นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 132 สถานการณ์จนมุม ตอนที่ 2
เสียงคำรามกึกก้องของเมนต้าดังสะท้อนไปทั่วทั้งฐาน และเสียงหวิวของมอร์นิ่งสตาร์ของเขาในอากาศนั้นก็แหลมมากจนทำให้ใจเต้นแรงได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะได้เปรียบในเรื่องระดับและพลังงานแต่เขาก็ไม่มีทางเอาชนะแกงดอร์ได้เลย
ความแข็งแกร่งโดยกำเนิดของชายร่างใหญ่โหดเหี้ยมอย่างแกงดอร์ทำให้เขาสามารถเทียบเท่ากับเมนต้าได้ รวมทั้งเขายังมีความแพรวพราวที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่หยาบกระด้างของเขาเอง ในตอนนี้เขาได้ใช้ประโยชน์จากถนนแคบ ๆ ระหว่างตัวอาคารเข้าช่วยแล้ว ข้อจำกัดนี้ทำให้มอร์นิ่งสตาร์ของเมนต้านั้นด้อยกว่าขวานของเขา
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้เมนต้าเดือดดาลมากขึ้นไปอีกก็คืออาคารในฐานนี้แข็งแรงกว่าบ้านธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผนังหรือประตูไม้ พวกมันล้วนแข็งแรงกว่าลักษณะที่เห็นภายนอก เมนต้าเหวี่ยงอาวุธของเขาไปเคาะตรงมุมอยู่หลายครั้งทว่ามันกลับชนกับกำแพงและโซ่ก็เด้งกลับพร้อมทั้งทำให้ก้อนอิฐที่แตกหลุดกระเด็นมาทางเขาด้วย
หลังจากการจู่โจมที่หน้ามืดตามัวโดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งและพลังงานที่เขามี ในที่สุดเมนต้าก็โจมตีแกงดอร์ได้ ความแข็งแกร่งของเขาทำให้ขวานของคู่ต่อสู้แตกออกและความแหลมของมอร์นิ่งสตาร์ก็ทิ้งบาดแผลลึกไว้ตรงหน้าอกของแกงดอร์ อย่างไรก็ตาม แกงดอร์ไม่ได้ส่งเสียงครวญครางใด ๆ ออกมาจากความเจ็บปวดที่บาดแผลนั้นสร้างให้ ในมือของแกงดอร์ยังคงจับขวานไว้แน่นราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาทั้งสิ้น
การได้รับบาดเจ็บนับเป็นเรื่องปกติในค่ายแห่งความตายของอาเครอน ใครก็ตามที่เอาชีวิตรอดจากนรกนั่นได้ถือว่าเป็นคนที่ผิดปกติและสามารถเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดได้อย่างสมบูรณ์ ลมหายใจของเมนต้ารุนแรงขึ้นทว่าแกงเดอร์กลับดูเหมือนเป็นอันเดด เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้ใส่ใจกับอาการบาดเจ็บที่รุนแรงนั้นเลยอีกทั้งยังทำราวกับว่าสามารถบาดเจ็บได้แต่ว่าไม่สามารถถูกฆ่าให้ตายได้อีก พลังงานของเขายังล้นเหลือเสมือนมีความความแข็งแกร่งที่ไม่มีขีดจำกัด ในตอนแรกเมนต้าได้ตัดสินไว้ว่าแกงดอร์อยู่แค่ระดับ 10 ทว่าถึงแม้จะมีความแตกต่างกันถึง 3 ระดับแต่การต่อสู้ของพวกเขานั้นใกล้เคียงกันมาก ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเกรี้ยวโกรธ
ด้านหลังแกงดอร์เป็นวอริเออร์ของอาเครอนมีโล่อยู่ในมือข้างหนึ่งและขวานอยู่ในมืออีกข้าง เขาอยู่ด้านหลังของแกงดอร์ทำให้ไนท์ฝึกหัดของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหาพวกเขาไม่มีทางที่จะโจมตีได้ เนื่องจากเขาคอยคุ้มกันและปกป้องด้านหลังและด้านข้างของแกงดอร์อยู่
