นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 115 มอคอฟ ตอนที่ 2
ผู้ช่วยหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “ฮ่า ๆ ชื่อมันพิเศษใช่ไหมล่ะ ? พวกมันเรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักชิม’ ด้วยแต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าทั้งสองตนนี้เป็นโอเกอร์ และก็เป็นโอเกอร์ที่ฉลาดมากซะด้วย และแม้เราจะเรียกมันว่าสหาย แต่สหาย 2 ตนนี้อาจมองพวกเราเป็นอาหารเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงจะฉลาดแต่มันก็ยังเทียบกับความกระหายไม่ได้หรอก เพราะงั้นอย่าได้เชื่อใจพวกมันและอย่าหวังว่าจะได้รับความซื่อสัตย์จากพวกมันเช่นกัน เพราะพวกมันจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ที่มีพละกำลังเพียงพอที่สามารถฆ่าพวกมันได้เท่านั้น”
ทีรามิสุรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่ดีที่กำลังกล่าวถึงตนเอง “เจ้ามนุษย์โง่เขลา ! อย่าได้ปฏิบัติกับพวกเราเหมือนกับโอเกอร์ทั่ว ๆ ไป ! เพราะพวกเราคือนักชิม !”
ริชาร์ดหัวเราะออกมาในทันที เขารู้สึกได้ว่าโอเกอร์ทั้งสองตนนี้น่าสนใจ ทว่าเขาก็ยังมองไปยังคนอื่น ๆ อีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจอย่างจริงจัง เขารู้ดีว่ามอร์แฟนจะต้องเตรียมทาสที่มีความโดดเด่นไว้ให้กับเขาอย่างแน่นอนเพราะเขาได้ถูกส่งมาที่นี่ในฐานะคนของเฟอร์ลินที่มอร์แฟนเคารพเป็นอย่างสูง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถนำทาสเหล่านี้ไปกับเขาทั้งหมดได้ เนื่องจากวงเวทย์เทเลพอร์ตที่เชื่อมต่อกับเพลนอนุญาตให้คนเข้าไปได้ไม่มากนัก
ภายในนี้มีเมจ วอริเออร์ แอสซาซิน เคลริค รวมไปถึงเคลริคที่อยู่ท่ามกลางเหล่าทาสซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นนักบวชที่แท้จริงอยู่ด้วย ! ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับริชาร์ดอย่างมากที่ได้เห็นผู้ที่มีศรัทธาต้องกลายมาเป็นทาสจนทำให้ริชาร์ดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยภูมิหลังของมอร์แฟนขึ้นมา
ที่ผิดปกติคือเอลฟ์บาร์ด* ชายที่มีสายเลือด 1 ใน 4 เป็นมนุษย์ แต่อีก 3 ใน 4 เป็นซันเอลฟ์ เพราะสำหรับเขาถือเป็นสายพันธุ์ที่หายากมาก เอลฟ์ที่ติดตัวมาในสายเลือดของเขาทำให้เขาดูสวยงามเพียงพอที่จะทำให้เขาสวมใส่เดรสของผู้หญิงได้อย่างแนบเนียน
*บาร์ด = คลาสนักกวี
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกความสนใจจากริชาร์ดคือห้องขังสุดท้ายที่เขาได้เข้าไปดู ในนั้นมีดาร์กเอลฟ์วอริเออร์หญิงสาวที่มีลักษณะโดดเด่นตามเผ่าพันธุ์คือหยิ่งยโส ใจร้อน และชื่นชอบการฆ่าสังหารอยู่ ซึ่งนางมาพร้อมกับผิวสีคล้ำและผมสีเงินที่ยาวสลวย
ในตอนที่ริชาร์ดจ้องมองนางนั้น เขาก็เห็นว่านางกำลังนั่งก้มตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ผิวดำของนางกลมกลืนไปกับความมืดจนบางคนอาจจะมองไม่เห็นหากไม่มีใครใส่ใจที่จะมองหา
ดาร์กเอลฟ์ค่อนข้างเงียบสงบและเก็บตัวในเวลาตอนเช้า ทว่าเมื่อยามค่ำคืนมาถึงอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับศัตรูในทันที หญิงสาวคนนี้คือวอริเออร์ไม่ใช่ชาแมน ทว่ามอร์แฟนก็ยังคงตั้งราคาของนางไว้สูงถึง 60,000 เหรียญซึ่งแพงกว่าราคาของโอเกอร์ 2 ตนรวมเข้าด้วยกันด้วยซ้ำ
สำหรับโอเกอร์นั้นถือเป็นทางเลือกที่ดีหากต้องการนำไปใช้ในเรื่องการต่อสู้โดยเฉพาะ แต่สำหรับเอลฟ์สาวที่สวยงามกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น วัตถุประสงค์หลักของนางไม่ได้อยู่ในสนามรบ นางมีหน้าที่อยู่บนเตียงที่อ่อนนุ่มเสียมากกว่า ซึ่งนั่นทำให้ราคาของนางแพงมากกว่าปกติแต่ก็แลกมาพร้อมกับความซื่อสัตย์ที่นางจะมอบให้
เมื่อเดินผ่านทุก ๆ คนแล้ว ผู้ช่วยก็หันกลับมาและเอ่ยถามขึ้น “เป็นยังไงบ้าง ? ตัดสินใจได้แล้วหรือยังนายน้อย ?”
