นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 107 ออกเดินทาง ตอนที่ 1
พ่อบ้านมองไปที่โกโก้ในขณะที่ริชาร์ดปิดประตูห้องก่อนจะเดินตามเขาออกมา ระหว่างทางเขาก็เอ่ยถามริชาร์ดว่า “มาสเตอร์ริชาร์ด ท่านจะให้ข้าย้ายโกโก้เข้าไปอยู่ในที่พักของท่านตอนนี้เลยหรือไม่ เพราะตอนนี้นางเป็นคู่ครองของท่านแล้ว ?”
ก่อนที่ริชาร์ดจะพยักหน้าตอบรับ เขาก็มองเห็นชายหนุ่มรูปงามคนเมื่อคืนกำลังยืนอยู่ตรงมุมที่ไม่ไกลออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุมากกว่าริชาร์ด และจากท่าทางของเขาก็ทำให้พอจะเดาได้ว่าเขาคงมีอายุประมาณ 20 ปี ชายผู้นั้นมีรูปร่างดี และแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โตทว่าร่างกายของเขาก็ยังเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต และนอกจากรูปร่างที่ดูดีแล้ว ชายผู้นี้ยังมีดวงตาที่สดใสน่ามองอีกด้วย
ทันทีที่ริชาร์ดเห็นชายผู้ปรากฏตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือไนท์ฝึกหัดซึ่งเป็นตัวสำรองให้แก่รูนไนท์ตัวจริง หากเขาสามารถเพิ่มพลังของตนเองให้มากขึ้นภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้ได้ เขาก็จะสามารถรองรับรูนได้ถึง 4 อัน และเขาก็จะได้เป็นรูนไนท์ตัวจริง แต่หากเขาไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ก็จะถูกส่งไปยังดินแดนอื่น ๆ ของอาเครอนในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง
เหล่าไนท์ฝึกหัดเป็นเด็กที่มาจากเชื้อสายสาขาของตระกูลอาเครอน และคงจะเป็นบุตรของเหล่าชนชั้นสูงที่ไม่ได้มีบทบาทซึ่งถูกเลือกและฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ริชาร์ดไม่เห็นชายหนุ่มผู้นี้ในงานเลี้ยงยามราตรีครั้งก่อน นั่นทำให้เห็นได้ว่าเขาไม่ใช่อาเครอนแต่เป็นเพียงลูกหลานห่าง ๆ ที่ไม่ได้มีสถานะให้พูดถึงเท่านั้น ดังนั้นจึงสามารถพูดได้เลยว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีคู่ครอง
ริชาร์ดหยุดการก้าวเท้าของเขาขณะจ้องมองชายผู้นั้นที่กำลังเดินไปมา ซึ่งเมื่อชายหนุ่มมองเห็นสายตาเยือกเย็นของริชาร์ดเขาก็รีบเดินออกไปทันที
ริชาร์ดมองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้นั้นที่ค่อย ๆ หายไปก่อนที่จะเขาจะปรับสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติ หลังจากเกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับไปบอกพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงที่ไร้น้ำใจว่า “ช่างเถอะ ปล่อยให้นางอยู่ที่นี่แหละ”
พ่อบ้านพยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมราวกับว่าเขามองไม่เห็นท่าทีของชายหนุ่มผู้นั้น
ทีมขนาดเล็กได้มารอริชาร์ดที่ลานกว้างแล้ว ในเวลานี้เขาเตรียมกระเป๋าสัมภาระไปเพียงเล็กน้อยโดยมีกระเป๋า 1 ใบที่ใช้สำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวัน และอีก 1 ใบเป็นกระเป๋าใส่วัสดุสำหรับสร้างรูน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นแต่เขาสังเกตว่าในครั้งนี้มอร์เดร็ดไม่ได้ติดตามเขาไปเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ตำแหน่งของมอร์เดร็ดในครั้งนี้นั้นเป็นหน้าที่ของดราก้อนเมจลีน่า นางมาพร้อมรูนไนท์ 4 คนและทหารม้าเกราะเบาอีก 10 คน
ทีมของพวกเขาเดินทางไปยังวิหารเทเลพอร์ตซึ่งเป็นที่ที่เขาได้เห็นสหายคนแรกจะที่จะติดตามเขาไปในครั้งนี้นั่นก็คือเคลริคโฟลว์แซนด์แห่งวิหารมังกรนิรันดร นางมีฉายาที่ไพเราะว่า ‘รุ่งอรุณ’ เขาลงจากอานม้าก่อนที่จะเข้าไปในขบวนรถของโฟลว์แซนด์
ในตอนแรกลีน่ามีท่าทางเย้ยหยันรถม้าที่โฟลว์แซนด์นั่งมา ทว่าทันทีที่นางได้เข้าใกล้รถม้าคันนี้ความคิดของนางก็เปลี่ยนไป เพราะมันให้ความสบายมากเป็นพิเศษแม้ว่ามันจะดูเหมือนกับรถม้าธรรมดาของเหล่าชนชั้นสูงก็ตาม ด้านนอกของรถม้ามีวงเวทย์ประทับอยู่ซึ่งจะสามารถปิดกั้นทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