ไนท์ฝึกหัดระดับ 10 ที่กาตอนส่งมาด้วยไม่ได้มีความสามารถพิเศษที่เฉพาะเจาะจงเท่าไรนัก ทว่าพวกเขาล้วนมีประสบการณ์ในการทำสงครามมาก่อนจึงเป็นเหมือนกับก้อนหินในระหว่างการสู้รบที่จะไม่ขยับเขยื้อนหนีไปไหนและไร้เทียมทาน
เมื่อถึงตอนนี้ เมนต้าโกรธเคืองเป็นอย่างมากเสียจนเขาเตรียมที่จะจัดการกับแกงดอร์โดยการโจมตีครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม เกิดเสียงเบาแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับที่มีแสงสลัวกะพริบอยู่ทั่วร่างกายของแกงดอร์ แม้ในขณะที่เสียงเพลงยังคงร่ำร้องอยู่ ร่างยักษ์ใหญ่ที่เหนื่อยล้าก็เริ่มคืนความสดใสทันตาเห็น ความแข็งแกร่งของเขาดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นขณะที่เขาป้องกันการโจมตีมากครั้งของเมนต้าได้
“โธ่เอ๊ย ! เจ้าแมลงน่ารำคาญ” เมนต้าสบถด้วยความโกรธ ความแข็งแกร่งของแกงดอร์ฟื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงของโอล่าผู้ซึ่งเป็นบาร์ดสายเลือดเอลฟ์ โอล่าไม่ได้มีความสามารถแค่เรื่องเกี่ยวกับศิลปะเท่านั้น — ส่วนใหญ่พวกเขายังขายร่างกายของตนเองด้วย พวกเขานั้นเป็นเหมือนกับนักเต้นรำหญิงสาวแต่ปกติแล้วผู้คนมักมองว่าบาร์ดเป็นคลาสที่ราคาถูกหรือไม่มีความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคลาส ‘ราคาถูก’ ที่สามารถทำให้การต่อสู้หยุดชะงักได้ดีทีเดียว โอล่ามีความคล่องแคล่วอย่างมากขณะเคลื่อนไหวตัวไปมาระหว่างอาคารอย่างอิสระราวกับเขาอยู่ในป่า เขาเลือกโอกาสเป็นครั้งคราวในการกระโดดขึ้นไปบนหลังคาและยิงวอริเออร์ผู้เคราะห์ร้ายอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะรีบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยและหลบหนีจากการถูกรุมล้อม การง้างคันธนูทุกครั้งของเขาจะปล่อยลูกธนูไปที่อวัยวะสำคัญของคู่ต่อสู้โดยไม่ต้องใช้เวลามากในการเล็งเป้าหมาย ซึ่งลูกธนูเหล่านั้นก็ล้วนทำให้ศัตรูเคลื่อนที่ไม่ได้หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายในทันที
ด้วยระดับของเขาในปัจจุบัน โอล่าสามารถให้พรคน 3 คนด้วยพลังของเสียงเพลงแห่งการต่อสู้ของเขาซึ่งนั่นทำให้แกงดอร์และวอริเออร์ของอาเครอนอีก 2 คนแผ่รังสีพลังงานออกมาได้ส่งผลให้การต่อสู้ดำเนินไปได้ยาวนานขึ้น
แกงดอร์ถอยหลังโดยไม่ยอมแพ้ในขณะที่เมนต้าก็เดินหน้ามากขึ้น เมื่อแกงดอร์ถอยออกมาจากตรอกแคบ ๆ เพื่อยืนที่ทางแยก รังสีของแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องลงมาที่ร่างของเขา เลือดตรงรอยแผลที่หน้าอกของเขาหยุดไหลทันทีขณะที่ผิวเนื้อหดตัวด้วยความเร็วจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสงนั้นทำให้แผลหลาย ๆ จุดค่อย ๆ สมานตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์
“เกรทเทอร์ฮีล !” เมนต้าคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง คาถานี้ทำลายกำลังใจในการต่อสู้ของเขาไปเกือบทั้งหมด พรีสต์คนนี้เป็นใครกัน ? คาถานี้มีพลังยิ่งกว่าพรีสต์ชราที่พวกเขาพาตัวมาด้วยซะอีก ทั้ง ๆ ที่พรีสต์นั่นก็อยู่ในระดับ 10 แล้ว !