ขณะที่ริชาร์ดยังคงพิจารณากับตัวเลือกของเขาอยู่นั้น โฟลว์แซนด์ก็ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “โอเกอร์ทั้งสองตนนั้นและบาร์ด” หญิงสาวสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองของริชาร์ด นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจว่า “พวกเขามีความสามารถที่จะกลายเป็นเซนต์ได้ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้”
“เจ้าสามารถตรวจสอบศักยภาพของพวกเขาได้งั้นหรือ ?” ริชาร์ดถามขึ้นด้วยท่าทางที่ตกตะลึงเพราะเขาเองต้องผ่านการทดสอบภายในดีพบลูมามากมายเมื่อเขาเข้าไปถึงที่แห่งนั้น ทว่าเขาจำได้ว่าในตอนนั้นมันสร้างความทรมานและความเจ็บปวดที่ยาวนานให้กับเขา ในขณะที่โฟลว์แซนด์ตรวจสอบคนอื่น ๆ แล้วดูเหมือนพวกนั้นไม่เป็นไรเลย
โฟลว์แซนด์พยักหน้า “ใช่ แต่มันก็ต้องแลกมากับการที่พรของข้าจะถูกดูดออกไปด้วย หากข้าตรวจสอบสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติม ระดับของข้าก็จะลดลงเช่นกัน”
หลังจากที่ฟังแล้วริชาร์ดก็เข้าใจในสิ่งที่นางพูดทันทีก่อนจะเดินไปหาผู้ช่วยและกล่าวออกมา “ข้าต้องการโอเกอร์สองตนนั้นและบาร์ด”
ผู้ช่วยค่อนข้างตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเลือกก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่ดาร์กเอลฟ์ การตัดสินใจของริชาร์ดทำให้เขารู้สึกสงสัยมากว่าทำไมนางจึงไม่เป็นหนึ่งในตัวเลือกของริชาร์ด เพราะนางถือว่ามีประโยชน์กว่ามาก ดาร์กเอลฟ์นั้นเป็นของสะสมส่วนตัวของมอร์แฟนซึ่งเขาเตรียมไว้ให้สำหรับเหล่าชนชั้นสูง และเป็นเพราะเขาเห็นโฟลว์แซนด์มาพร้อมกับริชาร์ดด้วย เขาจึงนำสมบัติชิ้นนี้ออกมาด้วยความปรารถนาดี
ทว่าเมื่อเขามองไปที่เอลฟ์บาร์ด เขาก็ต้องคิดใหม่อีกที เอลฟ์ผู้นี้มีเครื่องรางแปลก ๆ และเขาอาจจะมีประโยชน์ที่หลากหลาย ในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะมีประโยชน์มากกว่าดาร์กเอลฟ์นั่นซะอีก
เมื่อผู้ช่วยนึกถึงประโยชน์เหล่านั้นของบาร์ด เขาก็เลิกสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจของริชาร์ดทันที หลังจากนั้นเขาก็จัดการทำหน้าที่ของเขาให้เสร็จสิ้นด้วยการอธิบายถึงข้อควรระวังว่า “ข้าจำเป็นต้องเตือนท่านอีกครั้งว่าทาสยังไงก็คือทาส เรื่องของคุณภาพก็เป็นไปตามสถานะของพวกเขา และอีกอย่างที่สำคัญคืออย่าได้ไว้ใจหรือหวังที่จะได้รับความซื่อสัตย์อย่างเต็มที่จากพวกเขา ขอให้ท่านตระหนักตลอดเวลาและจงทำโทษพวกเขาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำผิดหรือละเมิดกฎต่าง ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ข้ามีสัญญา” ริชาร์ดกล่าวก่อนจะนำม้วนกระดาษแต่ละม้วนออกมาสำหรับทาสเหล่านั้น
“สัญญาทาสเวทมนตร์ ! ข้าเข้าใจแล้ว แต่ถึงยังไงก็ขอให้จำคำของข้าไว้ด้วยเพราะมันสำคัญมาก” น้ำเสียงของผู้ช่วยเต็มไปด้วยความเคารพ ทว่าความคิดของเขากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าสัญญาเหล่านี้จะเป็นหลักประกันที่ดีสำหรับความซื่อสัตย์ของเหล่าทาส แต่มันก็ยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น ๆ อยู่ดี ม้วนกระดาษในมือของริชาร์ดมีราคาเกือบจะเท่ากับราคาของทาสเหล่านี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาสามารถนำเงินมากมายมาซื้อทาสแทนที่จะนำเงินไปทิ้งให้กับม้วนกระดาษก็ได้ เพราะมีวิธีในการฝึกพวกเขามากมาย และการเสียสละเวลาสักครั้งสองครั้งก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไร
