นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่
เช้าตรู่ของวันถัดไป กลุ่มของริชาร์ดเดินกลับไปยังหมู่บ้านไจแอนท์วูดเพื่อออกเดินทางต่อไปยังท่าเรือมอคอฟทางทิศตะวันออก โฟลว์แซนด์มีท่าทางตกใจเล็กน้อยเมื่อนางพบกับวอเตอร์ฟลาวเวอร์และแกงดอร์
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มออกเดินทาง ไม่มีม้าตัวใดในกลุ่มที่สามารถรองรับน้ำหนักของแกงดอร์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีม้าตัวใดยอมให้วอเตอร์ฟลาวเวอร์เข้าใกล้ด้วย ส่วนการจะให้นางขี่มันนั้นลืมไปได้เลย
ในที่สุดริชาร์ดก็ยอมสละม้าศึกส่วนตัวของเขาให้แกงดอร์ไป ขณะที่ลีน่าเจอม้าตัวที่อ่อนโยนที่สุดนางจึงป้อนยาผ่อนคลายให้กับมันก่อนที่วอเตอร์ฟลาวเวอร์จะขึ้นไปขี่มันได้ในที่สุด และนั่นคือตอนที่การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอย่างราบรื่น ในความเป็นจริงแล้วแกงดอร์และวอเตอร์ฟลาวเวอร์อยากจะเดินเท้าไปยังมอคอฟ เพราะนั่นน่าจะเป็นวิธีที่รวดเร็วกว่าสำหรับพวกเขา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำตัวมีปัญหา
หลังจากการเดินทางอย่างยาวนานรวม 3 วัน กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ก็เดินทางมาถึงมอคอฟ เมืองท่าเรือทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชิดหน้าชูตากันว่าได้รับการปกป้องทางธรรมชาติจากสายลม แค่เพียงเพราะว่ามันเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้เฟาสต์มากกว่าจึงถูกใช้งานบ่อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น มีเทือกเขาอยู่ทางทิศเหนือของท่าเรือ แต่รอบ ๆ ไม่มีแหล่งชุมชุนที่อยู่อาศัยและไม่มีลักษณะพิเศษใด ๆ ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่มีทางเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่
โดยพื้นฐานแล้ว ที่ดินในระบบชนชั้นมีความเป็นอิสระ มีผู้นำที่ดูเหมือนจะสาบานความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิแห่งสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างผิวเผิน อย่างมอร์แฟนเองก็จ่ายภาษีของพวกเขาเพียงเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น ซึ่งนั่นถือเป็นหลักฐานในแต่ละปีของ ‘ความจงรักภักดี’ ของเขา เขาเป็นผู้ปกครองสูงสุดในเมืองที่มีประชากรเพียง 10,000 คนนี้ และเป็นผู้ปกครองสูงสุดที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านธุรกิจทาสที่บ้าบิ่น
เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของท่าเรือมีความกว้างขวางในหลาย ๆ ด้านทำให้มอคอฟมีทาสอยู่เกือบทุกชนเผ่าตั้งแต่คนแคระเกรย์ไปจนถึงนากา และเพราะธรรมชาติที่เกือบเป็นการปกครองตัวเองที่อิสระของมันทำให้มีแม้แต่ขุนนางรุ่นที่ 3 ที่ไม่มีตำแหน่งรวมไปถึงเอลฟ์และชนเผ่ามีปีกอยู่ที่นี่ด้วย หากผู้ซื้อสามารถจ่ายเงินในราคาที่สูงพอ พวกเขาอาจจะได้คนที่มีสายเลือดเชื้อพระวงศ์กลับไป ! อย่างไรก็ตาม การขาย ‘สินค้า’ ประเภทนี้เป็นธุรกิจใต้ดิน ผู้ซื้อต้องมีความมั่งคั่งและสถานะมากพอสมควรสำหรับข้อตกลงที่จะเกิดขึ้น และคนเหล่านี้คือคนที่จะได้รับสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดเป็นที่ระลึกหรือสำหรับนำไปใช้ในการทดลอง
ในเวลานี้ ทุก ๆ ตารางนิ้วในพื้นที่ของมอร์แฟนอบอวลไปด้วยกลิ่นของเลือดและเงินทอง