ผู้บุกรุกประเภทที่หายากที่สุดคือพรีสต์ กฎของเพลนที่แตกต่างกันนำไปสู่การปกครองของเทพเจ้าที่แตกต่างกันด้วยและพรีสต์ก็มักจะสูญเสียการเชื่อมต่อกับเทพเจ้าของพวกเขา พวกเขาจะสูญเสียพลังไปเมื่อพวกเขาย้ายเพลน และเมื่อเข้าสู่เพลนใหม่ การฟื้นฟูมานาของพวกเขาจะไม่เกิดปัญหาอะไรทว่ามันจะไม่สามารถพัฒนาไปได้
เมนต้ากวาดสายตามองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ และทันใดนั้นเขาก็มองเห็นหน้าต่างของอาคารที่มุมถนนซึ่งปรากฏเงาของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนเคลริคอยู่ด้านหลังหน้าต่างนั้น
เขาชี้ไปที่อาคารนั้นและตะโกนขึ้นทันที “พวกเจ้าทุกคน ! สังหารพรีสต์แพศยาคนนั้นซะ !”
ทหาร 2 คนทำตามคำสั่งทันทีโดยรีบบุกเข้าไปในอาคารทว่ามีดาบสลัว ๆ ขวางพวกเขาไว้ในตอนที่ก้าวเข้าไปภายใน มันผ่าข้ามพวกเขาก่อนที่วอเตอร์ฟลาวเวอร์จะออกจากพื้นที่บริเวณนั้นพร้อมด้วยดาบอีเทอร์นอลเรสท์ นางขึ้นไปที่ชั้น 2 โดยกระโดดเข้าไปในห้องหนึ่งก่อนที่จะออกไปทางหน้าต่างและหายตัวเข้าไปในอาคารอีกหลัง ส่วนริชาร์ดและโฟลว์แซนด์ที่อยู่บนชั้น 2 ในตอนแรกนั้นก็หายตัวไปแล้วเช่นเดียวกัน
รังสีของแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นอีกครั้งในพริบตาและหยุดเลือดของทหารที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ทันที ไฟร์บอลลูกหนึ่งระเบิดขึ้นไม่ไกลนักและได้จัดการกับศัตรูที่ไล่ล่าเขาอยู่ วอริเออร์อาเครอนใช้โอกาสนี้ในการแอบหลบเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงขณะที่รับการรักษาจากคาถาของโฟลว์แซนด์ซึ่งรักษาอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งนี่เป็นเวลาที่เพียงพอให้พลังงานของเขาฟื้นกลับมาเช่นกัน
ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 และครั้งที่ 5… ยิ่งรังสีแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายระยิบระยับในสนามรบมากเท่าไหร่ ทุก ๆ ครั้งก็ยิ่งเติมเชื้อไฟให้ความเดือดดาลของเมนต้ามากขึ้นเท่านั้น ชัยชนะของเขากลับตาลปัตรเพราะตอนนี้ฝ่ายของเขาตายไปมากมายทว่ายังไม่มีคนใดในฝ่ายศัตรูถูกฆ่าตายเลย รังสีแสงทุกเส้นที่ตกลงมานั้นสร้างความแตกต่างให้กับการต่อสู้ทีละน้อยและนี่ยังไม่รวมถึงเมจคนนั้นด้วยซ้ำ ! เขาได้ร่ายคาถาไฟร์บอลไปแล้ว 5 ลูกและไหนจะไอซิเคิลสตอร์มอีก 2 ครั้ง ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน พลังของเขามีมากมายไม่สิ้นสุดเหมือนกับพรีสต์คนนั้นหรือ ?
