตรูไปถึง 10 คน เอลฟ์ที่มีความเฉลียวฉลาดเช่นเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการโจมตีกับเหล่าไนท์ฝึกหัดเพื่อมุ่งเป้าหมายหลักไปเป็นการทำร้ายเหล่าทหารและทำให้คนเหล่านั้นกระจายตัวกันออกไปด้วยลูกธนูของเขา
วอริเออร์อาเครอนทั้ง 7 คนต่างมีชีวิตรอดผ่านสงครามที่เกิดขึ้น ความมุ่งมั่นและประสบการณ์ของพวกเขาทำให้พวกเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี สำหรับพวกทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนนั้นจะมีความสามารถในการต่อสู้ได้ดีกว่าอัจฉริยะหนุ่มสาว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ริชาร์ดเข้าใจแล้วว่าทำไมกาตอนจึงให้พื้นที่เทเลพอร์ตถึง 10 ช่องแก่พวกเขาเหล่านี้
จากสัญญาแห่งวิญญาณและสัญญาทาสทำให้ริชาร์ดสามารถรู้ตำแหน่งคนของเขาได้ ซึ่งในช่วงเวลาสำคัญในการต่อสู้ เขาก็สามารถรู้ตำแหน่งที่ตั้งของทุกคนได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ส่งโอเกอร์ทั้ง 2 ตนออกไปด้านนอกตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้พวกมันจัดการกันไม่ให้ศัตรูย้อนกลับมาทำร้ายคนที่อยู่ด้านในที่กำลังรับมือกับอีกกองทัพที่บุกรุกเข้ามา
ริชาร์ดยืนอยู่ในพื้นที่ตรงกลางของฐานทัพโดยกำลังฟังการรายงานจากวอริเออร์อาเครอนเกี่ยวกับผลการต่อสู้ในครั้งนี้ เหล่าทหารของกาตอนมีความเชี่ยวชาญอย่างมากเกี่ยวกับการบริหารจัดการทั้งก่อนและหลังการต่อสู้ พวกเขารู้หน้าที่ของตัวเองดีและเริ่มลงมือทำทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้ริชาร์ดออกคำสั่ง แต่เมื่อเทียบกับแกงดอร์ โอล่า และโอเกอร์ที่ต้องรอคำสั่งจากริชาร์ดก็ทำให้พวกเขารู้สึกซีดเซียวในทันทีเมื่อต้องเทียบความสามารถกับคนเหล่านั้น
ทว่าหลังจากที่ริชาร์ดได้ฟังการรายงานแล้ว เขาก็รู้สึกว่าจำนวนตัวเลขที่ได้ยินไม่ถูกต้องนัก ดูเหมือนว่าจะมีคนที่หลบหนีออกไปได้หลายสิบคนแต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถรับรู้และเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทว่าความแตกต่างของจำนวนนั้นก็มีมากจนทำให้เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้เช่นกัน
เขาพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสรุปได้ด้วยตัวของเขาเองว่าเหล่าวอริเออร์ที่หายไปไม่ใช่เพราะหลบซ่อนอยู่ภายในฐานทัพแห่งนี้หรือหลบหนีไปแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพวกเขาตายจากการถูกฆ่าสังหาร แต่สิ่งที่น่าสงสัยในตอนนี้คือศพของพวกนั้นหายไปไหน ? สงครามเองก็เพิ่งจะสิ้นสุดลงและในฐานทัพก็ไม่ได้หลงเหลือศัตรู แล้วจะมีใครนำศพเหล่านั้นไปได้ ?
ขณะที่ริชาร์ดกำลังนึก ๆ อยู่นั้น จู่ ๆ ระลอกคลื่นแห่งความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขา เสียงอะไรบางอย่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ดังขึ้นภายในหู แต่เดิมเขาคิดว่าเป็นเสียงที่ดังจากภายนอกทว่าเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเสียงที่เกิดขึ้นก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเสียงนั้นก็ดังจนทำให้เขาถึงกับขนลุก
เขาทนไม่ได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมหยิบดาบที่ปักอยู่บนพื้นก่อนที่จะมองไปยังโฟลว์แซนด์ วอเตอร์ฟลาวเวอร์ และแกงดอร์เพื่อให้ตามเขาไปยังจุดมุ่งหมาย เขาเดินไปตามเสียงที่เกิดขึ้นภายในจิตใต้สำนึกของเขาก่อนที่จะเดินตรงมาถึงมุมของฐานทัพ และเมื่อพวกเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ เสียงที่ริชาร์ดได้ยินก็ชัดมากขึ้นกว่าเดิมซึ่งดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากด้านล่างของตึก 2 ชั้นที่นี่
‘บรู๊ดมาเธอร์ ?’ ริชาร์ดเรียกมันผ่านการสื่อสารทางจิตใจ
ไม่นานนัก บรู๊ดมาเธอร์ก็ตอบกลับผ่านมายังสมองของเขา ‘มาสเตอร์ ข้าอยู่นี่ ภายในนี้ปลอดภัย ท่านสามารถเข้ามาในนี้ได้’
คำพูดในครั้งนี้ค่อนข้างไหลลื่นกว่าตอนที่มันเพิ่งออกจากไข่ ดูเหมือนว่ามันจะทำได้อย่างที่มันพูดไว้เพราะมันเคยบอกกับเขาว่าขอเวลาเรียนภาษานัวแลนด์ 1 วันซึ่งในเวลานี้มันก็ทำได้จริง
ริชาร์ดยังคงรู้สึกสงสัย เขาเดินนำคนที่เหลือไปยังประตูทางเข้าทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ตกตะลึงขึ้นมาในทันที !