เมื่อก้าวเข้าสู่เขตพื้นที่ของท่าเรือ ริชาร์ดก็ถูกกักตัวโดยหน่วยลาดตระเวนทันที เพราะการที่มีรูนไนท์ ทหารม้า และเมจรวมอยู่ในกลุ่มของเขาทำให้เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดา มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นกองทัพได้เลย เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วที่จะเป็นจุดสนใจของทุกคนได้
ริชาร์ดถือโอกาสนี้สังเกตการณ์กลุ่มคนที่หยุดพวกเขาไว้ ผู้คุ้มกันทั้ง 6 คนมีทั้งอาวุธและชุดเกราะที่มีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปอย่างน้อย 20% และตัวของผู้คุ้มกันเหล่านั้นอย่างน้อยก็อยู่ในระดับ 5 ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของมอคอฟ
คนขับรถม้าที่มากับโฟลว์แซนด์เป็นผู้เจรจากับผู้คุ้มกันเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นตราสัญลักษณ์ของมังกรนิรันดร ทัศนคติของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ผู้นำกลุ่มส่งผู้คุ้มกัน 2 คนของเขาไปรายงานการมาถึงของกลุ่มของริชาร์ดก่อนนำทางพวกเขาเข้าเมือง
มอร์แฟนเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนพ่อค้ามากกว่าผู้ดูแลท่าเรือ การเจรจากับเขาผ่านไปอย่างค่อนข้างราบรื่น เขายินดีต้อนรับริชาร์ดและโฟลว์แซนด์ด้วยความกระตือรือร้นพร้อมทั้งสั่งให้คนของเขาพาพวกเขาทั้งสองไปเลือกตัวทาสทันที
จุดหมายปลายทางของพวกเขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้คือค่ายของทาสขนาดเล็กตรงแถบชานเมือง ค่ายแห่งนี้มีผู้คุ้มกันมากกว่าในค่ายธรรมดาถึง 3 เท่า ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าทาสที่นี่มีค่าเพียงใด เรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับค่ายนี้นั่นก็คือริชาร์ดและโฟลว์แซนด์ไม่ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงร้องของความเจ็บปวดเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงเหล่าผู้คุ้มกันที่เดินไปรอบ ๆ พื้นที่กว้างใหญ่เท่านั้นซึ่งทำให้ทั้งค่ายดูว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าทาสธรรมดา ๆ ได้ถูกย้ายออกไปจากที่นี่หมดแล้ว
ริชาร์ดตามผู้ช่วยของมอร์แฟนไปยังกระท่อมที่ตั้งอยู่ทางเหนือของค่าย กลิ่นฉุนปะทะจมูกของพวกเขาทันทีในขณะที่พวกเขาก้าวเข้าไป ทว่านับตั้งแต่ค่ายแห่งความตายนั้น ริชาร์ดก็ดูเหมือนมีภูมิคุ้มกันกับกลิ่นพวกนี้แล้ว เขาไม่ได้แสดงท่าทีไม่สบายตัวใด ๆ เลยแม้แต่น้อยขณะเดินตามผู้ช่วยไปอย่างใจเย็น นั่นทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจและต้องประเมินเมจหนุ่มคนนี้ใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่านั้นก็คือในครั้งนี้โฟลว์แซนด์ได้ตามพวกเขามาด้วย สีหน้าท่าทางของนางยังคงปราศจากความรู้สึกเช่นเคยซึ่งนั่นทำให้นางดูเหมือนไม่ได้สนใจกับสภาพแวดล้อมแย่ ๆ ที่อยู่รอบตัว
รั้วโลหะหนาแบ่งกั้นเขตกระท่อมไว้เป็นห้องขังนักโทษหลาย ๆ ห้อง สถานที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของทาส มีทาส 7 กลุ่มอาศัยอยู่ที่นี่โดยห้องขังที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีโอเกอร์ 2 ตนอยู่ภายใน
แน่นอนว่าโอเกอร์นั้นดึงดูดความสนใจของริชาร์ดทันที