เมนต้าเกิดความรู้สึกอยากโจมตีพรีสต์ที่เขาเกลียดชังด้วยตัวของเขาเองทันทีแต่แกงดอร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ประชิดตัวเขาอยู่มากจนทำให้ไม่มีที่ว่างให้หลบหนีได้ กลิ่นเลือดคละคลุ้งภายในฐานนั้นค่อย ๆ แรงขึ้นและแรงขึ้น ทว่าส่วนใหญ่มาจากกองทหารของเมนต้า
“ฮิวเบิร์ต ! เจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหนกัน ? ฮิวเบิร์ต ! ฆ่าพรีสต์นั่นซะ !” เสียงคำรามของเมนต้าดังกึกก้องไปทั่วทั้งฐานอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่เขาได้รับในครั้งนี้กลับเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเศร้าโศกระคนหวาดกลัวที่ฟังดูแปลกประหลาด !
วินาทีนั้นหัวใจของเขาแทบหยุดเต้นและความร้อนรนที่อธิบายไม่ได้ก็ท่วมล้นอยู่ในความคิด เขาจำได้ว่าเสียงกรีดร้องนั้นมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ทว่าทหารเหล่านี้เคยเผชิญทั้งเลือดและความตายมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เคยแม้กระทั่งต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นมาแล้วด้วยซ้ำ ต่อให้ต้องตายในสนามรบพวกเขาก็ไม่น่าจะส่งเสียงกรีดร้องแบบนี้ ! นี่เป็นเสียงกรีดร้องของความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
แม้แต่อันเดดก็ไม่สามารถทำให้ทหารของเขาหวาดกลัวได้ขนาดนั้น พวกผู้บุกรุกเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วมันคืออะไรกัน ?
เสียงกรีดร้องนั้นดังมาจากบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งตรงมุมของฐาน ทหารคนหนึ่งกลิ้งอยู่บนพื้นและกำลังพยายามกำจัดแมลงที่แปลกประหลาดและมีขนาดใหญ่ออกจากร่างกายของเขา มันดูคล้ายแมลงสีดำที่มีความยาวกว่า 1 เมตร และมีช่องท้องขนาดใหญ่รวมถึงมีขาที่อวบอ้วน 6 ขาซึ่งดูเทอะทะเอามาก ๆ
เปลือกที่ด้านหลังของสิ่งมีชีวิตนั้นเปิดออกและปีกของมันก็กระพือเป็นครั้งเป็นคราว คู่ก้ามหนีบที่สั้นทว่าแหลมคมของมันแทงเข้าไปในร่างของวอริเออร์ผู้นั้นก่อนจะขุดเข้าไปในตัวเขาจนเป็นโพรง วอริเออร์ที่หวาดกลัวคนนั้นทำได้เพียงพยายามทุบตีแมลงตัวนั้นด้วยมือของเขาเท่านั้นเพราะอาวุธของเขาได้หายไปนานแล้ว
วอริเออร์อีกคนรีบเข้าไปยังที่เกิดเหตุ เขาสูดหายใจรับอากาศเย็นเข้าปอดเมื่อเห็นภาพที่น่าหวาดกลัวตรงหน้า ตัวของเขาแข็งไปสองสามวินาทีก่อนที่จะพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมส่งเสียงคำรามโดยกำชับดาบไว้ในมือ เสียงคำรามนั้นไม่ใช่เพื่อข่มขู่ศัตรูแต่อย่างใดทว่าเขาทำเพื่อเรียกความกล้าหาญให้กับตนเอง