ก่อนหน้านี้ชั้นนี้เป็นห้องนั่งเล่นทว่าในเวลานี้มันกลับกลายเป็นความยุ่งเหยิงอย่างสิ้นเชิง เฟอร์นิเจอร์ที่เคยตกแต่งอย่างสวยงามกลับกลายเป็นกองขยะที่เป็นเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว พื้นที่ว่างตรงกลางของห้องเป็นจุดที่บรู๊ดมาเธอร์กำลังหมอบอยู่ หัวของมันก้มลงขณะเคี้ยวเกราะ โล่ และอาวุธที่มาจากร่างของใครสักคน เสียงของการกัดกินของมันยังคงดังอย่างต่อเนื่องภายในโสตประสาทของริชาร์ด
การปรากฎตัวของบรู๊ดมาเธอร์สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในที่นี้เป็นอย่างมากซึ่งแม้แต่ตัวริชาร์ดเองก็เช่นกัน ในเวลานี้สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมีความยาวของลำตัวกว่า 2 เมตรและตัวของมันก็สูงและกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วย มันเติบโตขึ้นมากทั้งที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน !
แกงดอร์และวอเตอร์ฟลาวเวอร์เปลี่ยนท่าทางไปเป็นเตรียมรับมือกับการต่อสู้โดยไม่รู้ตัว เพราะดูเหมือนว่าบรู๊ดมาเธอร์ขนาดใหญ่ตัวนี้จะสร้างความรู้สึกอันตรายให้กับพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นมันมาก่อนและพวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ทำสัญญากับริชาร์ดไว้ แต่พวกเขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถเข้ากับแมลงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านี้ได้
‘เกิดอะไรขึ้น ?’ ริชาร์ดถามอย่างตกตะลึง
‘โอ… มาสเตอร์ เหล็กพวกนี้สามารถเสริมสร้างเกราะให้ตัวข้าได้ ทุกอย่างที่ข้าเลือกกินเป็นแค่เศษเหล็กที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก’
ริชาร์ดยังคงตกตะลึงอย่างต่อเนื่องเพราะความเฉลียวฉลาดของมันเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก เวลาเพียงแค่วันเดียวแต่มันกลับสามารถคุ้นเคยกับความคิดหลาย ๆ อย่างได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขากับมันจะสื่อสารกันผ่านจิตวิญญาณที่เชื่อมต่อกันทว่ามันก็ยังไม่หยุดที่จะกินเหล็กเหล่านั้นระหว่างที่สนทนาอยู่กับเขา เหล็กที่แข็งและหนาถูกบดในปากของมันอย่างง่ายดายก่อนที่จะถูกกลืนลงคอไป ซึ่งขณะที่มันกินอยู่นั้นน้ำลายของมันก็หยดใส่เศษของเกราะบนพื้นด้วย
เพียงพริบตาเดียวก็เกิดหลุมขนาดใหญ่ราวกับเหล็กที่ถูกหลอมให้ละลายก่อนที่บรู๊ดมาเธอร์จะโกยเข้าปากไป และนั่นทำให้แกงดอร์กับวอเตอร์ฟลาวเวอร์จ้องมองไปที่มันด้วยสายตาตื่นตระหนก แม้ว่าในเวลานี้ทุกคนจะยังไม่รู้ว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาของบรู๊ดมาเธอร์เป็นอย่างไรทว่าหากมีใครสักคนต้องสัมผัสเข้ากับน้ำลายของมันแล้วล่ะก็… ผลที่ตามมาก็คงจะเห็นได้อย่างชัดเจน