การเดินทางในครั้งนี้มีระยะทางที่ยาวไกลทว่าพวกเขาค่อนข้างเร่งรีบ นี่จึงเป็นโอกาสเดียวสำหรับโฟลว์แซนด์และริชาร์ดที่จะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเคลริคผู้นี้มีบางอย่างต้องการจะบอกเขา
คนขับรถม้ามีทั้งหมด 2 คนและพวกเขาจะต้องเดินทางกลับเฟาสต์ทันทีที่ไปถึงท่าเรือมอคอฟ การตกแต่งในรถม้านี้เรียบง่ายแต่ก็ดูมีความซับซ้อน ภายในนี้ใช้สีทองสว่างเป็นสีหลักซึ่งเป็นสีเดียวกันกับที่ตกแต่งภายในวิหาร ริชาร์ดรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่หลังจากที่เขาก้าวเท้าขึ้นมาบนรถม้าเพราะมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในวิหารแห่งมังกรนิรันดรอีกครั้ง
โฟลว์แซนด์นั่งตรงข้ามเขา ดูเหมือนว่านางจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาด้วย นางมีผมสีทองอ่อนยาวสลวย คิ้วสีทองที่เป็นสีเดียวกับผมทำให้แทบจะมองไม่เห็นหากไม่สังเกตแต่นั่นก็ทำให้นางดูสวยงามและลึกลับจนทำให้เขานึกถึงซากปรักหักพังที่อยู่ตรงกลางวิหารแห่งมังกรนิรันดร เส้นขนบนคิ้วของนางเรียงตัวกันอย่างซับซ้อน มันให้ความรู้สึกถึงปริศนาบางอย่างที่อาจจะมาจากคาถาศักดิ์สิทธิ์หรืออาจจะได้มาตั้งแต่นางเกิด
“ข้าคือโฟลว์แซนด์ เคลริคระดับ 8 แห่งวิหารมังกรนิรันดร” โฟลว์แซนด์แนะนำตัวเอง “ไม่ต้องสนใจชื่อที่แปลกประหลาดของข้าหรอก มันเป็นชื่อที่อาจารย์เฟอร์ลินตั้งให้ข้า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อจริง ๆ ของข้าคืออะไรและข้าเองก็เลือกที่จะไม่สนใจมันตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาอยู่ในวิหารเมื่อตอนที่ข้ายังเป็นทารกแล้ว
นอกจากคาถาศักดิ์สิทธิ์ทั่ว ๆ ไป ข้ายังชำนาญคาถาศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรนิรันดรด้วย และนี่ก็คืออาวุธของข้า — หนังสือแห่งกาลเวลา” โฟลว์แซนด์หยิบหนังสือที่ปกทำมาจากหนังแผ่นหนาสีทองขึ้นมาให้เขาดูก่อนที่นางจะหยิบแผนที่ออกมากาง แผนที่นี้ถูกวาดขึ้นมาด้วยมือ มันแสดงให้เห็นท่าเรือมอคอฟที่มีทะเลรายล้อมรอบและมีเกาะเกาะหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเขียนออกมาอย่างละเอียด
โฟลว์แซนด์ชี้ไปที่เกาะแห่งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้มาว่ามาร์ควิสกาตอนตั้งกองกำลังทหารไว้สำหรับเจ้าบนเพลนที่พวกเรากำลังจะไป แต่เขายังไม่ได้เลือกจุดเทเลพอร์ต อาจารย์เฟอร์ลินเป็นคนเลือกที่นั่นให้กับพวกเราแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เกาะแห่งนี้มีพื้นเรียบและมีป่าไม้มากมายรวมไปถึงท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็น ทวีปนี้อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นักและมันก็อยู่ใกล้ท่าเรือมอคอฟกับท่าเรือโรสแห่งอาเครอนด้วย ดังนั้นพวกเราจะติดตั้งประตูมิติไว้ที่นี่แหละ”
ริชาร์ดพยักหน้ารับเมื่อทราบตำแหน่งของเกาะ และเมื่อโฟลว์แซนด์พูดจบ นางก็ม้วนแผนที่กลับเข้าไปตามเดิมก่อนยื่นอัญมณีหยกออกมาให้เขาดู “ผนึกพลังชีวิตนี้จะสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของเมล็ดพันธุ์ได้ช่วงเวลาหนึ่ง เพราะงั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพามันไปทุกที่ที่เจ้าไป ตอนนี้เจ้าสามารถวางมันไว้บนรถม้าระหว่างที่เรากำลังเดินทางอยู่ก็ได้”
โฟลว์แซนด์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีกหลังจากที่เขารับผนึกนั้นไปและมองดูนางกำลังหลับตาลง สัญญาณแห่งชีวิตทุกอย่างดูเหมือนว่าจะหายไปในทันทีที่เปลือกตาของนางหลับลงสนิท นั่นทำให้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงออร่าของนางได้เลย ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับว่านางได้หายไปในอากาศอย่างฉับพลัน
สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กับเขาอย่างมาก เขาลองหลับตาและเมื่อลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้งก็มองเห็นนางยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่ใช่เพราะนางไม่มีออร่า แต่ออร่าของนางในตอนนี้มันฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งรถม้าแล้วและนางก็เป็นหนึ่งเดียวกับออร่าของตัวนางเอง
ดูเหมือนว่าโฟลว์แซนด์จะมีวิธีในการนั่งสมาธิและฝึกฝนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเมื่อเขาตระหนักได้เช่นนั้น เขาก็ไม่ต้องการรบกวนนาง ทีแรกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะทำอะไรดีแต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะหยิบหนังสือของเขาออกมาและอ่านมันไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา
การเดินทางในครั้งนี้ค่อนข้างยาวไกลทว่าด้านในและด้านนอกของรถม้านั้นดูเหมือนจะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของรถม้าคันนี้เลย และแม้แต่เสียงจากด้านนอกก็ไม่ได้เล็ดลอดเข้ามาในนี้ด้วยซ้ำ
ด้วยความเงียบเช่นนี้ เขาจึงใช้เวลากับการอ่านหนังสือต่อไปซึ่งในบางครั้งเขาก็อ่านหน้าเดิมซ้ำ ๆ เขาเองก็แปลกใจตัวเองเช่นกันที่ตั้งใจอ่านบางหน้ามากขนาดนี้ เขาจดจ่อกับการอ่านมากจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกอะไรเลยในตอนที่โฟลว์แซนด์ลืมตาตื่นขึ้นมาจากการนั่งสมาธิและกำลังสังเกตเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ และเมื่อนางเห็นเขาเหลือบมองไป นางก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าศึกษาประวัติศาสตร์เหรอ ?”
“อืม” เขาตอบรับก่อนจะเงยหน้าขึ้นขณะปิดหนังสือและยื่นมันออกไปให้โฟลว์แซนด์ ในเวลานี้เขารู้สึกเต็มใจอย่างยิ่งที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีกับนางเพราะเขารู้ว่านางจะเป็นสหายที่สำคัญสำหรับเขาในสงครามเพลนที่อันตรายครั้งนี้ ความไว้วางใจและการเข้ากันได้ระหว่างสหายนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถตัดสินความเป็นความตายบนสนามรบได้เป็นอย่างดี
โฟลว์แซนด์รับหนังสือมาโดยไม่ลังเลก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “เจ้าสนใจประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ซิลเวอร์มูนรึ ? พวกเขาเป็นทายาทของอาณาจักรเอลฟ์โบราณ แต่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ชนเผ่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในนัวแลนด์ ซึ่งนั่นเป็นเพราะการโจมตีของบิดาเจ้าในป่าเอฟเวอร์ไนท์จึงทำให้มีหลงเหลืออยู่ภายในดินแดนมนุษย์เพียงไม่มากและพวกเขาก็อาศัยกันแบบกระจัดกระจายด้วย
อืม… ข้าจะบอกให้นะ ถ้าเจ้าสนใจเกี่ยวกับเอลฟ์และวัฒนธรรมของพวกเขา เจ้าควรจะไปยังทวีปเอฟเวอร์กรีนที่อยู่ทางตะวันออกของนัวแลนด์และข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไป ทวีปนั้นยังปกครองโดยราชาแห่งเอลฟ์ หรือเจ้าอาจจะมาที่วิหารหลังจากที่เรากลับจากเพลนแล้วก็ได้ เจ้าจะได้เห็นผลงานศิลปะของอาจารย์เฟอร์ลินที่รวบรวมมาจากยุคของจักรวรรดิเอลฟ์ นางรวบรวมไว้เพียบเลยล่ะ”
ริชาร์ดยิ้มให้นาง “ที่ข้าสนใจคือการโจมตีราชวังซิลเวอร์มูนของมาร์ควิสกาตอนเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างสุดคลาสสิกของชัยชนะครั้งสำคัญที่มีข้อเสียเปรียบในด้านจำนวน แต่ข้าคิดว่าจะต้องมีใครบันทึกอะไรไว้มากกว่าที่ข้ารู้มา ดังนั้น ข้าจึงเลือกที่จะอ่านมันให้มากขึ้นและศึกษามันโดยทางอ้อม”