พวกมันเป็นชนเผ่าชาญฉลาดที่พบได้ทั่วไปในนัวแลนด์ซึ่งเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับทั้งมนุษย์และออร์ค แม้โอเกอร์จะมีร่างกายที่ใหญ่โตแต่ก็คล้ายมนุษย์มากจนเรียกพวกมันว่าญาติห่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้
ความแข็งแกร่งของโอเกอร์ก็ยิ่งใหญ่ไปตามขนาดของมัน ความแข็งแกร่งที่พวกมันมีเมื่อโตเต็มที่คือการที่สามารถเอาชนะวอริเออร์ระดับ 10 ได้อย่างง่ายดาย และถึงแม้ร่างกายจะใหญ่โต แต่พวกมันก็ไม่ได้โง่เขลา ในความเป็นจริงแล้วหลาย ๆ คนเชื่อว่าความเฉลียวฉลาดของพวกมันไม่ได้น้อยไปกว่ามนุษย์หรือเอลฟ์เลย หลักฐานของเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดจากจำนวนเมจและชาแมนในกลุ่มของพวกมัน
เมื่อโอเกอร์เติบโตจนมีพลังอยู่ในระดับหนึ่ง พวกมันก็จะมีโอกาสกลายพันธุ์ สิ่งที่พบได้มากที่สุดของการกลายพันธุ์ก็คือการงอกหัวเพิ่มอีก 1 หัว โอเกอร์ที่มี 2 หัวจะเหนือกว่าพวกเดียวกันไม่ว่าจะเป็นในด้านเวทมนตร์หรือพละกำลัง บ่อยครั้งที่จะต้องใช้กลุ่มของนักผจญภัยจากหลายคลาสที่แตกต่างกันแต่เข้ากันได้ดีเพื่อจัดการกับพลังแบบนั้นที่จะพบได้จากโอเกอร์ที่กลายพันธุ์แล้ว
ริชาร์ดมองโอเกอร์ที่ยังโตไม่เต็มที่ 2 ตนนี้ ร่างกายของมันเล็กกว่าสมาชิกทั่ว ๆ ไปในชนเผ่าของมันอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเสียขวัญได้เกิดขึ้นทั่วท้องของเขา เนื่องจากทั้งสองดูสะอาดสะอ้านมากจนเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่มันแทบจะสะอาดมากเกินกว่าจะเป็นแค่โอเกอร์ และพวกมันก็ดูค่อนข้างผ่อนคลายซึ่งต่างจากโอเกอร์ธรรมดาทั่วไปที่มักเกรี้ยวกราดได้ง่าย ขณะที่ริชาร์ดกำลังสังเกตท่าทางของพวกมันอยู่นั้น พวกมันก็มองมาที่เขาคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าปกติ
“ทำไมโอเกอร์ 2 ตนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” ริชาร์ดเอ่ยถาม
ผู้ช่วยของมอร์แฟนเอ่ยตอบ “พวกนี้ถูกค้นพบโดยกลุ่มนักผจญภัยที่ภูเขาทางเหนือ พวกมันเคยอยู่กับดรูอิดชราคนหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่เลี้ยงดูพวกนั้นมา เขาสอนภาษา การเขียน หรือแม้แต่เวทมนตร์ให้กับพวกมัน อิทธิพลของดรูอิดชราคนนั้นทำให้โอเกอร์มีพฤติกรรมที่หลากหลายของมนุษย์”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ?” ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ริชาร์ดก็สามารถเดาได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
“แล้ว…” ผู้ช่วยยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อน “กลุ่มนั้นตระหนักถึงคุณค่าของพวกนี้ จึงสังหารดรูอิดคนนั้นและขายพวกโอเกอร์ให้เรา นี่เป็นครั้งแรกที่มาสเตอร์มอร์แฟนใช้เงินกว่า 10,000 เหรียญไปกับโอเกอร์ตนเดียว ! แต่ก็แน่ล่ะ โอเกอร์เหล่านี้ฉลาดกว่ามาตรฐานมาก และนั่นก็ทำให้พวกนั้นอันตรายมากตามไปด้วย”
ผู้ช่วยชี้ไปยังตัวที่สูงและแข็งแรงกว่าขณะพูดอธิบายต่อไป “อย่างตัวนั้นเป็นวอริเออร์ที่มีชื่อว่ามีเดียมแรร์ และตัวข้าง ๆ เป็นเมจที่มีชื่อว่าทีรามิสุ “
“อะไรนะ ?” หากว่าริชาร์ดมีน้ำอยู่ในปาก เขาก็คงจะพ่นใส่ผู้ช่วยคนนั้นแล้ว โอเกอร์มักจะถูกตั้งชื่อตามสกิลในตำนานหรือชื่ออาวุธ เช่น เฟลมฟิสต์หรือไจแอนท์แฮมเมอร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อแปลกและไม่เหมือนใครแบบนี้ ซึ่งฟังดูคล้ายกับจะเป็นชื่ออาหาร