โอเกอร์ทั้งสองตนและเอลฟ์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่พวกเขาได้รับผลกระทบจากสัญญาเหล่านั้น และไม่นานนักทั้งสามก็เดินตามริชาร์ดออกไป เอลฟ์บาร์ดแนะนำตัวเองเกี่ยวกับภูมิหลังรวมถึงสกิลบทกวีของเขาให้ริชาร์ดฟังหลังจากที่ก้าวเดินออกมาด้านนอกแล้ว
จากข้อมูลที่เขาแนะนำตัวทำให้ริชาร์ดรู้คร่าว ๆ ว่าเขาคือโอล่า โฟลตวินด์ เป็นบุตรของวอริเออร์ซันเอลฟ์ที่แข็งแกร่งกับครึ่งเอลฟ์ ทว่าเป็นเพราะความไม่บริสุทธิ์ทางสายเลือดของเขาจึงทำให้เขาต้องเจอกับการเลือกปฏิบัติตั้งแต่เขาเกิดมา ซึ่งนั่นทำให้มารดาของเขาต้องนำเขาออกมาทิ้งไว้เพียงลำพัง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถูกจับโดยทีมนักผจญภัยจนกลายมาเป็นทาส อบิลิตี้ทางสายเลือดของเขารวมถึงความสามารถของเขาเริ่มแสดงออกมาเรื่อย ๆ เมื่อเขาโตขึ้น และในเวลานี้เขาเป็นบาร์ดระดับ 8 แล้วและค่อนข้างจะมีสกิลด้านการยิงธนูที่ดีโดยที่ไม่ได้ฝึกฝนมาก่อน ในปีนี้ดูเหมือนว่าเขาจะอายุ 30 ปี แต่สำหรับเขาแล้ว เขายังถือว่าอยู่ในช่วงผู้ใหญ่ตอนต้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับเหล่าเอลฟ์คนอื่น ๆ ที่มีอายุถึง 200 ปี
บาร์ดมีความคล้ายคลึงกับเคลริค เมจ และแอสซาซิน คุณสมบัติของเขาเหล่านี้จะสามารถช่วยทีมของริชาร์ดได้เมื่อต้องลงสนามรบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่โอล่าเลือกด้วยตัวของเขาเองทว่าเป็นสิ่งที่เขาถูกบังคับให้ทำเพื่อที่จะขายให้กับเหล่าราชวงศ์และขุนนาง เสียงที่นุ่มนวล ลักษณะที่โดดเด่น รวมถึงออร่าของเขาทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสุขุมและน่าพึงพอใจ และนั่นส่งผลให้มีหญิงสาวหลายคนต้องตกหลุมรักเขา
ริชาร์ดจ่ายเงินให้กับผู้ช่วยเมื่อพวกเขามาถึงมอคอฟ หลังจากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังตลาดเพื่อซื้ออุปกรณ์ให้กับเหล่าผู้ติดตามคนใหม่ของเขา และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกเขาก็เดินทางไปที่ท่าเรือโดยไม่หยุดพักก่อนที่จะเริ่มเดินทางตรงไปยังจุดมุ่งหมายสุดท้ายของพวกเขาในทันที
เรือที่พวกเขาใช้ในการเดินทางมีขนาดใหญ่และมีไว้สำหรับการเดินทางระยะยาว ภายในนี้สามารถบรรจุคนได้ถึง 500 คน ซึ่งคนที่อยู่ภายในจะถูกเลือกมาจากตระกูลอาเครอนและวิหารมังกรนิรันดรที่ก่อนหน้านี้ได้ผ่านการทดสอบมาอย่างเข้มงวด นอกจากลูกเรือและทหารแล้ว ยังมีช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นเหล่าเมจที่มีระดับต่ำอยู่อีกจำนวน 10 กว่าคนด้วย
เป้าหมายการเดินทางของพวกเขาในตอนนี้เป็นเกาะที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกของสหพันธ์ ริชาร์ดสามารถที่จะอ้างได้ด้วยตัวเองหลังจากที่เขามาถึงว่าเขาจะครอบครองเกาะ และในเวลานี้ริชาร์ดก็คิดชื่อให้กับเกาะแห่งนี้ไว้ในหัวเขาเรียบร้อยแล้วว่า ‘เยสเซ่-วา-อิลู’ ซึ่งเป็นภาษาของเอลฟ์โบราณ ที่มีความหมายว่า ‘จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง’
สำหรับผู้โดยสารที่อยู่ในเรือลำนี้ที่กำลังเดินทางไป เยสเซ่-วา-อิลู พร้อมกับเขาจะอยู่ในฐานะผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกรวมไปถึงประชากรกลุ่มแรกของริชาร์ดด้วย การเดินทางในครั้งนี้ทำให้ริชาร์ดติดหนี้ตระกูลอาเครอนเพิ่มอีกครั้งเป็นจำนวนเงินถึง 15,000 เหรียญ แต่อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าในอนาคตเขาย่อมสามารถใช้คืนได้แน่ !