นี่คือบรู๊ดมาเธอร์ที่ฟักออกมาจาก ‘เมล็ดพันธุ์’ ของมังกรนิรันดร มันเติบโตขึ้นหลายเท่าในเวลาเพียง 1 วันของการหาอาหาร ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าลูกแมวจนโตขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความยาวกว่า 1 เมตรและในตอนนี้เมื่อมันมองเห็นศัตรูคนใหม่ มันจึงดึงหัวของมันออกมาจากร่างของวอริเออร์คนก่อนหน้าและจับจ้องสายตาไปที่เหยื่อคนใหม่ที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามา วอริเออร์ที่นอนราบอยู่กับพื้นเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดจนทนไม่ไหว เขาก้มลงมองเพียงเพื่อให้ได้เห็นเกราะ ผิวหนัง เนื้อ และแม้แต่กระดูกช่วงเอวของตัวเองที่ได้หายไป เสียงกรีดร้องที่เกิดขึ้นแทบจะฟังไม่เหมือนเสียงของมนุษย์และไม่นานเขาก็ทรุดฮวบลงทั้งที่ดวงตายังเหลือกอยู่ดูน่าเวทนา
เปลือกของบรู๊ดมาเธอร์เปิดออกอีกครั้ง มันกระพือปีกไปมาขณะที่บินขึ้นและพุ่งเข้าหาวอริเออร์ฝ่ายตรงข้าม การเคลื่อนไหวของมันดูตลกพิกลราวกับว่าการรักษาสมดุลของมันนั้นเป็นไปได้ยาก
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของสหาย ชายคนนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วร่างของเขา เขาคำรามออกมาอีกครั้ง และฟาดดาบยาวในมือเสมือนสายลมพัดขณะที่เขาโจมตีหัวของสิ่งมีชีวิตนั้นไปมาอยู่ 3 ครั้ง การถูกโจมตีกลางอากาศทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมเสียงดังสนั่น ทว่าคมดาบที่ฟาดลงบนเปลือกของมันไม่ได้ทำความเสียหายอะไรแก่มันเลยเพราะเพียงแค่ทำให้เกิดเสียงโลหะดังกราวกระทบกันเท่านั้น การโจมตีที่ทรงพลังทั้ง 3 ครั้งของวอริเออร์ระดับ 5 ทำได้เพียงทิ้งร่องรอยไว้บนเปลือกแต่ไม่สามารถแทงทะลุเข้าไปได้
ทันใดนั้นปากของบรู๊ดมาเธอร์ก็ขยับและปล่อยการโจมตีทางจิตวิญญาณใส่วอริเออร์ผู้เป็นศัตรูทำให้วอริเออร์คนนั้นเกิดความรู้สึกเหมือนมีเข็มแหลมคมนับ 10 เล่มทิ่มแทงเข้าไปในสมองของเขา เขาสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะและสูญเสียความสมดุลจนต้องล้มลงไป บรู๊ดมาเธอร์รีบกระโจนเข้าไปที่เขาทันทีและยึดติดกับหัวของเขาอย่างแน่นหนาด้วยขาทั้ง 6 ของมัน ขณะเดียวกันมันก็ใช้ก้ามหนีบแทงทะลุหลังของเขาด้วย
ริชาร์ดปรากฏตัวขึ้นตรงประตูบ้านแต่เมื่อเห็นบรู๊ดมาเธอร์เอาชนะวอริเออร์ทั้งสองได้ เขาก็รีบไปยังสนามรบถัดไปทันที โฟลว์แซนด์ที่ติดตามเขาอยู่อย่างใกล้ชิดมองเข้าไปในห้องนั้นเช่นกัน ซึ่งม่านตาของนางหดลงเมื่อเห็นบรู๊ดมาเธอร์ทว่านางก็รีบเดินตามริชาร์ดไปโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร